จะแต่งงาน ต้องดูพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของคู่ชีวิตด้วยนะ

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันธุ์ทิพย์ค่ะ
เรามีเรื่องราวจะแชร์ให้กับทุกคนเพื่อระมัดระวังการใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้นนะคะ ใครที่คิดจะคบหากับใครจริงจัง ควรทำความรู้จักกับครอบครัวของอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อนที่จะสินใจทำอะไรลงไป เพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดพลาด และสร้างความทุกข์ให้กับคนในครอบครัวของเรา...

พี่ชายเราเริ่มทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง และได้เจอกับน้อง น. เพิ่งเข้ามาเป็นพนักงานฝึกหัดในบริษัท พี่เราเป็นคนเจ้าชู้หยอดคนโน้นทีคนนั้นทีเป็นปกติอยู่แล้ว (พี่เรามีแฟนอยู่แล้ว) ก็คุยเล่นกับน้อง น. มาตลอด จนวันนึงพี่ชายก็เลิกกับแฟน (คิดว่าแฟนน่าจะจับได้ว่าแอบกิ๊กๆกันกับคนที่ทำงาน) แล้วจากนั้นก็คบกับน้อง น. อย่างเปิดเผย

น้อง น. เป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี ทำให้ต้องหยุดงานบ่อยๆ จนเมื่อครบกำหนดเวลาฝึกงาน ทำให้น้อง น. ไม่ผ่านโปร
ตอนนั้นพี่ชาย ด้วยความที่รักน้อง น. มาก จึงย้ายไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดน้อง น.
พี่ชายเราถ้ารักใครตอนนั้นมันจะรักมาก แต่! ความรักของมันไม่นานนะ ประมาณ 1 ปี ความรักจะเริ่มหดหาย หรือแบบนี้ไม่ใช่ความรัก?
พี่ชายไม่ได้บอกว่าทำไมถึงต้องย้ายไปอยู่ด้วยกัน แต่เราคิดว่าเป็นปกติของมันเพราะมันก็อยู่กับแฟนตลอด

ไปอยู่กับน้อง น. ประมาณ4-5เดือน(จำไม่ค่อยได้ว่านานแค่ไหน) ปลายเดือน ก.พ. 55 พี่ชายโทรมาบอกแม่ว่า กำลังจะมีน้อง เพราะน้อง น. ประจำเดือนไม่มา และพากันไปตรวจแล้วว่า ท้องประมาณสัปดาห์ แม่ก็ตกใจนะ แต่อยากให้รับผิดชอบกันเอง เพราะโตๆกันแล้ว และน้อง น.ก็ไม่ใช่เด็ก

สงกรานต์ปีนั้น พี่ชายกลับบ้าน เพื่อจะขอเงินไปสู่ขอน้อง โดยขอเป็นเงินสด 500,000 บาท และทอง 20 บาท (ตอนนั้นทองบาทละ 2 หมื่นกว่าบาท)
พ่อและแม่ก็บอกตามตรงเลยว่า ไม่มี ให้ได้แค่ 100,000 เป็นการช่วยค่างานแต่งพอได้ แต่พี่ชายไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่า "บ้าน น้อง น. เป็นคนมีหน้ามีตา การท้องก่อนแต่งก็เป็นการหักหน้าเค้าอยู่แล้ว เค้าเลี้ยงลูกเค้ามาเป็นอย่างดี และนี่เป็นราคาที่เหมาะสม" พี่เราเครียดนะ เพราะมันก็รู้อยู่ว่าฐานะทางบ้านเราเป็นยังไง แต่มันเป็นคนที่ชอบสร้างภาพให้ดูดีมีฐานะ แต่งตัวดี กินอาหารดีๆ แต่อันนั้นมันก็ใช้เงินตัวเอง ไม่ได้รบกวนที่บ้านมากนัก ถึงจะเครียดยังไงพ่อเราก็ให้เงินไม่ได้ เพราะไม่มีจะให้จริงๆ

