น้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่มีผลต่อค่าครองชีพมาโดยตลอด น้ำมันขึ้นราคา ข้าวของก็แพงขึ้น
ค่าแรงขั้นต่ำก็เช่นกัน...
เมื่อมีการประกาศขึ้นค่าแรงทั่วประเทศเป็น 300 บาท สิ่งที่สังคมกังวลก็คือ ข้าวของแพงขึ้น อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลักต้นทุนจะสูงขึ้น โดยเฉพาะ SMEs จะกระทบหนัก
แต่เจ้าสัวธนินท์กลับสนับสนุนให้ขึ้นค่าแรง...อะไรที่ทำให้เจ้าสัวคิดต่าง?
เจ้าสัวเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 50 ปีก่อน ค่าแรงอยู่ที่วันละ 20 บาท ตอนนี้ได้เพิ่มมาเป็น 300 บาท ขึ้นมา 15 เท่า จากเมื่อ 50 ปีก่อน ขณะที่น้ำมัน ขึ้นมาถึง 25 เท่า จากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ราคาลิตรละ 1.70 บาท แต่มาวันนี้ 30 กว่าๆ แถมเคยพุ่งไปถึงเกือบ 50 บาทอยู่พักใหญ่
ทั้งค่าแรงและน้ำมันต่างก็เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ น้ำมันขึ้นมาถึง 25 เท่า แต่ค่าแรงขึ้นมาเพียง 15 เท่า
รายได้ของผู้ใช้แรงงานโตไม่ทันกับค่าครองชีพเสียแล้ว...
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งดึงการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) เรื่อง ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ ทำให้สามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศให้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยได้มากมาย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่ค่าจ้างแรงงานสูงมาก
เมื่อขายแรงงานแล้วได้ผล ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน จึงเคยชินกับการขายแรงงานไปโดยปริยาย เน้นทำกำไรส่วนต่างจากค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ
...ไม่ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพราะแรงงานราคาถูกมีมากมาย
...ไม่เพิ่มทักษะให้แรงงาน เพราะกลัวว่า เก่งแล้วจะลาออก แถมกลายเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเสียอีก
...ไม่ทำวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรม เพราะลงทุนสูง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แช่แข็งค่าแรงขั้นต่ำไว้ ไม่ให้เพิ่มขึ้นมาก เพื่อไม่ให้ต้นทุนสูง เพราะกลัวจะแข่งทางด้านราคากับคนอื่นไม่ได้ ทำให้แรงงานมีรายได้โตขึ้นมาไม่ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ โดยเฉพาะน้ำมันนั่นเอง
มาวันหนึ่งเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศ เมื่อประเทศเพื่อนบ้าน รอบตัวเรา เช่น กัมพูชา และเวียดนาม มีสถานการณ์การสู้รบน้อยลง และเริ่มเปิดประเทศ ประเทศเหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งแรงงานราคาถูกแทนที่ประเทศไทย
“นโยบายขายแรงงงาน” พึ่งพิงค่าแรงต่ำ ที่ใช้จนเคยชิน จึงไม่สามารถเอามาเป็นอาวุธแข่งขันกับคนอื่นได้อีกต่อไป
วันนี้ประเทศไทยอยู่บนกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไม่ใช่ประเทศยากจนอีกต่อไป แต่ก็พัฒนาตัวเองให้เป็นประเทศร่ำรวยไม่ได้เสียที
เมื่อเราพัฒนาตัวเองจนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางแล้ว เราคงไม่อยากกลับไปเป็นประเทศอยากจนอีก ดังนั้น เราจึงไม่สามารถลดค่าแรงให้ต่ำเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นได้ เพราะนั่นจะทำให้ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนจำนวนมากในประเทศ เป็นฐานรากของเศรษฐกิจต้องจนลง
ถ้าไม่พึ่งพิงค่าแรงต่ำแล้ว ทางออกก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
งานที่ใช้แรงงานมากกว่าทักษะ ความรู้ ก็ใช้เครื่องจักรกลต่างๆ เข้ามาแทน เครื่องจักรไม่มีวันเหนื่อย เที่ยงตรง ทำงานผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ ไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องสวัสดิการต่างๆ แม้ระยะสั้นจะต้องลงทุนในการจัดหาเครื่องจักรและบุคลากรมาควบคุมดูแล แต่ระยะยาวจะสามารถลดต้นทุนได้
เมื่อใช้เครื่องจักรทำงานแทนมนุษย์แล้ว คนไปไหน?
