เข้าสู่วันที่5... วันสุดท้ายของการเป็นนักท่องเที่ยวเกาหลี
- (วันที่5) วันพฤหัสที่ 16 กรกฎาคม 2558 : เดินทางกลับสยามประเทศ
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่1 =
http://pantip.com/topic/33945200
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่2 =
http://pantip.com/topic/33951051
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่3 =
http://pantip.com/topic/33962978
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่4 =
http://pantip.com/topic/33977273
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่5 =
http://pantip.com/topic/33986116
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ประเทศเกาหลีใต้ครับ และเราจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน นอกจากตื่นนอน เช็คเอ้าโรงแรม แล้วมุ่งตรงไปสนามบินเลย เพราะเครื่องบินจะออกเวลาประมาณ 11โมง... เราจึงต้องรีบไปเผื่อเวลาเหลือเผื่อเวลาขาดยังไงจะได้ไม่ตกเครื่องกัน
เวลา 6โมงเช้า.. ผมขนกระเป๋าลงมาจากห้อง เช็คเอ้าท์ อำลาเจ้าของโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย (อย่าลืมเอาผ้าขนหนูมาแลกเงิน 5,000วอนคืนด้วยนะครับ) ก็ลากกระเป๋าออกมาเตรียมไปสนามบิน
ก่อนกลับผมดื่มนมช็อกโกแลตไป1กล่อง
ซื้อจากเซเว่นครับ ราคาไม่รู้กี่บาท แต่อร่อยเข้มข้นดี
สถานี jongno 3ga ที่ผมใช้บริการทุกวันหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
จะมีโอกาสได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เราทำการเดินทางไปลงสถานี seoul โดยขึ้นรถไฟสาย1 dark blue line จากสถานี jongno 3ga (3สถานี) เพื่อไปต่อรถไฟไปสนามบิน... พอถึงสถานีโซลปุ้บเราก็ตามป้าย airport express ไป ตรงนี้จะเป็นสถานีกว้างๆ สถานีนี้เป็นต้นสายของรถไฟหลายๆประเภท แต่ผมเลือกกลับแบบรถไฟด่วน คือ ไปจอดที่สนามบินเลยทีเดียว (แบบตอนมาวันแรก)
ทางเข้า airport express อยู่สุดทางของสานีเลยครับ
เจอป้ายแบบนี้ก็ข้าไปเล้ยยยย
เดินตามป้ายเข้ามาในนี้ ลงบันไดเลื่อน 2 - 3 รอบต่อกันเลยครับ แล้วก็จะเจอจุดจำหน่ายตั๋ว ราคา 8,000วอนเหมือนขามาแหละครับ... 40กว่านาทีก็ถึงสนามบิน หลังจากออกมาจากตัวรถไฟแล้วจะมีพนักงานคอยบอกทางตลอด คงเป็นเพราะการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน แต่ถ้าวันที่ไป ไม่มีใครคอยมายืนกำกับว่าเราจะต้องเดินไปทางไหน ก็ให้มองป้ายนี้ไว้ครับ
เดินตามป้ายนี้ แล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปเลย
หลังจากนั้นบรรยากาศจะเริ่มคุ้นชินแล้วครับ เพราะเป็นการเดินสวนทางกับเที่ยวบินขาเข้าตอนวันแรกที่เรามา ส่วนขาออกนั้น (Departures) อยู่ชั้น3 เดินขึ้นบันไดเลื่อนสนามบินไปเลยครับ... ใครยังไม่ได้เช็คอินกับสายการบินก็จัดการให้เรียบร้อยครับ โหลดกระเป๋า แล้วไปต่อคิวรอสแกนกระเป๋า ผ่านตม. พอหลุดมาก็เข้าไปช๊อปปิ้งสินค้าดิวตี้ฟรีกันข้างใน มีหมดทุกอย่างจริงๆครับ ทุกอย่างที่พลาดไม่ได้ซื้อ มาหาซื้อกันที่นี่ได้เลย
ดูเกตให้ดีนะครับ เพราะเกตที่สนามบินอินชอนมี 300กว่าเกต และแต่ละเกตค่อนข้างอยู่ไกลกัน ยิ่งเกตแบบพวกเราอยู่หลังๆต้องต่อรถไฟไปอีก เผื่อเวลาดีๆนะครับ
พอใกล้เวลาที่เครื่องจะออกผมก็ไปถึงเกตพอดีครับ ผมไปกับ air asia x รู้สึกจะเกตเกือบท้ายสุด ที่นั่งรอหน้าเกตนี่ติดขอบกระจกสนามบินเลยครับ เดินไกลมาก พระเจ้าช่วย!