เงินที่เค้าขอ ไม่ได้ขอไปโชว์สินสอดตอนแต่งนะ แต่จะเอาจริงๆ เพราะ แม่น้อง น. ยังโทรมาว่าแม่เราว่า "เค้าเลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี คนจนๆแถวบ้านเค้าที่เพิ่งแต่งงานไป ก็ได้ประมาณนี้ แล้วเค้าเป็นคนมีหน้ามีตานะ จะให้น้อยกว่านี้คงไม่ได้หรอก" แม่เราก็อึ้งๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ดูท่าทางโน้นคงไม่ยอมแน่ แต่แม่เราก็ทำเฉยไว้ก่อน มีโทรมาปรึกษาเราบ้างว่าควรทำไง เราก็บอกแกไปว่าเฉยไว้

จากนั้นประมาณ 1-2 เดือน น้อง น. เริ่มท้องโตขึ้น พี่ชายเราก็พาน้อง น. และแม่ มาที่บ้านเพื่อทำความรู้จักมักคุ้นกัน แม่น้อง น. ก็พยายามตีสนิทกับญาติๆ หลอกถามโน่นนี่ถึงสมบัติของครอบครัวเรา บ้าน ที่ดิน กระทั่งเงินเดือนของพ่อ และอื่นๆอีกมากมาย พ่อเราเงินเดือนโอเคอยู่ แต่เพราะต้องจ่ายค่าโน่นนี่มากมาย เดือนๆนึงก็เหลือใช้ประมาณ หมื่นกว่าบาท แล้วไหนต้องส่งให้พี่ใช้อีก(บางครั้ง) เค้าใช้เงินกัน 2 คนก็ประหยัดกันเต็มที่อยู่แล้ว

หลังจากนั้น แม่น้อง น. ก็โทรมาที่บ้านเราเป็นระยะ โดยมีเรื่องหลักๆที่พูดก็คือ หาเงินได้หรือยัง, สงสารลูกที่ต้องมาเป็นแบบนี้ เสียใจเพราะเลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี  ประมาณนี้   ทุกครั้งที่เค้าโทรมา แม่เราก้จะโทรมาเล่าให้เราฟัง เพราะมีแต่เรื่องเดิมๆ

อยู่มาวันหนึ่ง ยายของน้อง น. จะเสีย พี่ชายก็โทรตามเราด่วน เพื่อให้เราไปเป็นเพื่อนมัน ที่บ้านน้อง น. ที่ต่างจังหวัด แต่ไม่ไกลกรุงเทพฯ ขึ้นรถที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เราก็ไปนะ ไปแบบงงๆ คิดในใจอยู่ว่า ทำไมต้องไปด้วยวะ? พี่ชายไม่เคยไปเหรอวะ? โทรถามแม่ แม่บอกว่าช่วยไปเป็นพยานให้หน่อยเค้าจะให้ยกน้ำชา เพราะว่าแม่น้อง น. บอกว่า ยายเป็นคนสำคัญ ต้องรีบกลับไปให้ทันดูใจยาย แม่คงไปไม่ทัน (บ้านเราอยู่ ต่างจังหวัดเหมือนกันคนละภาคเลย)

ไปถึงบ้านน้อง น. ตอนหัวค่ำ ยายน้อง น. นอนอยู่บนเตียง ที่บ้านร้องไห้กันระงม แม่เค้าบอกว่า น้อง น. เป็นหลานที่ยายรักที่สุด มานี่แล้วนะ ให้พี่เราเข้าไปใกล้ แล้วให้จับมือยายไว้ แล้วก็บอก นี่หลานเขยนะ แล้วบอกยายว่า ไม่ต้องห่วงนะ หลานมีคนดูแลแล้ว ไปดีนะยาย นะ... ประมาณ ชั่วโมงนึงหลังจากนั้นยายก็เสีย  ทำให้เราได้พิจารณาสภาพแวดล้อมหน่อย... คิดในใจว่า... นี่บ้านคนมีหน้ามีตาเหรอวะ?...

