กรมศิลป์ทุบศาลาเรียนพระธรรมวินัย วัดกัลยาฯ สมควรแล้วหรือ???

กระทู้คำถาม
ขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
       พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นมาแล้วในโลก ๒๖๐๓ ปี ณ ชมพูทวีป คือประเทศอินเดีย ในปัจจุบัน ผ่านการพิสูจน์  จากบุคคลที่ไม่เชื่อ และต้องการทำลายพระพุทธศาสนา มาโดยตลอด เราคงเห็นได้ว่าที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในประเทศอินเดีย แผ่ขยายไปทั่วโลก และกลับสูญสิ้นไปจากอินเดียที่เป็นแผ่นดินแม่ผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา กว่า ๘๐๐ ปี (กาลานุกรม, ป.ปยุตฺโต) แล้วก็กลับมาเจริญขึ้นใหม่อีกครั้งในปัจจุบัน

       จากเหตุการณ์ที่กรมศิลปากร เข้ามาทุบศาลาราย ที่ใช้เป็นสถานที่ศึกษาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ร่ำเรียน ศึกษาพระธรรมวินัย ของพระภิกษุสามเณร เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต การศึกษาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา การศึกษาพระธรรมวินัย กำลังถูกเบียดบัง ไม่ได้รับการดูแลและไม่ได้รับการปกป้องเลย แล้วอะไรเล่าที่จะธารทรงพระศาสนาไว้ วัด วิหาร ลานเจดีย์ หรือ ที่จะทรงจำพระไตรปิฏก คือพระธรรมวินัยนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา แลถาวรวัตถุ หรือวิหารลานเจดีย์ มิได้ยังประโยชน์ในส่วนนี้ให้สำเร็จลงได้ นอกจากการศึกษาพระไตรปิฏก คือพระธรรมวินัยนี้ ทรงจำ ถ่ายทอดสืบต่อมาโดย พระภิกษุสามเณรที่บวชอุทิศชีวิตให้เป็นอายุของพระศาสนามาแต่ครั้งพุทธกาล  การที่กรมศิลป์เข้ามาทำลายสถานที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย นั่นเท่ากับว่าได้ทำลายพระพุทธศาสนาลงไปแล้ว เพราะความที่อุปาทานเข้าไปยึดติดกับสมมติบัญญัติ ในสิ่งที่เรียกว่าวัตถุ วัตถุโบราณ โบราณสถาน  กล่าวโดยรวมคือ เป็นผู้ที่ติดกับวัตถุนิยม จนมองข้ามประโยชน์อื่น เป็นผู้บอด ไม่มีหนทางได้พบทางสว่างได้ เพราะความที่เป็นผู้เขลาและมีจิตคิดไม่ดีกับพระพุทธศาสนา

       ที่ทางวัดกัลยาณมิตรมิได้ต่อต้านคัดค้านการทุบทำลายศาลารายเพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ เพราะสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกต้องตกอยู่ในสังเวียนเดียวกัน คือไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น คือมันไม่เทียง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา  เพราะความเป็นจริงที่ว่า ศาลาวัตถุ ที่กรมศิลป์ทุบทำลายไป เทียบไม่ได้ กับการทำลายพระพุทธศาสนา คือปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ลงไปเลย ในส่วนนี้จึงยอมรับไม่ได้กับการกระทำของกรมศิลป์ที่ส่งผลต่อพระพุทธศาสนาโดยตรง และขอประณามการกระทำนั้นว่าเป็นการกระทำโดยลุแก่อำนาจ มองข้ามประโยชน์โดยส่วนใหญ่ แต่กระนั้นก็ตาม พระพุทธองค์ทรงสอนให้เจริญขันติธรรม และเมตตาจิตในผู้ที่จ้องทำลายล้างเรา เพราะฉะนั้นจงเข้าใจไว้ว่า กรมศิลปากรจะทุบทำลายวัดวาอารามทุกแห่งในสังฆมณฑลนี้ก็ตาม แต่พระพุทธศาสนาจะต้องธำรงไว้ และสืบต่อไป และขอให้มองพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเป็นอุทาหรณ์ไว้ ว่าถึงพระพุทธศาสนาจะเจริญสูงสุดแค่ไหน ก็สามารถสูญสิ้นไปจากแผ่นดินได้ ประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าพระพุทธศาสนาเจริญสูงสุดในโลกก็คงไม่ต่างกัน จึงอยากจะฝากให้พุทธศาสนิกชนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ดั่งพระปัจฉิมโอวาทที่พระองค์ประทานไว้ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ว่า

"หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”

       เพราะสังขารทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสิ้นสูญไปเป็นธรรมดา  จงสร้างประโยชน์แก่ตน แก่สังคม และแก่พระพุทธศาสนา คือบุญกุศลความดีให้มากๆ เพราะคนใจบาปนั้นเยอะ แม้อยู่ใกล้วัด บนแผ่นดินวัด บางคนก็ไม่มีความดีอะไรให้แก่พระพุทธศาสนาเลย มีแต่จ้องทำลาย หาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนาเท่านั้น  เหมือนทัพพีที่ไม่รู้รสแกงฉะนั้น  จึงอยากฝากไปถึงพุทธศาสนิกชนผู้ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอน และมันคงในพระพุทธศาสนาว่า ขอให้อดทน เจริญขันติธรรม เมตตาธรรม แก่ผู้ที่จ้องทำลายพระพุทธศาสนา และข้อให้นำหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยสากลแล้ว คือ ศีล ๕ ที่คฤหัสถ์สามารถถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ เพราะจะทำให้สังคมมีความสงบขึ้นไม่มากก็น้อย และได้ชื่อว่าบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยปฏิบัติบูชา.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่