ผมแอบเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองในอนาคตอันใกล้นี้แบบลึกๆ ต่อการกลับการกลับมาของสุเทพไม่ได้ ....ซึ่งต้องยอมรับว่าเรทติ้งของเขาในหมู่กปปส. แม้จะไม่สูงขึ้น(ในระหว่างที่เขาบวชอยู่) แต่ก็ไม่เคยตกต่ำลงไปเลย เชื่อว่ายังไงๆ เสีย....เขา(สุเทพ)ตัดประชาธิปัตย์ไม่ขาดและประชาธิปัตย์ก็จะยังคงอาศัยเขาเป็นฐานกำลัง ฝ่ายเพื่อไทยเองก็ต้องคอยถนอมน้ำใจคนเสื้อแดงไว้เช่นกันเพื่อคานอำนาจ การเมืองก็คงจะติดอยู่วังวนแบบเดิมๆ...
ถามหาความปรองดองรึ? แม้จะไม่มีคำว่าสายที่จะหันหน้าเข้าหากันในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มคนที่อ้างว่าจะทำหน้าที่แก้สถานการณ์บ้านเมืองเห็นแต่จะทำเรื่องให้ยากขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ลองนึกภาพดูลิงหลายตัว(ไม่ใช่ตัวเดียว)กำลังช่วยกันแก้แห?? โดยเฉพาะองค์กรอิสระต่างๆ แม่น้ำห้าสาย และที่สุดแห่งที่สุดก็คือกระบวนการยุติธรรม(ผมเปล่านินทาหรือหมิ่นศาลนา...แต่ผมกำลังว่ากระบวนการ)เหล่านี้แทนที่จะเป็นตัวเชื่อมตัวประสานเพื่อสมานรอยร้าว หรือทำให้สถานการณ์กระเตื้องขึ้น กลับดูเหมือนเป็นว่า(ในสายตาของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีผมคนหนึ่ง)เป็นเร่งดีกรีของสถานการณ์ให้เลวร้ายหนักลงไปอีก การให้สัมภาษณ์ของสมาชิกแต่ละองค์กรในตอนนี้ แค่อ้าปากก็เห็นสีที่ปลายลิ้นเสียแล้ว....แทบจะทุกคนเวลาให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษรแต่ละที ฝ่ายหนึ่งได้เฮ แต่อีกฝ่ายอึดอัดน้อยเนื้อต่ำใจและเคียดแค้น....แทบจะหาคนที่ออกมาสัมภาษณ์ที่อย่างน้อยๆ ถนอมน้ำใจทั้งสองฝ่ายเอาไว้ก่อนไม่มี อย่างเช่นเรื่องทานก๋วยจั๊บที่ไหนอะไรที่สุดหลุดจากปากของคนที่นับว่ามีการศึกษาและมีตำแหน่งสูงสุดที่จะเขียนกติกาและชี้ทิศทางอันจะสร้างความสงบสุข สามัคคี และปรองดองของคนในประเทศ หรือแม้แต่การตีความหมายของคำว่าประชาธิปไตยเพี้ยนๆ ของศิลปินด้านวรรณกรรมระดับประเทศ แทนที่จะทำให้ความรู้สึกของคนอีกฝ่ายกระเตื้องขึ้น กลับกลายเป็นตัวเร่งความคับแค้นที่มีอยู่แต่เดิมในใจให้หนักลงไปอีก ถ้าเป็นการพูดหรือเขียนเสียดสีกันในเวปบอร์ดการเมืองก็ว่าไปอย่าง?
ผมเริ่มมีใจโอนเอนที่จะเชื่อแล้วว่า หากต่อไปในวันข้างหน้าผมได้ย้อนกลับมามองเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังการรัฐประหารครั้งนี้ ออกจะมั่นใจว่านี่เป็นการ
เสียของอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้กำลังตำหนิหรือต่อว่าอะไรนะครับ เพราะไหนๆ การรัฐประหารก็ได้เกิดและจบลงไปแล้ว ผมคงไม่มาเสียเวลาคร่ำครวญอะไรอีกต่อไปแล้ว (ซึ่งผมเข้าใจว่าคงจะมีหลายคนที่คิดแบบเดียวกันกับผม) เพียงแต่เสียดายก็ตรงที่ว่า ในเมื่อท่านกล้าเอาชีวิตตัวเองและอนาคตของครอบครัวเข้าเสี่ยงในการตัดสินใจทำรัฐประหารขนาดนี้ และท่านก็ได้มาซึ่งอำนาจประหนึ่งอาญาสิทธิ์อันสูงสุดในประเทศอยู่ในมือแล้ว แต่ในความรู้สึกของผมกลับรู้สึกว่าท่านกำลังออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ที่จะใช้อำนาจตรงนั้นกับคนบางกลุ่ม และตรงนั้นผมเห็นว่าเป็นการเสี่ยงที่น้อยมากหากเทียบกับความกล้า(เสี่ยงชีวิต)ในการตัดสินใจทำรัฐประหาร
....วันนี้เอาแค่อาการ"น้ำตาคลอเบ้า" ไปก่อน......ส่วนวันข้างหน้า "ร้องไห้หนักมาก"....