บ้านน้อง น. ที่พี่เราบอกว่า เป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เราคิดว่า แบบร้านแถวบ้านอ่ะขายทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า แอร์ ฯลฯ....No!!! ไม่ใช่เลย!!!
ขายปลั๊กไฟ  หลอดไฟ  สายไฟ  เทปพันสายไฟ พัดลม ไม่ใช่พวก มิตซูฯ ฮิตาชิ ชาร์ป ฯลฯ เป็นเหมือนแบบที่เค้าแจกตามงานวัด..มีขายตัว-สองตัว
เป็นห้องแถวไม้ชั้นเดียว อยู่ในตลาด ภาพตอนเด็กๆ ที่บ้านต่างจังหวัดของเราย้อนกลับมาเลย... แต่ก็คิดนะว่า เห้ยไม่หรอกน่า...
คนอยู่ในตลาดมีเงินจะตาย ไม่หรอกๆๆๆ

เราอยากกลับแล้ว เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินละ แต่เรานั่งรถมาแล้วจะกลับยังไง วันที่เราไปเป็นวันธรรมดา พรุ่งนี้เราก็ต้องทำงาน เราเลยขอตัวกลับก่อน และขอให้เค้าไปส่งที่ท่ารถ แต่...บ้านน้อง น. ไม่มีรถ เหมือนวันนั้นรถเสียหรืออะไรสักอย่าง เค้าเลยบอกให้เราค้างที่บ้านเค้าก่อน แล้วค่อยกลับรถเที่ยวแรกวันพรุ่งนี้

พอเรากลับถึงกรุงเทพฯ ก็โทรคุยกับแม่ว่า ไม่ค่อยเป็นอย่างที่เราคิดนะ แล้วก็เล่าตามที่เราเห็น แล้วตกลงก็ไม่ได้ยกน้ำชานะ

3 วันถัดมา พี่ชายทำเซอร์ไพรส์ โดยการโทรมาบอก พ่อกับแม่ว่า จะบวชหน้าไฟให้ยายน้อง น. เพราะเค้าบอกว่า บ้านเค้าไม่มีผู้ชาย (แล้วลุงล่ะ?) เดี๋ยวยายไม่มีบุญได้ขึ้นสวรรค์ พ่อแม่เราก็แอบน้อยใจนิดนึงว่า บอกให้บวชเอาบุญให้พ่อแม่ตั้งนานมันก็ไม่ยอมบวช อ้างโน่นอ้างนี่ แต่พอแบบนี้...นะ

เวลาผ่านไป ย้ายมาเช่าห้องใหม่ใกล้ที่ทำงานพี่ชาย เพราะ น้อง น. ไม่ได้ทำงานละ พี่ชายเลยต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เลยไม่มีเงินสำรองไว้เผื่อตอนน้องตัวเล็กคลอด
และแล้วก็ถึงเวลาที่น้องตัวเล็กจะออกมาดูโลก ก็ไม่พ้นพ่อแม่เราอีกที่ต้องจ่ายค่าโรงพยาบาลซึ่งไปจองโรงพยาบาลเอกชนไว้ (บ้านน้อง น. จัดการ บ้านเรามีหน้าที่จ่ายเงิน อย่างเดียว) โดนค่าคลอด, ค่าห้องพิเศษ ไป ประมาณ 60,000 และค่ารับขวัญหลานอีก 20,000
หลานหน้าเหมือนพี่เราเป๊ะ เลยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ แม่เราพอรู้ว่าหลานคลอดก็ลงมาหาทันทีเลย มาช่วยดูแลหลานประมาณ 1 สัปดาห์

ทันทีที่หลานคลอด พี่ชายก็ย้ายออกจากหอ ที่ใกล้ที่ทำงาน เพราะแม่ละน้าน้อง น. บอกว่า จะได้ช่วยเลี้ยงหลานไง ไปอยู่บ้านน้ากัน(บ้านน้าน้อง น. กับที่ทำงานพี่เราอยู่ห่างกันประมาณ 60 กม.) พี่เราเลยไปยืมรถเก่าของอาใช้ เพื่อจะได้ขับรถไปขลับ ที่ทำงานกับบ้านของน้าน้อง น.

