เรื่องแต่งโดยมีเค้าโครงจากเรื่องจริง
วันก่อน ในดินแดนที่มีป่าไม้ปกคลุมจนมืดมิด ฉันเดินตามแสงสว่างเล็กๆ เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านแห่งแสง แม้แสงในนั้นจะไม้ได้สว่างนักก็ตาม ที่นั่นมีคนอยู่มากมาย บ้างค้าขายแสงไฟ บ้างอวดโคมไฟของตัวเอง บ้างมาประกาศหาซื้อไฟ ฉันปักหลักอยู่ที่นั่นชั่วคราว มองดูผู้คนในนั้น ได้แต่หวังเล็กๆ ว่าจะได้ไฟซักดวงติดมือกลับไปที่เมืองตนเอง
อยู่มาวันนึง ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นลอร์ดของปราสาทแห่งแสง เป็นลอร์ดผู้ปกครองหมู่บ้านแห่งแสงนี้ ก็ได้ป่าวประกาศภายในหมู่บ้าน ว่าหลังจากนี้ เขาจะทำให้หมู่บ้านสว่างไสว คนในหมู่บ้านจะได้มีไฟเป็นของตัวเอง ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันตื่นเต้นยินดี สนอกสนใจว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่กี่วันต่อมา ลอร์ดผู้นี้ได้ไปจุดพลุลูกใหญ่ที่เมืองหลวง พลุที่สวยงาม มีแสงสว่างเจิดจ้า และเสียงดังจากเมืองหลวงมาจนถึงหมู่บ้านแสงเลยทีเดียว จากนั้นลอร์ดก็จุดพลุรายทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านแห่งแสง ทำให้มีผู้คนมากมายเดินตามแสงของพลุมายังหมู่บ้านแห่งแสง
หลังเหตุการณ์นั้น เมืองแห่งแสงที่สว่างไสวยิ่งกว่าเดิมก็มีผู้คนแน่นขนัดยิ่งกว่าเดิม ผู้คนในหมู่บ้านต่างแย่งกันตะเบ็งเสียงป่าวประกาศขายแสงยิ่งกว่าเดิม บ้างโห่ร้องสรรเสริญลอร์ดแห่งแสง บ้างเพียงแค่ป่าวประกาศชื่อของตน บ้างป่าวประกาศว่าตนคือครูผู้ที่รู้วิธีทำให้แสงนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าใคร แต่การจะเป็นศิษย์ได้นั้นต้องจ่ายด้วยเงินตรา ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกมาป่าวประกาศโจมตีการกระทำของลอร์ดแห่งแสง ว่าทำให้หมู่บ้านปั่นป่วนวุ่นวาย ณ ตอนนั้นฉันคิดว่าเมืองนี้ดูจะไม่น่าอยู่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มา
จนฉันได้พบชายในผ้าคลุมผู้หนึ่ง แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าตา แต่กลับรู้สึกได้ว่าเขานั้นมีแสงเรืองๆ ออกมาจากภายในผ้าคลุมของเขา ชายผู้นี้เดินทางมาเมืองแห่งแสงเพียงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากแสงเสียงอึกทึกครึกโครมก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเดินทางกลับหมู่บ้านตนเอง ฉันจึงขอเดินทางตามเขาไปด้วย จนได้พบกับอึกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านแห่งแสงนัก มันคือหมู่บ้านแห่งเทียน แม้จำนวณของผู้คนจะเทียบไม่ได้กับเมืองแห่งแสง แต่ก็ไม่ได้รกร้างมืดมิด มีแสงอยู่ในหมู่บ้านประปราย และสงบกว่าเมืองแห่งแสงมาก
เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งเทียน ชายในผ้าคลุมก็ป่าวประกาศในหมู่บ้านว่า เขาจะสอนให้ใครก็ตามที่ยังไม่มีแสง ได้สร้างแสงขึ้นมาจากการจุดเทียน ให้คนที่สนใจตามเข้าไปแนะนำตัวในบ้านของเขา แล้วเขาจะสอนวิธีจุดเทียนให้โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงินตรา มีผู้คนมากมายสนใจและต่อแถวเข้าไปที่บ้านของชายในผ้าคลุมมากมาย ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ในครั้งแรกชายในผ้าคลุมได้มอบเทียนให้ฉันหนึ่งเล่ม สอนวิธีการจุดเทียน จากนั้นก็มอบหมายให้ฉันทำอย่างไรก็ได้เพื่อรักษาไฟที่จุดนี้ไว้ให้ได้นาน แล้วค่อยกลับมาหาเขาอีกที
