ต่อไปนี้เป็นการตั้งสมมุติฐาน ในฐานะที่พอได้เรียนมาจบทางวิทยาศาสตร์ แต่ขอให้ทำความเข้าใจก่อนเกิดดราม่าว่า ผมมองวิทยาศาสตร์กับ พุทธศาสตร์ อย่างไร?
ผมมอง วิทยาศาตร์ กับ พุทธศาสตร์ เป็นคนละศาสตร์หรือคนละเรื่อง เพราะจุดเริ่มนั้นต่างกัน แม้จะมีกระบวนการที่คล้ายกันบ้างก็ตาม และเป้าหมายก็ไม่ได้เหมือนกันเป็นเนื้อเดียวกันเลย
ซึ่งแม้แต่ วิชาทางวิทยาศาตร์เหมือนกัน แต่ต่างสาขากันก็มีเป้าหมายต่างกันเช่น สาขาเคมี กับสาขาคณิตศาสตร์ ก็มีเป้าหมายคนละเรื่องกัน เรื่ยนก็ต่างกัน
หวังว่าคงเข้าใจคอนเซ็บในความคิดผมแล้วนะ เพื่อไม่ให้เกิดการดราม่า จนออกทะเลไปเสียก่อน
สมมุติฐานทางความคิดของผมเรื่อง ระบบปิด ซึ่งระบบปิดทางวิทยาศาสตร์ในโลกนี้มีหลายระบบมาก ยกตัวอย่างเช่น
- ระบบน้ำ อากาศ บนโลกเรานี้ ก็คือว่าเป็นระบบปิด คือหมุนเวียนเปลียนแปลงอยู่ในบริเวณของโลกเราเท่านั้น ง่ายๆ เช่น จากน้ำ กลายเป็นไอ จากไอน้ำ กลายเป็นเมฆแล้วกลั่นกลายเป็นฝน แล้วตกลงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ในโลกเราใบนี้ เป็นวัฏจักรหมุ่นเวียนอยู่ นี้เรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลกเราที่อาศัยอยู่
- ระบบนิเวศของโลกเรา ก็คงเข้าใจเช่นเดียวกันนะครับ ว่าเป็นวัฏจักรหมุ่นเวียนอยู่ เพราะเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโลกนี้เช่นกัน
- ก็ยังมี ระบบปิดที่มนุษย์สร้างมาได้อีกหลายระบบ แต่เพื่อไม่ให้ยืดยาวเพราะเป็นเรื่องการตั้งสมมุติฐาน จึงยกตัวอย่างที่พอเข้าใจได้ ก็คือระบบนิเวศปิด ที่มนุษย์คิดค้นและมีความเป็นไปได้ คือสร้างระบบนิเวศปิดในยานอาวกาศ ที่ทำการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในระบบยานอาวกาศ เมื่อควบคุมระบบได้แบบสมดุลย์ สามารถ รียูส ทรัพยากรณ์ต่างๆ ในระบบปิด เป็นวัฏจักรหมุนเวียนมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะต่างก็เป็นอาหารเป็นปัจจัยกัน ก็ย่อมดำรงอยู่ได้โดยตลอดตามเป้าหมาย เมื่อระบบนั้นยังไม่ถูกแทรกแชงหรือทำลายลงไป.