ผมฝากชีวิตไว้กับลำนี้แหละครับ

พร้อมบินกันแล้วนะทุกคน

หลังจากนั้นก็สั่งข้าวมาทานครับ
ข้าวอะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว รสชาติก็พอได้อยู่ครับ
ข้าวราคา 180 บาท + โค้ก 60 บาท
ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินดอนเมืองเวลาประมาณ 4โมงครึ่งเศษๆครับ
ผมบินไฟล์เดียวบ พี่โรส ศิรินทิพย์ด้วยครับ
นาฬิกาจีช็อคลายทหารของพี่สวยมากๆ 55555
พอลงจากเครื่องเราก็จะโดนเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณะสุข ต้อนให้ยืนเป็นแถว แล้วเจ้าหน้าที่จะเอาปืนวัดระดับความร้อนยิงเข้ามาที่หน้าผากเรา เพื่อดูว่าเราเป็นไข้ หรือสุ่มเสี่ยงติดเชื้อเมอร์สกลับมาด้วยรึป่าว
หลังจากนั้นผมก็ไปรอรับกระเป๋าที่โหลดมาด้านล่าง และไปต่อคิวรอขึ้นแท๊กซี่กลับบ้านต่อไป
จบแล้วครับ สำหรับการเดินทางไต่างแดน 5 วันอันแสนดีงามของผม
ก่อนจะจากกันไปผมมีเรื่องจะเตือนอยู่ 1 เรื่อง เกี่ยวกับการเติมเงินในบัตร t-money คือ ถ้าเราจะเติมเงินในบัตร โดยเติมผ่านตู้เติมเงินอัตโนมัติของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน คิดซะว่าผมขอร้องเลยละกันนะครับ ให้เติมเฉพาะกับตู้ที่ผมลงรูปไว้ด้านล่างนี้เท่านั้น ย้ำ เท่านั้น!!
เหตุผลที่ไม่ให้เติมนั้น เพราะ ผมลองมากับตัวเองแล้วครับ ตู้เติมเงินอัตโนมัติมันมีหลายรุ่นมาก แต่รุ่นในรูปคือรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งรุ่นนี้จะมีบริการเยอะมากตามสถานี แต่ส่วนรุ่นอื่นนอกเหนือจากนี้ผมเคยลองแล้วครับ ผลปรากฎว่า...