เมื่อฉันมีแสงไฟเล็กๆ จากเทียนแล้ว ฉันได้หาใบไม้มาโอบห่อล้อมเทียนเอาไว้เพื่อบังลม เพื่อไม่ให้เทียนดับ แล้วกลับไปต่อแถวเพื่อพบชายในผ้าคลุมอีกครั้ง เมื่อได้พบ ชายในผ้าคลุมกล่าวชมที่ยังรักษาไฟไว้ได้ จากนั้นจึงสอนการทำโคมไฟให้กับฉัน เมื่อฉันทำโคมไฟได้แล้ว ฉันก็คอยเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้มันเพื่อรักษาไฟไว้ แล้วรอต่อแถวเพื่อพบชายในผ้าคลุมอีกครั้ง เมื่อได้พบเขาก็สอนให้ฉันดัดแปลงโคมไฟเพื่อให้ฉันถือเดินทางไปไหนต่อไหนได้สะดวก พร้อมกับบอกว่า ฉันนั้นพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับบ้านของตนด้วยแสงสว่างที่ฉันได้สร้างขึ้นเอง และจะสร้างได้อีกมายมายเพื่อประดับให้บ้านของฉันนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง
ฉันดีใจมากกับไฟที่ตนได้สร้างขึ้น ฉันกล่าวขอบคุณชายในผ้าคลุมที่เป็นครูสอนการจุดไฟให้กับฉัน แล้วจากหมู่บ้านแห่งเทียนมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางฉันได้ผ่านหมู่บ้านแห่งแสงอีกครั้ง ที่นั่นยังมีผู้คนมากมายและเสียงดังโหวกเหวกอยู่เช่นเคย หลายๆ คนอวดไฟที่ตนเองมี ขายไฟที่ตนเองสร้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังเอาแต่ชื่นชมยินดีกับพลุและไฟของคนอื่นๆ โดยที่ยังไม่มีไฟเป็นของตน และอีกหลายคนที่หลบแสงไฟไปนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมมืดของหมู่บ้าน ฉันก็ได้แต่จากมาโดยที่ไม่เข้าใจว่าพวกเขานั้นต้องการอะไร
พอกลับมาถึงบ้านตนเองฉันก็ยังคงค้างคาใจอยู่ กับผู้คนที่ไม่มีแสงไฟและยังใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืด สิ่งที่ฉันต้องการจะบอกพวกเขาคือ
“หากคุณอยากมีแสงเป็นของตัวเอง อย่าได้ตามมองหาและมัวชื่นชมอยู่กับพลุ แต่จงมองหาครูที่จะสอนคุณจุดเทียน”
ฉันคงไม่ได้มีโอกาสตามไปบอกทุกคนในมุมมืดของเมืองแห่งแสง ได้แต่เพียงติดกระดาษเล็กๆ แผ่นนี้ไว้บนกำแพงเมืองหลวงแห่งนี้ เผื่อว่าพวกคุณทดท้อใจเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้วเห็นมันในวันใดวันหนึ่ง
จบการเพ้อ
แด่ ครูผู้สอนจุดเทียน
โดย ศิษย์
ลอร์ดผู้จุดพลุ กับครูผู้สอนจุดเทียน
วันก่อน ในดินแดนที่มีป่าไม้ปกคลุมจนมืดมิด ฉันเดินตามแสงสว่างเล็กๆ เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านแห่งแสง แม้แสงในนั้นจะไม้ได้สว่างนักก็ตาม ที่นั่นมีคนอยู่มากมาย บ้างค้าขายแสงไฟ บ้างอวดโคมไฟของตัวเอง บ้างมาประกาศหาซื้อไฟ ฉันปักหลักอยู่ที่นั่นชั่วคราว มองดูผู้คนในนั้น ได้แต่หวังเล็กๆ ว่าจะได้ไฟซักดวงติดมือกลับไปที่เมืองตนเอง
อยู่มาวันนึง ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นลอร์ดของปราสาทแห่งแสง เป็นลอร์ดผู้ปกครองหมู่บ้านแห่งแสงนี้ ก็ได้ป่าวประกาศภายในหมู่บ้าน ว่าหลังจากนี้ เขาจะทำให้หมู่บ้านสว่างไสว คนในหมู่บ้านจะได้มีไฟเป็นของตัวเอง ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันตื่นเต้นยินดี สนอกสนใจว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่กี่วันต่อมา ลอร์ดผู้นี้ได้ไปจุดพลุลูกใหญ่ที่เมืองหลวง พลุที่สวยงาม มีแสงสว่างเจิดจ้า และเสียงดังจากเมืองหลวงมาจนถึงหมู่บ้านแสงเลยทีเดียว จากนั้นลอร์ดก็จุดพลุรายทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านแห่งแสง ทำให้มีผู้คนมากมายเดินตามแสงของพลุมายังหมู่บ้านแห่งแสง
หลังเหตุการณ์นั้น เมืองแห่งแสงที่สว่างไสวยิ่งกว่าเดิมก็มีผู้คนแน่นขนัดยิ่งกว่าเดิม ผู้คนในหมู่บ้านต่างแย่งกันตะเบ็งเสียงป่าวประกาศขายแสงยิ่งกว่าเดิม บ้างโห่ร้องสรรเสริญลอร์ดแห่งแสง บ้างเพียงแค่ป่าวประกาศชื่อของตน บ้างป่าวประกาศว่าตนคือครูผู้ที่รู้วิธีทำให้แสงนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าใคร แต่การจะเป็นศิษย์ได้นั้นต้องจ่ายด้วยเงินตรา ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกมาป่าวประกาศโจมตีการกระทำของลอร์ดแห่งแสง ว่าทำให้หมู่บ้านปั่นป่วนวุ่นวาย ณ ตอนนั้นฉันคิดว่าเมืองนี้ดูจะไม่น่าอยู่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มา