ถึงตรงนี้ท่านผู้ติดตามคงเข้าใจเรื่องระบบปิด ที่ผมตั้งไว้แล้วที่หัวกระทู้แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องระบบเปิดเป็นอนันของยูนิเวอร์ด ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางท่าน ดังนี้
กล่าวถึงธรรมชาติที่เป็นวัตถุ ที่พอเปรียบเทียยได้กับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เรื่องดวงดาวและกาแลคชีต่างๆ
สมัยก่อนมีกล้องดูดาว ที่ดูได้เห็นเฉพาะในระบบกาแลคชีทางช้างเผือก เลยจากนั้นเป็นที่ว่างเปล่าไม่ปรากฏดวงดาวได้ สมัยนั้นจึงเห็นไปว่า จักรวาลน่าจะมีขอบเขตเพียงแค่นั้น แต่เมื่อมีกล้องดูดาวที่มีกำลังขยายมากขึ้น ก็สังเกตเห็นกาแลคชีใกล้เคียง แต่เป็นเหมือนกลุมผุ่นบางๆ ก็มีข้อถกเถียงเชิงวิทยาศาสตร์ช่วงหนึ่ง
จนวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้น สร้างกล้องดูดาวขนาดใหญ่บนยอดเขา ก็เห็นกาแลคชีใกล้กับกาแลคชีทางช้างเผือกเรามากขึ้น จนเกิดทฤษฏีบิกแบ็งขึ้น ก็ยังเป็นทฤษฏีที่ยังพอมีการเชื่อถือในยุคปัจจุบันกับคนบางกลุ่ม แต่ทฤษฎีนี้ก็ค่อยๆ โดนข้อมูลใหม่ทางดาราศาสตร์ ทำให้ตกไปตามลำดับ
จนเทคโนโลยี่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น สามารถส่งกล้องอับเบิล ไปส่องดูนอกโลกได้ ซึ่งชั้นบรรยากาศโลกไม่มีผลต่อการส่องดู สามารถสองดูได้ไกลถึงเป็นหลายหมื่นล้านปีแสง ที่เป็นรัศมี จากโลก ทั่วบริเวณแบบปริมาตรทรงกลม ก็ยังพบเจอกาแลคชีมากมาย ไม่จบไม่สิ้น แม้จะสุดความสามารถของกล้องอับเบิลแล้วก็ตาม
ดังนั้นถ้ากลองอับเบิล หรือกล้องอื่นที่มีกำลังมากกว่าอับเบิล มีกำลังส่องดูได้ไกลมากกว่านี้อีก ผมตั้งสมมุติฐานว่า ก็ยังพบเจอกาแลคชีได้อีกไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าขอบที่จะหมดกาแลคชีได้ที่ตรงใหน.
ซี่งผมก็ได้อ่านศึกษาในตำราพุทธศาสนา กล่าวว่าหาที่สุดขอบเขตจักรวาลไม่ได้ ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีกล้องดูดาว ก็ไม่เป็นที่เข้าใจได้ของคนในยุคโบราณนั้นได้เป็นส่วนมาก
ตามสมมุติฐานตรงนี้ของผม เมื่อเป็นระบบเปิดที่เป็นอนัน >>>> ก็เสมือนกลายเป็นระบบปิด ที่ไม่มีสิ้นสุดนั้นเอง ก็ตือย่อมหาจุดเริ่มไม่ได้ และหาจุดจบหรือจุดปลายไม่ได้นั้นเอง
ต่อไปผมจะเทียบเคียงกับพุทธศานาที่ผมได้ศึกษาปฏิบัติมา ไม่ได้หมายความว่า พุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ หรือพุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์อย่างใหนเหนือกว่ากัน นะครับ
ธรรมชาติทางพุทธศานาหรือยูนิเวอร์ดเป็นระบบเปิดเป็นอนัน แบ่งเป็นส่วนใหญ่เป็น 2 ส่วนคือ 1.สังขตธรรม 2.อสังขตธรรม ซึ่ง...
1.สังขตธรรม คือธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลียนแปลง ไม่เทียง เป็นทุกขัง(ตั้งอยู่ไม่ได้) หมุนเวียนอยู่เป็นเช่นนั้น และยึดมั่นถือมั่นย่อมเป็นทุกข์ หาเบื้องต้นไม่ได้
2.อสังขตธรรม คือธรรมชาติ ที่สงบเย็นสันติ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอัมตะ หรือ นิพพาน นั้นเอง
ซึ่งทั้ง สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม นั้นต่างเป็นระบบในธรรมชาติที่เป็นระบบเปิดเป็นอนัน ธรรมชาติที่เป็นระบบเปิดเป็นอนันย่อมหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ สามารถกล่าวได้ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
ดังนั้น สังขตธรรม เป็นระบบปิดใหญ่ภายในธรรมชาติที่เปิดเป็นอนัน ระบบปิดนั้นก็คือ อิทัปปัจจยตา ที่มีความมายดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สั่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนั้น ภายในธรรมชาติ ฝ่ายสังขตธรรม และมีระบบปิดส่วนหนึ่งก็คือ ปฏิจจสมทปบาทฝ่ายเกิด ถ้าเทียบเคียงกับโลกเป็นระบบปิดแบบใหญ่ และภายในโลกก็มีระบบปิดเล็กภายในเช่น ระบบปิดของน้ำ จากน้ำ > ไอ > เมฆ > ฝน > น้ำ เป็นวัฏจักร วนเวียนอยู่อย่างนั้น จนกว่าระบบโดนแทรกแชง หรือโดนทำลาย ไป.