ครั้งแรก... จะเติมเงิน 2,000วอน ระหว่างทำรายการอยู่ ผมหยอดเงิน 1,000วอน สองใบเข้าไปในตู้ พอทำรายการเรียบร้อย ผมก็ลองเช็คยอดเงินกับตู้ที่ผมเพิ่งเติมไปนั่นแหละ ผลคือเงินไม่เข้า... เอาง่ายๆคือ ผมเสียเงิน 2,000วอนไปฟรีๆ ผมเลย เออๆ ช่างมันเพราะเงินมันจำนวนไม่เยอะ
ครั้งที่สอง... ผมจะเติมเงิน 2,000วอน โดยระหว่างทำรายการอยู่ผมหยอดแบงค์ 5,000วอนเข้าไปในตู้ ผมต้องได้เงินทอนกลับมา 3,000วอน ถูกมั้ยครับ! แต่ผลคือ เครื่องเออเร่อ เงินก็ไม่เข้าบัตร ตังทอนก็ไม่ได้ ผมเริ่มรู้สึกเสียดายละครับ มันรอบที่สองแล้ว... แต่โชคดีที่ตู้มันมีปุ่มสีแดงๆ เอาไว้กดสำหรับเรียกพนักงานมาดู จะมีรูปคนอยู่เหนือปุ่ม คล้ายๆว่าถ้ามีปัญหาให้กดปุ่มนี้นะ... ซักพักพนักงานเดินมาครับ... พอไขตู้ดูถึงรู้ว่า เงินผมมันเข้าไปติดอยู่ในตัวเครื่อง ผมเลยขอไม่เติมดีกว่า กลัวมันจะมีปัญหาอีก
ครั้งที่สาม... ผมจะไปเติมเงินกับเซเว่นเล็กๆที่อยู่ภายในสถานีรถไฟใต้ดินครับ แต่พนักงานไม่ยอมเติมให้ เค้าคงหวังดีกับผมหน่ะ คือเค้าอยากให้ผมไปเติมกับตู้เติมเงินอัตโนมัตินั่นมากกว่า
สรุปคือ ผมต้องไปเติมเงินที่ตู้อัตโนมัติเหมือนเดิมครับ... ยังไงก็ดูตู้ที่เป็นรุ่นใหม่นะครับเพื่อนๆ อย่าพลาดแบบผม เดี๋ยวจะเสียเงินกันแบบไม่ใช่เหตุ
มาดูของฝากที่ผมได้ซื้อติดตัวกลับมาบ้างครับ
ในสายตาผมนะ ของฝากจากเกาหลีมีน่าซื้ออยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ คือ เครื่องสำอาง (แต่จะให้ซื้อมาทำไม เพราะผมไม่ได้ใช้) นอกเหนือจากเครื่องสำอางที่เห็นฮิตๆกันก็จะเป็นโสมเกาหลี (แต่ผมก็ดันกินไม่เป็นอีก) และก็จะมีพวกขนมที่ขายกันในห้าง lotte mart ....
นอกจากเครื่องสำอางที่เพื่อนๆฝากซื้อรวมกันเป็นร้อยๆชิ้นจากร้าน skin food บ้างหล่ะ etude บ้างหล่ะ the faceshop บ้างหล่ะ... ผมนี่แทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเป็นของตัวเองเลยครับ แต่ก็พอมีบ้าง ยกตัวอย่างของที่ผมซื้อกลับมาเอง เช่น
ฮันบกคู่ชุดพิเศษ 3 มิติ พร้อมกรอบ
อันนี้ผมซื้อมาจากร้านขายของที่ระลึกของพระราชวังเคียงบกครับ เห็นมันสวยสะดุดตาดี มีสองรุ่นให้เลือกซื้อ คือ แบบธรรมดาชุดจะดูเรียบง่ายทั่วๆไป ส่วนรุ่นที่ผมซื้อมางานจะละเอียดกว่า ชุดดูดีมีสีสันมากกว่า ราคารุ่นที่ผมซื้อคือ 76,500วอน ถ้าเป็นแบบธรรมดาราคาก็จะลงมาอีก 10,000วอนครับ
มาม่าเกาหลี (รูปถ่ายตอนผมกำลังจะต้มกิน)
มาม่าเกาหลีที่เซเว่นก็มีขายครับ แต่ผมซื้อยกแพคที่ห้าง lotte mart (แพคนึงประมาณ10ห่อเห็นจะได้) ส่วนราคานั้นจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าคิดเป็นห่อนึงตกแล้วประมาณ 10กว่าบาทเองครับ มีหลายรส และหลายระดับความเผ็ด รสที่นิยมก็มี รสกิมจิ รสทะเล