ถามหาความปรองดองรึ? แม้จะไม่มีคำว่าสายที่จะหันหน้าเข้าหากันในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มคนที่อ้างว่าจะทำหน้าที่แก้สถานการณ์บ้านเมืองเห็นแต่จะทำเรื่องให้ยากขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ลองนึกภาพดูลิงหลายตัว(ไม่ใช่ตัวเดียว)กำลังช่วยกันแก้แห?? โดยเฉพาะองค์กรอิสระต่างๆ แม่น้ำห้าสาย และที่สุดแห่งที่สุดก็คือกระบวนการยุติธรรม(ผมเปล่านินทาหรือหมิ่นศาลนา...แต่ผมกำลังว่ากระบวนการ)เหล่านี้แทนที่จะเป็นตัวเชื่อมตัวประสานเพื่อสมานรอยร้าว หรือทำให้สถานการณ์กระเตื้องขึ้น กลับดูเหมือนเป็นว่า(ในสายตาของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีผมคนหนึ่ง)เป็นเร่งดีกรีของสถานการณ์ให้เลวร้ายหนักลงไปอีก การให้สัมภาษณ์ของสมาชิกแต่ละองค์กรในตอนนี้ แค่อ้าปากก็เห็นสีที่ปลายลิ้นเสียแล้ว....แทบจะทุกคนเวลาให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษรแต่ละที ฝ่ายหนึ่งได้เฮ แต่อีกฝ่ายอึดอัดน้อยเนื้อต่ำใจและเคียดแค้น....แทบจะหาคนที่ออกมาสัมภาษณ์ที่อย่างน้อยๆ ถนอมน้ำใจทั้งสองฝ่ายเอาไว้ก่อนไม่มี อย่างเช่นเรื่องทานก๋วยจั๊บที่ไหนอะไรที่สุดหลุดจากปากของคนที่นับว่ามีการศึกษาและมีตำแหน่งสูงสุดที่จะเขียนกติกาและชี้ทิศทางอันจะสร้างความสงบสุข สามัคคี และปรองดองของคนในประเทศ หรือแม้แต่การตีความหมายของคำว่าประชาธิปไตยเพี้ยนๆ ของศิลปินด้านวรรณกรรมระดับประเทศ แทนที่จะทำให้ความรู้สึกของคนอีกฝ่ายกระเตื้องขึ้น กลับกลายเป็นตัวเร่งความคับแค้นที่มีอยู่แต่เดิมในใจให้หนักลงไปอีก ถ้าเป็นการพูดหรือเขียนเสียดสีกันในเวปบอร์ดการเมืองก็ว่าไปอย่าง?
ผมเริ่มมีใจโอนเอนที่จะเชื่อแล้วว่า หากต่อไปในวันข้างหน้าผมได้ย้อนกลับมามองเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังการรัฐประหารครั้งนี้ ออกจะมั่นใจว่านี่เป็นการเสียของอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้กำลังตำหนิหรือต่อว่าอะไรนะครับ เพราะไหนๆ การรัฐประหารก็ได้เกิดและจบลงไปแล้ว ผมคงไม่มาเสียเวลาคร่ำครวญอะไรอีกต่อไปแล้ว (ซึ่งผมเข้าใจว่าคงจะมีหลายคนที่คิดแบบเดียวกันกับผม) เพียงแต่เสียดายก็ตรงที่ว่า ในเมื่อท่านกล้าเอาชีวิตตัวเองและอนาคตของครอบครัวเข้าเสี่ยงในการตัดสินใจทำรัฐประหารขนาดนี้ และท่านก็ได้มาซึ่งอำนาจประหนึ่งอาญาสิทธิ์อันสูงสุดในประเทศอยู่ในมือแล้ว แต่ในความรู้สึกของผมกลับรู้สึกว่าท่านกำลังออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ที่จะใช้อำนาจตรงนั้นกับคนบางกลุ่ม และตรงนั้นผมเห็นว่าเป็นการเสี่ยงที่น้อยมากหากเทียบกับความกล้า(เสี่ยงชีวิต)ในการตัดสินใจทำรัฐประหาร