วัฏจักรของ ปฏิจจสมุทปบาท เป็นดังนี้
มี อวิขขา เป็นปัจจัย จึงยังตกอยู่ในธรรชาติ ฝ่ายสังขตธรรม
เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร
เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงเกิดอายตนะ
เพราะอายตนะ เป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน
....
.... (เป็นปัจจัยกันต่อไปเรื่อยทีสุด) เกิด มรณะ โลกะ ปริเทวะ หรือทุกข์นั้นเอง
ทุกส่วนของปัจจัยนั้น ย่อมเป็นปัจจัยวนกลับไป เป็น อวิชชา หรือเป็นอาหารของ อวิชชา นั้นได้ตลอด
ดังนั้นเมื่อมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงเป็นเช่นนั้นเอง วนเวียนอยู่ในธรรมชาติที่เป็นฝ่าย สังขตธรรม ที่เป็นเช่นนั้นเอง หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ จนกว่าเจริญธรรมเจริญปัญญาจนเกิด วิชชา ดับ อวิชชา จึงพ้นไปจากฝั่งธรรมชาติที่เป็นสังขตธรรม เป็นธรรมชาติฝ่ายอสังขตธรรมได้.
แต่ไม่ใช่ว่า แค่มีความเข้าใจถูกต้อง หรือวิเคราะห์ได้ถูกต้อง หรือคิดได้ปิ้งขึ้นมา แล้วจะทำให้เราสามารถทำลาย อวิชชา ได้จนไม่เกิดขึ้นอีกที่เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียน เกิด - ดับ เฉพาะตนได้ ซึ่งมีผู้ศึกษาพุทธศาสนาบางส่วนเข้าใจผิดอยู่มากเช่นกัน ที่เห็นว่าเพียงเข้าใจถูก วิเคราะห์ได้ถูกต้อง หรือคิดปิ้งขึ้นมาได้ตรง ก็จะทำให้ อวิชชา นั้นดับสิ้นไม่เกิดขึ้นอีกได้
ผมจะเปรียบเทียบให้เข้าใจดังนี้ ผู้เรียนวิทยาศาสตร์ ย่อมเรียนและเข้าใจเรื่อง น้ำ ซึ่งน้ำทางเคมีประกอบด้วย H2+O แม้จะเข้าใจองค์ประกอบทางเคมีของน้ำแล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าพอเข้าใจแล้วสามารถจะแยกองค์ประกอบของน้ำออกจากกันได้เป็น H กับ O ทันที ด้วยเพียงแค่เข้าใจและรัองค์ประกอบเท่านั้น
การแยกน้ำ ไม่ให้เป็นน้ำกลายเป็น H นั้น O ต้องผ่านกรรมวิธีอื่นๆ เช่นต้องอาศัยตัวเร่ง ต้องอาศัยไฟฟ้า ตามขั้นตอนจึงแยกน้ำให้กลายเป็น H กับ O ได้ไม่เป็นน้ำต่อไป.
เช่นเดียวกับ ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด ที่สืบต่อเนื่องเฉพาะตนนั้น แค่รู้แค่เข้าใจได้ตรงแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรให้ อวิชชา นั้นดับสิ้นไม่มีการสืบต่อไปได้
การจะดับอวิชชา นั้นก็มีกรรมวิธีปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ตามลำดับ เริ่มจากมีศีล สำรวมอินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เจริญสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ ปฏิบัตกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งใน 40 อย่างเป็นหลัก จนเป็นสติปัฏฐาน 4 แล้วต้องอาศัยธรรมเหล่านี้ประกอบร่วม ได้แก่ อธิบาท 4 พละ 5 สัมมัปปทาน 4 อินทรีย 5 เมื่อปฏิบัติด้วยธรรมเหล่านั้นสมบูรณ์ ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน 4 เจริญสมบูรณ์
เมื่อสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ โพชฒงค์ 7 เจริญขึ้น
เมื่อเจริญโพชฒงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 เจริญขึ้น
เมื่อเจริญมรรคมีองค์ 8 สมบรูณ์ ย่อมเกิดปัญญาญาณ ดับอวิชชาได้ ทำให้อวิชชาอ่อนกำลังลง จนดับอวิชชาได้หมดสิ้นไปตามลำดับ ข้ามฝั่งธรรมชาติฝ่ายสังขตธรรม สู่ธรรมชาติฝ่าย อสังขตธรรม หรือนิพพาน ที่เป็นอมตะธรรม.
ที่อธิบายมานี้หวังว่าคงพอเข้าใจได้ นะครับ.