แผ่นมาร์กปาก ของ etude
ผมไม่ได้ซื้อมาใช้หรอกครับ ผมซื้อมาเก็บ เห็นมันแปลกดี ตอนแรกเห็นเป็นรูปปากผมก็หยิบมาดู พนักงานทำปากเป็นรูปจูบ ถึงรู้ว่ามันเป็นมาร์กปาก (ผมนี่เช๊ยเชยๆเนอะ) เห็นเพื่อนๆบอกว่า แนบไว้กับปากมันทำให้ปากอมชมพู แล้วก็ไม่แห้งแตกครับ ส่วนราคาจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่ามันไม่แพง
หนอน larva ไขลาน
อันนี้ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ ซื้อที่ร้านขายของที่ระลึกบน n seoul tower ผมก็ไม่รู้นะว่ามันดันขึ้นไปมีขายอยู่บนนั้นได้ไง 5555 แต่คิดว่ามันคงมีขายตั้งแต่สมัยที่การ์ตูนยังเป็นที่นิยมอยุ่ เพราะตอนที่ผมซื้อมามันก็เหลืออยู่ไม่ถึง 30ตัว แถมฝุ่นก็เกาะด้วย ราคาตัวละ 6,000วอนครับ
บราวนี่ ของ market O
บราวนี่อันนี้เห็นใครๆไปเที่ยวกลับมาก็ซื้อติดมือมาตลอด ผมไม่ได้อยากกินครับแต่เห็นเค้าซื้อเราก็ต้องซื้อตามบ้าง ซื้อมาแจกเพื่อนๆด้วย มีหลายไซส์ครับ ตั้งแต่กล่องบรรจุ 8ชิ้น ไปจนถึงกล่องบ๊อกซ์เซตมีหูหิ้ว แต่ทุกรุ่นแกะออกมาก็จะเป็นซองละชิ้นเหมือนกัน ราคาไม่แน่ใจ แต่ไม่แพงหรอกครับ ส่วนเรื่องรสชาติมันก็ธรรมดา นุ่มดี แต่อย่าเอาไปแช่เย็นเด็ดขาดเลยนะ เพราะผมลองมาแล้ว มันแข็งนี่ไม่เท่าไหร่ แต่มันเหนียวด้วยนี่สิครับ จะทานไม่ได้เอา
ที่คั่นหนังสือ
ผมซื้อที่วัดโชเกซา ใกล้ๆถนนอินซาดงครับ ราคา 3,000วอนเอง สวยมาก ชิ้นใหญ่ด้วย แถมมีซองใส่เหมาะกับเป็นของฝากครับ
ชาเขียวจากเกาะเชจู ของร้าน o'sulloc
ตัวนี้ผมซื้อฝากป๊าผมครับ เป็นชาเขียวสูตรต้นตำรับ ซึ่งในร้านมีชาหลายตัวมาก มีหลายสูตร หลายรสชาติ กล่องเล็ก กล่องใหญ่ พนักงานก็บริการดี ในรูปผมซื้อชาเขียวสูตรต้นตำรับมาครับ (original) เป็นแบบกล่องเล็ก ข้างในมี 10 ซอง
อันนี้เป็นหน้าตาบางส่วนของชาภายในร้าน
[CR] รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่5
- (วันที่5) วันพฤหัสที่ 16 กรกฎาคม 2558 : เดินทางกลับสยามประเทศ
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่1 = http://pantip.com/topic/33945200
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่2 = http://pantip.com/topic/33951051
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่3 = http://pantip.com/topic/33962978
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่4 = http://pantip.com/topic/33977273
link : รีวิวเที่ยวเกาหลี แบบละเอียดยิบ #วันที่5 = http://pantip.com/topic/33986116