ตอนที่แม่เราดูหลานอยู่ก็มีการยิงความต้องการมาเป็นระยะ เช่น ซื้อเตียงเด็กมาหลังละ 18,000 นะเนี่ย, น้ำนมออกยากมาก อยากได้ที่ปั๊มนมไฟฟ้าจังเลย  เป็นต้น แต่แม่เราไม่พูดอะไรนะเพราะหมดไปเกือบแสนละ สำหรับการเดินทางมาหาหลาน

อ้อ! ยังไม่ได้แต่งงานนะ

ต่อมา พี่เราเกิดความอึดอัด ในการใช้ชีวิตในบ้านนั้นมาก เริ่มจาก 1. การกลับบ้านพี่ชายออกจากบ้านตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า เพื่อไปทำงานให้ทัน งานเลิก 5 โมงแต่ต้องทำโอบ้างประมาณ 6 โมงถึงจะกลับ และต้องกลับมาให้ถึงบ้านตอน 2 ทุ่ม ถ้าเลทก็มีเรื่อง 2. พอกลับบ้าน น้าน้อง น. ก็จะบอกว่า ให้ช่วยน้อง น. เลี้ยงลูกหน่อย พี่เราก็เล่นกับลูกมัน อุ้มลูกมันแป็บๆ พอวางลงนอนเล่นกับลูก มันก็หลับไปเลย  3. เรื่องเงิน น้าน้อง น. บอกว่า ได้เงินเดือนมาก็ให้เอามาไว้ที่น้อง น. สิ แล้วก็เอาไปเป็นวันๆ  4. เรื่องทำให้หลานสาวคนสวยมีคนดีๆเป็นสิบๆคนมาตามจีบ แต่ดันโชคร้ายได้พี่ชายมาเป็นผัว ทำให้ครอบครัวลำบาก และ... อื่นๆ (อันนี้พี่ชายเล่าให้แม่ฟัง)
วันหนึ่ง พี่ชายเราสติแตก หลังจากที่โดนพูดกระทบกระเทียบ ประชดประชัน ต่างๆนานา ทุกวันเป็นเวลาเกือบ 6 เดือน ก็เลยเถียงเข้าไปให้ และพี่ชายก็โทรหาเราทันทีเพื่อให้เราช่วยมันไปหาหอพักใหม่ มันพูดกับเราแค่ว่า เหนื่อย เดินทางไกล ต้องตื่นเช้า ขับรถไกล เปลืองน้ำมัน เปลืองค่าทางด่วน  ประมาณนี้
แล้วพี่เราก็บอกว่า ช่วยหาหอพักสะอาด ปลอดภัย แล้วก็เลี้ยงเด็กได้ด้วยนะ
แต่ฝ่ายโน้นโทรไปฟ้องแม่เราแล้วล่ะ ว่าพี่เราเถียง แล้วก็ว่าเค้า แม่เราก็รับฟังไว้ แล้วถามพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็เล่าให้แม่ฟัง

แล้วก็หาหอใหม่ที่ สะอาด ปลอดภัย เลี้ยงเด็กได้ได้ละ พี่ชายเลยขนของออกจากบ้าน น้าน้อง น. โดยบ้านน้อง น. ไม่มีใครมาช่วยนะ เราและพี่เลยต้องเป็นคนขนเอง
พี่เราย้ายมาอยู่ก่อน แล้วก็บอกให้น้อง น. ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่น้อง น. บอกว่ายังไม่สะดวกเลยลูกยังเล็กอยู่ พี่ชายเลยกลับไปหาลูกสัปดาห์ละครั้ง

พอย้ายมาอยู่ที่หอ พี่เราไม่ค่อยได้เจอลูกเท่าไหร่ เพราะ น้อง น. พาลูกไปบ้านที่ต่างจังหวัดบ้างบางสัปดาห์ บางเดือนก็อยู่นานหลายวัน