ตั้งสมมุตฐาน ระบบปิด ระบบเปิดอนันของยูนิเวอร์ด กับ ปฏิจสมุทบาปฝ่ายเกิด และธรรมชาติแบ่งเป็นสอง 1.สังขตธรรม 2.อสังขตธรรม
ผมมอง วิทยาศาตร์ กับ พุทธศาสตร์ เป็นคนละศาสตร์หรือคนละเรื่อง เพราะจุดเริ่มนั้นต่างกัน แม้จะมีกระบวนการที่คล้ายกันบ้างก็ตาม และเป้าหมายก็ไม่ได้เหมือนกันเป็นเนื้อเดียวกันเลย
ซึ่งแม้แต่ วิชาทางวิทยาศาตร์เหมือนกัน แต่ต่างสาขากันก็มีเป้าหมายต่างกันเช่น สาขาเคมี กับสาขาคณิตศาสตร์ ก็มีเป้าหมายคนละเรื่องกัน เรื่ยนก็ต่างกัน
หวังว่าคงเข้าใจคอนเซ็บในความคิดผมแล้วนะ เพื่อไม่ให้เกิดการดราม่า จนออกทะเลไปเสียก่อน
สมมุติฐานทางความคิดของผมเรื่อง ระบบปิด ซึ่งระบบปิดทางวิทยาศาสตร์ในโลกนี้มีหลายระบบมาก ยกตัวอย่างเช่น
- ระบบน้ำ อากาศ บนโลกเรานี้ ก็คือว่าเป็นระบบปิด คือหมุนเวียนเปลียนแปลงอยู่ในบริเวณของโลกเราเท่านั้น ง่ายๆ เช่น จากน้ำ กลายเป็นไอ จากไอน้ำ กลายเป็นเมฆแล้วกลั่นกลายเป็นฝน แล้วตกลงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ในโลกเราใบนี้ เป็นวัฏจักรหมุ่นเวียนอยู่ นี้เรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลกเราที่อาศัยอยู่
- ระบบนิเวศของโลกเรา ก็คงเข้าใจเช่นเดียวกันนะครับ ว่าเป็นวัฏจักรหมุ่นเวียนอยู่ เพราะเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโลกนี้เช่นกัน
- ก็ยังมี ระบบปิดที่มนุษย์สร้างมาได้อีกหลายระบบ แต่เพื่อไม่ให้ยืดยาวเพราะเป็นเรื่องการตั้งสมมุติฐาน จึงยกตัวอย่างที่พอเข้าใจได้ ก็คือระบบนิเวศปิด ที่มนุษย์คิดค้นและมีความเป็นไปได้ คือสร้างระบบนิเวศปิดในยานอาวกาศ ที่ทำการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในระบบยานอาวกาศ เมื่อควบคุมระบบได้แบบสมดุลย์ สามารถ รียูส ทรัพยากรณ์ต่างๆ ในระบบปิด เป็นวัฏจักรหมุนเวียนมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะต่างก็เป็นอาหารเป็นปัจจัยกัน ก็ย่อมดำรงอยู่ได้โดยตลอดตามเป้าหมาย เมื่อระบบนั้นยังไม่ถูกแทรกแชงหรือทำลายลงไป.