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ประเทศเกาหลีใต้ครับ และเราจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน นอกจากตื่นนอน เช็คเอ้าโรงแรม แล้วมุ่งตรงไปสนามบินเลย เพราะเครื่องบินจะออกเวลาประมาณ 11โมง... เราจึงต้องรีบไปเผื่อเวลาเหลือเผื่อเวลาขาดยังไงจะได้ไม่ตกเครื่องกัน
เวลา 6โมงเช้า.. ผมขนกระเป๋าลงมาจากห้อง เช็คเอ้าท์ อำลาเจ้าของโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย (อย่าลืมเอาผ้าขนหนูมาแลกเงิน 5,000วอนคืนด้วยนะครับ) ก็ลากกระเป๋าออกมาเตรียมไปสนามบิน
เราทำการเดินทางไปลงสถานี seoul โดยขึ้นรถไฟสาย1 dark blue line จากสถานี jongno 3ga (3สถานี) เพื่อไปต่อรถไฟไปสนามบิน... พอถึงสถานีโซลปุ้บเราก็ตามป้าย airport express ไป ตรงนี้จะเป็นสถานีกว้างๆ สถานีนี้เป็นต้นสายของรถไฟหลายๆประเภท แต่ผมเลือกกลับแบบรถไฟด่วน คือ ไปจอดที่สนามบินเลยทีเดียว (แบบตอนมาวันแรก)
เดินตามป้ายเข้ามาในนี้ ลงบันไดเลื่อน 2 - 3 รอบต่อกันเลยครับ แล้วก็จะเจอจุดจำหน่ายตั๋ว ราคา 8,000วอนเหมือนขามาแหละครับ... 40กว่านาทีก็ถึงสนามบิน หลังจากออกมาจากตัวรถไฟแล้วจะมีพนักงานคอยบอกทางตลอด คงเป็นเพราะการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน แต่ถ้าวันที่ไป ไม่มีใครคอยมายืนกำกับว่าเราจะต้องเดินไปทางไหน ก็ให้มองป้ายนี้ไว้ครับ
หลังจากนั้นบรรยากาศจะเริ่มคุ้นชินแล้วครับ เพราะเป็นการเดินสวนทางกับเที่ยวบินขาเข้าตอนวันแรกที่เรามา ส่วนขาออกนั้น (Departures) อยู่ชั้น3 เดินขึ้นบันไดเลื่อนสนามบินไปเลยครับ... ใครยังไม่ได้เช็คอินกับสายการบินก็จัดการให้เรียบร้อยครับ โหลดกระเป๋า แล้วไปต่อคิวรอสแกนกระเป๋า ผ่านตม. พอหลุดมาก็เข้าไปช๊อปปิ้งสินค้าดิวตี้ฟรีกันข้างใน มีหมดทุกอย่างจริงๆครับ ทุกอย่างที่พลาดไม่ได้ซื้อ มาหาซื้อกันที่นี่ได้เลย
ดูเกตให้ดีนะครับ เพราะเกตที่สนามบินอินชอนมี 300กว่าเกต และแต่ละเกตค่อนข้างอยู่ไกลกัน ยิ่งเกตแบบพวกเราอยู่หลังๆต้องต่อรถไฟไปอีก เผื่อเวลาดีๆนะครับ
พอใกล้เวลาที่เครื่องจะออกผมก็ไปถึงเกตพอดีครับ ผมไปกับ air asia x รู้สึกจะเกตเกือบท้ายสุด ที่นั่งรอหน้าเกตนี่ติดขอบกระจกสนามบินเลยครับ เดินไกลมาก พระเจ้าช่วย!
พอลงจากเครื่องเราก็จะโดนเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณะสุข ต้อนให้ยืนเป็นแถว แล้วเจ้าหน้าที่จะเอาปืนวัดระดับความร้อนยิงเข้ามาที่หน้าผากเรา เพื่อดูว่าเราเป็นไข้ หรือสุ่มเสี่ยงติดเชื้อเมอร์สกลับมาด้วยรึป่าว
ก่อนจะจากกันไปผมมีเรื่องจะเตือนอยู่ 1 เรื่อง เกี่ยวกับการเติมเงินในบัตร t-money คือ ถ้าเราจะเติมเงินในบัตร โดยเติมผ่านตู้เติมเงินอัตโนมัติของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน คิดซะว่าผมขอร้องเลยละกันนะครับ ให้เติมเฉพาะกับตู้ที่ผมลงรูปไว้ด้านล่างนี้เท่านั้น ย้ำ เท่านั้น!!