เจ้าสัวมองว่า คนไทยควรจะขายทักษะความรู้ ไม่ใช่ขายแรงงาน ซึ่งรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อใช้เครื่องจักรแทนมนุษย์แล้ว นโยบายการสร้างคนของประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับอนาคตด้วย
เจ้าสัวมองว่า ประเทศไทยต้องสร้าง “ช่างเทคนิค” ยิ่งประเทศไทยต้องการจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องสร้างช่างเทคนิคขึ้นมารองรับ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและระบบฐานข้อมูลอุปสงค์และอุปทานกำลังคน (PMANP) กระทรวงแรงงาน พบว่า ช่างเทคนิค เป็นตำแหน่งงานลำดับต้นๆ ที่ตลาดแรงงานกำลังขาดแคลน
เมื่อเราไม่ได้มีความได้เปรียบเรื่องค่าแรงอีกต่อไป คงจะต้องถึงเวลาปรับตัว เร่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม สร้างประสิทธิภาพ และ “สร้างคน” ที่มีคุณภาพขึ้นมา เพื่อว่าวันหนึ่ง เราจะไม่ต้องขายแรงงานแลกเงิน แต่ขายทักษะความรู้ ไอเดียใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ได้มากกว่า
เมื่อถึงวันนั้นประเทศไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้เสียที
ปล. เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจด้านนโยบายสาธารณะ เพื่อนำไปวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในงานของตน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB:
https://www.facebook.com/Dhaninsidestory
นโยบายขายแรงงานและกับดักรายได้ปานกลางที่ยังก้าวข้ามไม่พ้น
ค่าแรงขั้นต่ำก็เช่นกัน...
เมื่อมีการประกาศขึ้นค่าแรงทั่วประเทศเป็น 300 บาท สิ่งที่สังคมกังวลก็คือ ข้าวของแพงขึ้น อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลักต้นทุนจะสูงขึ้น โดยเฉพาะ SMEs จะกระทบหนัก
แต่เจ้าสัวธนินท์กลับสนับสนุนให้ขึ้นค่าแรง...อะไรที่ทำให้เจ้าสัวคิดต่าง?
เจ้าสัวเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 50 ปีก่อน ค่าแรงอยู่ที่วันละ 20 บาท ตอนนี้ได้เพิ่มมาเป็น 300 บาท ขึ้นมา 15 เท่า จากเมื่อ 50 ปีก่อน ขณะที่น้ำมัน ขึ้นมาถึง 25 เท่า จากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ราคาลิตรละ 1.70 บาท แต่มาวันนี้ 30 กว่าๆ แถมเคยพุ่งไปถึงเกือบ 50 บาทอยู่พักใหญ่
ทั้งค่าแรงและน้ำมันต่างก็เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ น้ำมันขึ้นมาถึง 25 เท่า แต่ค่าแรงขึ้นมาเพียง 15 เท่า
รายได้ของผู้ใช้แรงงานโตไม่ทันกับค่าครองชีพเสียแล้ว...