ถึงตรงนี้ท่านผู้ติดตามคงเข้าใจเรื่องระบบปิด ที่ผมตั้งไว้แล้วที่หัวกระทู้แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องระบบเปิดเป็นอนันของยูนิเวอร์ด ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางท่าน ดังนี้
กล่าวถึงธรรมชาติที่เป็นวัตถุ ที่พอเปรียบเทียยได้กับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เรื่องดวงดาวและกาแลคชีต่างๆ
สมัยก่อนมีกล้องดูดาว ที่ดูได้เห็นเฉพาะในระบบกาแลคชีทางช้างเผือก เลยจากนั้นเป็นที่ว่างเปล่าไม่ปรากฏดวงดาวได้ สมัยนั้นจึงเห็นไปว่า จักรวาลน่าจะมีขอบเขตเพียงแค่นั้น แต่เมื่อมีกล้องดูดาวที่มีกำลังขยายมากขึ้น ก็สังเกตเห็นกาแลคชีใกล้เคียง แต่เป็นเหมือนกลุมผุ่นบางๆ ก็มีข้อถกเถียงเชิงวิทยาศาสตร์ช่วงหนึ่ง
จนวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้น สร้างกล้องดูดาวขนาดใหญ่บนยอดเขา ก็เห็นกาแลคชีใกล้กับกาแลคชีทางช้างเผือกเรามากขึ้น จนเกิดทฤษฏีบิกแบ็งขึ้น ก็ยังเป็นทฤษฏีที่ยังพอมีการเชื่อถือในยุคปัจจุบันกับคนบางกลุ่ม แต่ทฤษฎีนี้ก็ค่อยๆ โดนข้อมูลใหม่ทางดาราศาสตร์ ทำให้ตกไปตามลำดับ
จนเทคโนโลยี่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้น สามารถส่งกล้องอับเบิล ไปส่องดูนอกโลกได้ ซึ่งชั้นบรรยากาศโลกไม่มีผลต่อการส่องดู สามารถสองดูได้ไกลถึงเป็นหลายหมื่นล้านปีแสง ที่เป็นรัศมี จากโลก ทั่วบริเวณแบบปริมาตรทรงกลม ก็ยังพบเจอกาแลคชีมากมาย ไม่จบไม่สิ้น แม้จะสุดความสามารถของกล้องอับเบิลแล้วก็ตาม
ดังนั้นถ้ากลองอับเบิล หรือกล้องอื่นที่มีกำลังมากกว่าอับเบิล มีกำลังส่องดูได้ไกลมากกว่านี้อีก ผมตั้งสมมุติฐานว่า ก็ยังพบเจอกาแลคชีได้อีกไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าขอบที่จะหมดกาแลคชีได้ที่ตรงใหน.
ซี่งผมก็ได้อ่านศึกษาในตำราพุทธศาสนา กล่าวว่าหาที่สุดขอบเขตจักรวาลไม่ได้ ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีกล้องดูดาว ก็ไม่เป็นที่เข้าใจได้ของคนในยุคโบราณนั้นได้เป็นส่วนมาก
ตามสมมุติฐานตรงนี้ของผม เมื่อเป็นระบบเปิดที่เป็นอนัน >>>> ก็เสมือนกลายเป็นระบบปิด ที่ไม่มีสิ้นสุดนั้นเอง ก็ตือย่อมหาจุดเริ่มไม่ได้ และหาจุดจบหรือจุดปลายไม่ได้นั้นเอง
ต่อไปผมจะเทียบเคียงกับพุทธศานาที่ผมได้ศึกษาปฏิบัติมา ไม่ได้หมายความว่า พุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ หรือพุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์อย่างใหนเหนือกว่ากัน นะครับ
ธรรมชาติทางพุทธศานาหรือยูนิเวอร์ดเป็นระบบเปิดเป็นอนัน แบ่งเป็นส่วนใหญ่เป็น 2 ส่วนคือ 1.สังขตธรรม 2.อสังขตธรรม ซึ่ง...
1.สังขตธรรม คือธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลียนแปลง ไม่เทียง เป็นทุกขัง(ตั้งอยู่ไม่ได้) หมุนเวียนอยู่เป็นเช่นนั้น และยึดมั่นถือมั่นย่อมเป็นทุกข์ หาเบื้องต้นไม่ได้
2.อสังขตธรรม คือธรรมชาติ ที่สงบเย็นสันติ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอัมตะ หรือ นิพพาน นั้นเอง
ซึ่งทั้ง สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม นั้นต่างเป็นระบบในธรรมชาติที่เป็นระบบเปิดเป็นอนัน ธรรมชาติที่เป็นระบบเปิดเป็นอนันย่อมหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ สามารถกล่าวได้ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
ดังนั้น สังขตธรรม เป็นระบบปิดใหญ่ภายในธรรมชาติที่เปิดเป็นอนัน ระบบปิดนั้นก็คือ อิทัปปัจจยตา ที่มีความมายดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สั่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนั้น ภายในธรรมชาติ ฝ่ายสังขตธรรม และมีระบบปิดส่วนหนึ่งก็คือ ปฏิจจสมทปบาทฝ่ายเกิด ถ้าเทียบเคียงกับโลกเป็นระบบปิดแบบใหญ่ และภายในโลกก็มีระบบปิดเล็กภายในเช่น ระบบปิดของน้ำ จากน้ำ > ไอ > เมฆ > ฝน > น้ำ เป็นวัฏจักร วนเวียนอยู่อย่างนั้น จนกว่าระบบโดนแทรกแชง หรือโดนทำลาย ไป.