เหตุผลที่ไม่ให้เติมนั้น เพราะ ผมลองมากับตัวเองแล้วครับ ตู้เติมเงินอัตโนมัติมันมีหลายรุ่นมาก แต่รุ่นในรูปคือรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งรุ่นนี้จะมีบริการเยอะมากตามสถานี แต่ส่วนรุ่นอื่นนอกเหนือจากนี้ผมเคยลองแล้วครับ ผลปรากฎว่า...
ครั้งแรก... จะเติมเงิน 2,000วอน ระหว่างทำรายการอยู่ ผมหยอดเงิน 1,000วอน สองใบเข้าไปในตู้ พอทำรายการเรียบร้อย ผมก็ลองเช็คยอดเงินกับตู้ที่ผมเพิ่งเติมไปนั่นแหละ ผลคือเงินไม่เข้า... เอาง่ายๆคือ ผมเสียเงิน 2,000วอนไปฟรีๆ ผมเลย เออๆ ช่างมันเพราะเงินมันจำนวนไม่เยอะ
ครั้งที่สอง... ผมจะเติมเงิน 2,000วอน โดยระหว่างทำรายการอยู่ผมหยอดแบงค์ 5,000วอนเข้าไปในตู้ ผมต้องได้เงินทอนกลับมา 3,000วอน ถูกมั้ยครับ! แต่ผลคือ เครื่องเออเร่อ เงินก็ไม่เข้าบัตร ตังทอนก็ไม่ได้ ผมเริ่มรู้สึกเสียดายละครับ มันรอบที่สองแล้ว... แต่โชคดีที่ตู้มันมีปุ่มสีแดงๆ เอาไว้กดสำหรับเรียกพนักงานมาดู จะมีรูปคนอยู่เหนือปุ่ม คล้ายๆว่าถ้ามีปัญหาให้กดปุ่มนี้นะ... ซักพักพนักงานเดินมาครับ... พอไขตู้ดูถึงรู้ว่า เงินผมมันเข้าไปติดอยู่ในตัวเครื่อง ผมเลยขอไม่เติมดีกว่า กลัวมันจะมีปัญหาอีก
ครั้งที่สาม... ผมจะไปเติมเงินกับเซเว่นเล็กๆที่อยู่ภายในสถานีรถไฟใต้ดินครับ แต่พนักงานไม่ยอมเติมให้ เค้าคงหวังดีกับผมหน่ะ คือเค้าอยากให้ผมไปเติมกับตู้เติมเงินอัตโนมัตินั่นมากกว่า
สรุปคือ ผมต้องไปเติมเงินที่ตู้อัตโนมัติเหมือนเดิมครับ... ยังไงก็ดูตู้ที่เป็นรุ่นใหม่นะครับเพื่อนๆ อย่าพลาดแบบผม เดี๋ยวจะเสียเงินกันแบบไม่ใช่เหตุ
ในสายตาผมนะ ของฝากจากเกาหลีมีน่าซื้ออยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ คือ เครื่องสำอาง (แต่จะให้ซื้อมาทำไม เพราะผมไม่ได้ใช้) นอกเหนือจากเครื่องสำอางที่เห็นฮิตๆกันก็จะเป็นโสมเกาหลี (แต่ผมก็ดันกินไม่เป็นอีก) และก็จะมีพวกขนมที่ขายกันในห้าง lotte mart ....