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งดึงการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) เรื่อง ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ ทำให้สามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศให้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยได้มากมาย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่ค่าจ้างแรงงานสูงมาก
เมื่อขายแรงงานแล้วได้ผล ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน จึงเคยชินกับการขายแรงงานไปโดยปริยาย เน้นทำกำไรส่วนต่างจากค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ
...ไม่ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพราะแรงงานราคาถูกมีมากมาย
...ไม่เพิ่มทักษะให้แรงงาน เพราะกลัวว่า เก่งแล้วจะลาออก แถมกลายเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเสียอีก
...ไม่ทำวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรม เพราะลงทุนสูง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แช่แข็งค่าแรงขั้นต่ำไว้ ไม่ให้เพิ่มขึ้นมาก เพื่อไม่ให้ต้นทุนสูง เพราะกลัวจะแข่งทางด้านราคากับคนอื่นไม่ได้ ทำให้แรงงานมีรายได้โตขึ้นมาไม่ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ โดยเฉพาะน้ำมันนั่นเอง
มาวันหนึ่งเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศ เมื่อประเทศเพื่อนบ้าน รอบตัวเรา เช่น กัมพูชา และเวียดนาม มีสถานการณ์การสู้รบน้อยลง และเริ่มเปิดประเทศ ประเทศเหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งแรงงานราคาถูกแทนที่ประเทศไทย
“นโยบายขายแรงงงาน” พึ่งพิงค่าแรงต่ำ ที่ใช้จนเคยชิน จึงไม่สามารถเอามาเป็นอาวุธแข่งขันกับคนอื่นได้อีกต่อไป
วันนี้ประเทศไทยอยู่บนกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไม่ใช่ประเทศยากจนอีกต่อไป แต่ก็พัฒนาตัวเองให้เป็นประเทศร่ำรวยไม่ได้เสียที
เมื่อเราพัฒนาตัวเองจนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางแล้ว เราคงไม่อยากกลับไปเป็นประเทศอยากจนอีก ดังนั้น เราจึงไม่สามารถลดค่าแรงให้ต่ำเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นได้ เพราะนั่นจะทำให้ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนจำนวนมากในประเทศ เป็นฐานรากของเศรษฐกิจต้องจนลง
ถ้าไม่พึ่งพิงค่าแรงต่ำแล้ว ทางออกก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
งานที่ใช้แรงงานมากกว่าทักษะ ความรู้ ก็ใช้เครื่องจักรกลต่างๆ เข้ามาแทน เครื่องจักรไม่มีวันเหนื่อย เที่ยงตรง ทำงานผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ ไม่ต้องมีต้นทุนเรื่องสวัสดิการต่างๆ แม้ระยะสั้นจะต้องลงทุนในการจัดหาเครื่องจักรและบุคลากรมาควบคุมดูแล แต่ระยะยาวจะสามารถลดต้นทุนได้
เมื่อใช้เครื่องจักรทำงานแทนมนุษย์แล้ว คนไปไหน?
เจ้าสัวมองว่า คนไทยควรจะขายทักษะความรู้ ไม่ใช่ขายแรงงาน ซึ่งรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อใช้เครื่องจักรแทนมนุษย์แล้ว นโยบายการสร้างคนของประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับอนาคตด้วย
เจ้าสัวมองว่า ประเทศไทยต้องสร้าง “ช่างเทคนิค” ยิ่งประเทศไทยต้องการจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องสร้างช่างเทคนิคขึ้นมารองรับ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและระบบฐานข้อมูลอุปสงค์และอุปทานกำลังคน (PMANP) กระทรวงแรงงาน พบว่า ช่างเทคนิค เป็นตำแหน่งงานลำดับต้นๆ ที่ตลาดแรงงานกำลังขาดแคลน
เมื่อเราไม่ได้มีความได้เปรียบเรื่องค่าแรงอีกต่อไป คงจะต้องถึงเวลาปรับตัว เร่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม สร้างประสิทธิภาพ และ “สร้างคน” ที่มีคุณภาพขึ้นมา เพื่อว่าวันหนึ่ง เราจะไม่ต้องขายแรงงานแลกเงิน แต่ขายทักษะความรู้ ไอเดียใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ได้มากกว่า
เมื่อถึงวันนั้นประเทศไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้เสียที
ปล. เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดของเจ้าสัวให้กับนักธุรกิจ SMEs และผู้ที่สนใจด้านนโยบายสาธารณะ เพื่อนำไปวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในงานของตน ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^
The Side Story
FB: https://www.facebook.com/Dhaninsidestory