วัฏจักรของ ปฏิจจสมุทปบาท เป็นดังนี้
มี อวิขขา เป็นปัจจัย จึงยังตกอยู่ในธรรชาติ ฝ่ายสังขตธรรม
เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร
เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงเกิดอายตนะ
เพราะอายตนะ เป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน
....
.... (เป็นปัจจัยกันต่อไปเรื่อยทีสุด) เกิด มรณะ โลกะ ปริเทวะ หรือทุกข์นั้นเอง
ทุกส่วนของปัจจัยนั้น ย่อมเป็นปัจจัยวนกลับไป เป็น อวิชชา หรือเป็นอาหารของ อวิชชา นั้นได้ตลอด
ดังนั้นเมื่อมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงเป็นเช่นนั้นเอง วนเวียนอยู่ในธรรมชาติที่เป็นฝ่าย สังขตธรรม ที่เป็นเช่นนั้นเอง หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ จนกว่าเจริญธรรมเจริญปัญญาจนเกิด วิชชา ดับ อวิชชา จึงพ้นไปจากฝั่งธรรมชาติที่เป็นสังขตธรรม เป็นธรรมชาติฝ่ายอสังขตธรรมได้.
แต่ไม่ใช่ว่า แค่มีความเข้าใจถูกต้อง หรือวิเคราะห์ได้ถูกต้อง หรือคิดได้ปิ้งขึ้นมา แล้วจะทำให้เราสามารถทำลาย อวิชชา ได้จนไม่เกิดขึ้นอีกที่เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียน เกิด - ดับ เฉพาะตนได้ ซึ่งมีผู้ศึกษาพุทธศาสนาบางส่วนเข้าใจผิดอยู่มากเช่นกัน ที่เห็นว่าเพียงเข้าใจถูก วิเคราะห์ได้ถูกต้อง หรือคิดปิ้งขึ้นมาได้ตรง ก็จะทำให้ อวิชชา นั้นดับสิ้นไม่เกิดขึ้นอีกได้
ผมจะเปรียบเทียบให้เข้าใจดังนี้ ผู้เรียนวิทยาศาสตร์ ย่อมเรียนและเข้าใจเรื่อง น้ำ ซึ่งน้ำทางเคมีประกอบด้วย H2+O แม้จะเข้าใจองค์ประกอบทางเคมีของน้ำแล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าพอเข้าใจแล้วสามารถจะแยกองค์ประกอบของน้ำออกจากกันได้เป็น H กับ O ทันที ด้วยเพียงแค่เข้าใจและรัองค์ประกอบเท่านั้น
การแยกน้ำ ไม่ให้เป็นน้ำกลายเป็น H นั้น O ต้องผ่านกรรมวิธีอื่นๆ เช่นต้องอาศัยตัวเร่ง ต้องอาศัยไฟฟ้า ตามขั้นตอนจึงแยกน้ำให้กลายเป็น H กับ O ได้ไม่เป็นน้ำต่อไป.
เช่นเดียวกับ ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด ที่สืบต่อเนื่องเฉพาะตนนั้น แค่รู้แค่เข้าใจได้ตรงแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรให้ อวิชชา นั้นดับสิ้นไม่มีการสืบต่อไปได้
การจะดับอวิชชา นั้นก็มีกรรมวิธีปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ตามลำดับ เริ่มจากมีศีล สำรวมอินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เจริญสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ ปฏิบัตกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งใน 40 อย่างเป็นหลัก จนเป็นสติปัฏฐาน 4 แล้วต้องอาศัยธรรมเหล่านี้ประกอบร่วม ได้แก่ อธิบาท 4 พละ 5 สัมมัปปทาน 4 อินทรีย 5 เมื่อปฏิบัติด้วยธรรมเหล่านั้นสมบูรณ์ ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน 4 เจริญสมบูรณ์
เมื่อสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ โพชฒงค์ 7 เจริญขึ้น
เมื่อเจริญโพชฒงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 เจริญขึ้น
เมื่อเจริญมรรคมีองค์ 8 สมบรูณ์ ย่อมเกิดปัญญาญาณ ดับอวิชชาได้ ทำให้อวิชชาอ่อนกำลังลง จนดับอวิชชาได้หมดสิ้นไปตามลำดับ ข้ามฝั่งธรรมชาติฝ่ายสังขตธรรม สู่ธรรมชาติฝ่าย อสังขตธรรม หรือนิพพาน ที่เป็นอมตะธรรม.
ที่อธิบายมานี้หวังว่าคงพอเข้าใจได้ นะครับ.