นอกจากเครื่องสำอางที่เพื่อนๆฝากซื้อรวมกันเป็นร้อยๆชิ้นจากร้าน skin food บ้างหล่ะ etude บ้างหล่ะ the faceshop บ้างหล่ะ... ผมนี่แทบไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเป็นของตัวเองเลยครับ แต่ก็พอมีบ้าง ยกตัวอย่างของที่ผมซื้อกลับมาเอง เช่น
อันนี้ผมซื้อมาจากร้านขายของที่ระลึกของพระราชวังเคียงบกครับ เห็นมันสวยสะดุดตาดี มีสองรุ่นให้เลือกซื้อ คือ แบบธรรมดาชุดจะดูเรียบง่ายทั่วๆไป ส่วนรุ่นที่ผมซื้อมางานจะละเอียดกว่า ชุดดูดีมีสีสันมากกว่า ราคารุ่นที่ผมซื้อคือ 76,500วอน ถ้าเป็นแบบธรรมดาราคาก็จะลงมาอีก 10,000วอนครับ
มาม่าเกาหลีที่เซเว่นก็มีขายครับ แต่ผมซื้อยกแพคที่ห้าง lotte mart (แพคนึงประมาณ10ห่อเห็นจะได้) ส่วนราคานั้นจำไม่ได้แล้ว แต่ถ้าคิดเป็นห่อนึงตกแล้วประมาณ 10กว่าบาทเองครับ มีหลายรส และหลายระดับความเผ็ด รสที่นิยมก็มี รสกิมจิ รสทะเล
ผมไม่ได้ซื้อมาใช้หรอกครับ ผมซื้อมาเก็บ เห็นมันแปลกดี ตอนแรกเห็นเป็นรูปปากผมก็หยิบมาดู พนักงานทำปากเป็นรูปจูบ ถึงรู้ว่ามันเป็นมาร์กปาก (ผมนี่เช๊ยเชยๆเนอะ) เห็นเพื่อนๆบอกว่า แนบไว้กับปากมันทำให้ปากอมชมพู แล้วก็ไม่แห้งแตกครับ ส่วนราคาจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่ามันไม่แพง
อันนี้ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ ซื้อที่ร้านขายของที่ระลึกบน n seoul tower ผมก็ไม่รู้นะว่ามันดันขึ้นไปมีขายอยู่บนนั้นได้ไง 5555 แต่คิดว่ามันคงมีขายตั้งแต่สมัยที่การ์ตูนยังเป็นที่นิยมอยุ่ เพราะตอนที่ผมซื้อมามันก็เหลืออยู่ไม่ถึง 30ตัว แถมฝุ่นก็เกาะด้วย ราคาตัวละ 6,000วอนครับ
บราวนี่อันนี้เห็นใครๆไปเที่ยวกลับมาก็ซื้อติดมือมาตลอด ผมไม่ได้อยากกินครับแต่เห็นเค้าซื้อเราก็ต้องซื้อตามบ้าง ซื้อมาแจกเพื่อนๆด้วย มีหลายไซส์ครับ ตั้งแต่กล่องบรรจุ 8ชิ้น ไปจนถึงกล่องบ๊อกซ์เซตมีหูหิ้ว แต่ทุกรุ่นแกะออกมาก็จะเป็นซองละชิ้นเหมือนกัน ราคาไม่แน่ใจ แต่ไม่แพงหรอกครับ ส่วนเรื่องรสชาติมันก็ธรรมดา นุ่มดี แต่อย่าเอาไปแช่เย็นเด็ดขาดเลยนะ เพราะผมลองมาแล้ว มันแข็งนี่ไม่เท่าไหร่ แต่มันเหนียวด้วยนี่สิครับ จะทานไม่ได้เอา
ผมซื้อที่วัดโชเกซา ใกล้ๆถนนอินซาดงครับ ราคา 3,000วอนเอง สวยมาก ชิ้นใหญ่ด้วย แถมมีซองใส่เหมาะกับเป็นของฝากครับ
ตัวนี้ผมซื้อฝากป๊าผมครับ เป็นชาเขียวสูตรต้นตำรับ ซึ่งในร้านมีชาหลายตัวมาก มีหลายสูตร หลายรสชาติ กล่องเล็ก กล่องใหญ่ พนักงานก็บริการดี ในรูปผมซื้อชาเขียวสูตรต้นตำรับมาครับ (original) เป็นแบบกล่องเล็ก ข้างในมี 10 ซอง