จนฉันได้พบชายในผ้าคลุมผู้หนึ่ง แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าตา แต่กลับรู้สึกได้ว่าเขานั้นมีแสงเรืองๆ ออกมาจากภายในผ้าคลุมของเขา ชายผู้นี้เดินทางมาเมืองแห่งแสงเพียงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากแสงเสียงอึกทึกครึกโครมก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเดินทางกลับหมู่บ้านตนเอง ฉันจึงขอเดินทางตามเขาไปด้วย จนได้พบกับอึกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านแห่งแสงนัก มันคือหมู่บ้านแห่งเทียน แม้จำนวณของผู้คนจะเทียบไม่ได้กับเมืองแห่งแสง แต่ก็ไม่ได้รกร้างมืดมิด มีแสงอยู่ในหมู่บ้านประปราย และสงบกว่าเมืองแห่งแสงมาก
เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งเทียน ชายในผ้าคลุมก็ป่าวประกาศในหมู่บ้านว่า เขาจะสอนให้ใครก็ตามที่ยังไม่มีแสง ได้สร้างแสงขึ้นมาจากการจุดเทียน ให้คนที่สนใจตามเข้าไปแนะนำตัวในบ้านของเขา แล้วเขาจะสอนวิธีจุดเทียนให้โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงินตรา มีผู้คนมากมายสนใจและต่อแถวเข้าไปที่บ้านของชายในผ้าคลุมมากมาย ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ในครั้งแรกชายในผ้าคลุมได้มอบเทียนให้ฉันหนึ่งเล่ม สอนวิธีการจุดเทียน จากนั้นก็มอบหมายให้ฉันทำอย่างไรก็ได้เพื่อรักษาไฟที่จุดนี้ไว้ให้ได้นาน แล้วค่อยกลับมาหาเขาอีกที
เมื่อฉันมีแสงไฟเล็กๆ จากเทียนแล้ว ฉันได้หาใบไม้มาโอบห่อล้อมเทียนเอาไว้เพื่อบังลม เพื่อไม่ให้เทียนดับ แล้วกลับไปต่อแถวเพื่อพบชายในผ้าคลุมอีกครั้ง เมื่อได้พบ ชายในผ้าคลุมกล่าวชมที่ยังรักษาไฟไว้ได้ จากนั้นจึงสอนการทำโคมไฟให้กับฉัน เมื่อฉันทำโคมไฟได้แล้ว ฉันก็คอยเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้มันเพื่อรักษาไฟไว้ แล้วรอต่อแถวเพื่อพบชายในผ้าคลุมอีกครั้ง เมื่อได้พบเขาก็สอนให้ฉันดัดแปลงโคมไฟเพื่อให้ฉันถือเดินทางไปไหนต่อไหนได้สะดวก พร้อมกับบอกว่า ฉันนั้นพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับบ้านของตนด้วยแสงสว่างที่ฉันได้สร้างขึ้นเอง และจะสร้างได้อีกมายมายเพื่อประดับให้บ้านของฉันนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง
ฉันดีใจมากกับไฟที่ตนได้สร้างขึ้น ฉันกล่าวขอบคุณชายในผ้าคลุมที่เป็นครูสอนการจุดไฟให้กับฉัน แล้วจากหมู่บ้านแห่งเทียนมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางฉันได้ผ่านหมู่บ้านแห่งแสงอีกครั้ง ที่นั่นยังมีผู้คนมากมายและเสียงดังโหวกเหวกอยู่เช่นเคย หลายๆ คนอวดไฟที่ตนเองมี ขายไฟที่ตนเองสร้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังเอาแต่ชื่นชมยินดีกับพลุและไฟของคนอื่นๆ โดยที่ยังไม่มีไฟเป็นของตน และอีกหลายคนที่หลบแสงไฟไปนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมมืดของหมู่บ้าน ฉันก็ได้แต่จากมาโดยที่ไม่เข้าใจว่าพวกเขานั้นต้องการอะไร
พอกลับมาถึงบ้านตนเองฉันก็ยังคงค้างคาใจอยู่ กับผู้คนที่ไม่มีแสงไฟและยังใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืด สิ่งที่ฉันต้องการจะบอกพวกเขาคือ
“หากคุณอยากมีแสงเป็นของตัวเอง อย่าได้ตามมองหาและมัวชื่นชมอยู่กับพลุ แต่จงมองหาครูที่จะสอนคุณจุดเทียน”
ฉันคงไม่ได้มีโอกาสตามไปบอกทุกคนในมุมมืดของเมืองแห่งแสง ได้แต่เพียงติดกระดาษเล็กๆ แผ่นนี้ไว้บนกำแพงเมืองหลวงแห่งนี้ เผื่อว่าพวกคุณทดท้อใจเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้วเห็นมันในวันใดวันหนึ่ง
จบการเพ้อ
แด่ ครูผู้สอนจุดเทียน
โดย ศิษย์