ระยะห่างของครอบครัวมันค่อยๆ ห่างออกไป น้อง น. คิดว่าพี่เรามีคนอื่นบ้าง (อันนี้เราเข้าใจนะ เพราะมันเป็นคนอย่างนั้น) เงินไม่ถึงบ้าง เยอะแยะมากมาย

และแล้วน้อง น. ก็ย้ายกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด โดยให้พี่เราไปเยี่ยมที่บ้าน สัปดาห์ละครั้ง ตอนนี่พี่ไม่ใช้รถของอาแล้วเพราะหอใหม่ไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไหร่
แน่นอนว่าพี่เราทำได้แค่แรกๆ เพราะพี่เราต้องขึ้นรถไป ไป-กลับ ประมาณ 500 ต่อครั้ง
เงินเดือนพี่เราตอนนั้น 17,000 ค่าบัตรเครดิต 8,000 ค่าหอ 4,000 ส่งให้ลูก 5,000 หมดแล้ว (เก็บความสงสัยจากค่าบัตรเครดิตไว้ก่อน)
พี่เราเลยต้องรบกวนขอเงินจากที่บ้านทุกเดือน

พอโดนว่าเรื่องมีคนอื่นหนักเข้า พี่เราเลยมีซะจริงๆเลย...

และแล้วก็ถึงตาเรา
แม่น้อง น. โทรมาหาเราว่า พี่เรามีคนอื่น ด่าว่าพี่เราต่างๆนานา พรรณนาถึงความโชคร้ายของลูกสาวที่ต้องมาเจอคนชั่วๆอย่างพี่เรา อันนี้เรายอมรับนะ เพราะพี่เราไม่ใช่คนดี บางทีเราก็เกลียดนิสัยมัน บอกว่าพี่เราหนีออกจากบ้านเพราะมีคนใหม่ เราเลยเบรคนิดเดี๋ยวๆๆ คือ มันก็ชวนน้อง น. มาอยู่ด้วยกันนะ ทางแม่น้อง น. บอกว่า ชวนเหรอ  เราก็บอก ใช่สิ ไม่งั้นมันจะหา ห้องที่สะอาด ปลอดภัย เลี้ยงเด็กได้ ทำไม?  แต่น้อง น. ไม่มาอยู่กับมันเองไม่ใช่เหรอ?
แม่น้อง น. ก็เงียบไป แล้วก็พูดต่อว่า จะไปอยู่ได้ยังไง เดี๋ยวใครเข้ามาจะทำยังไง ตกระเบียงไปจะทำไง (คือ งง ตอนแรก เถียงกันเรื่อง พี่เรานอกใจ หนีออกจากบ้าน ตอนหลังกลายเป็นเรื่องความปลอดภัย?) แล้วก็บอกว่า พี่เราทำลูกสาวเค้าท้อง ต้องรับผิดชอบนะ หนูเป็นผู้หญิงหนูเข้าใจใช่มั้ย เห็นใจผู้หญิงด้วยกันใช่มั้ย เราเลยพูดไปว่า ตอนทำลูกก็ทำด้วยกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องให้รับผิดชอบฝ่ายเดียวล่ะ? พอเราพูดแบบนั้น เค้าก็ไม่พูดละ แล้วก็วางหูไป และไม่เคยโทรหาเราอีกเลย

พี่เราก็หน้าหมายิ้มเงียบ มันเป็นแบบ ถ้าไม่อยากคุย มันก็ไม่คุย ไม่พูด ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น

เลยกลายเป็นว่า น้าน้อง น. โทรไปขู่แม่เราแทน...
บอกว่า ให้ไปหาเงินมาให้หลานสาวของเค้า ครอบครัวเข้าเสียหน้ามาพอแล้ว ถ้าไม่มีก็ไปกู้มา (กู้?) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายเราจะเป็นยังไงถ้าไม่ได้
(เค้าใช้คำพูดที่ดีกว่านี้นะ เนื่องจากน้าเค้าเป็นเซลขายอาหารเสริม  แต่ประเด็นประมาณนี้)

แม่เราก็โทรมาปรึกษาเรา ว่า เอาไงดี   เราบอก ก็เฉยไว้ อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำไรได้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่