เสียดายที่ผม ตาสว่าง ช้าไปครับ-----------------ทวดเอง

กระทู้สนทนา
ถ้าเพียงแต่ผมตาสว่างเร็วกว่านี้ ผมคงรู้ว่า ถ้าต้องการจะอยู่บนแผ่นดินนี้ด้วยความราบรื่น รุ่งเรือง และก้าวหน้า จำเป็นต้องเข้าร่วมกับกลุ่ม “คนดี”ให้ได้ จากนั้นจึงสามารถประกาศตัวเป็น “คนดี”ผ่านสื่อต่างๆ ให้สังคมได้รับรู้ แล้วผมก็จะได้แรงสนับสนุนจาก “กลุ่มคนดี”เป็นอันดับต่อไป

เมื่อได้คำว่า “คนดี”ประทับอยู่หน้าผาก ยิ่งเป็น “คนดีมากๆ”เท่าไร ผมยิ่งมีโอกาสได้รับการแต่งตั้ง (แต่งให้ดูดีเสียก่อน แล้วพวกเขาจะมาตั้งให้) ให้ได้ตำแหน่งใหญ่โต เพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชน

แล้ว “คนดี”อย่างผม ก็สามารถที่จะตั้งลูกหลานเข้ามาช่วยทำงานอย่างใกล้ชิด อาจเป็นเพราะต้องการความไว้วางใจ อาจเป็นเพราะผมไม่รู้ภาษา (ต้องให้ลูกมาสอนให้รู้ภาษาบ้าง) ล้วนแต่ใช้เป็นเหตุผลได้ทั้งนั้นแหละครับ ก็เรามัน “คนดี”นี่นา

สำหรับลูกหลาน เมื่อเข้ามารับตำแหน่งแล้ว ผมก็จะส่งไปเรียนเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ส่วนเงินเดือนก็รับไปพลางๆก่อน ถ้าสังคมไม่รู้ ก็ถือว่าเป็นโชคก็แล้วกัน แต่ถ้าเกิดรู้ขึ้นมา ผมจะรีบคืนเงินที่รับมาก็สิ้นเรื่อง เพราะเป็นแค่คดีทางแพ่งเท่านั้น คงไม่มีใครจะเอาเป็นเอาตายกับ “คนดี”อย่างผมหรอก

ถ้าถึงวัยต้องเกณฑ์ทหาร เราก็หาทางผ่อนผันด้วยการให้ไปเป็นอาจารย์ที่ไหนสักแห่ง ต่อให้ใช้เอกสารที่ไม่จริง คนผิดคือคนทำต่างหากครับ ส่วนคนใช้จะไปรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเท็จ ดังนั้นคนผิดก็ต้องโทษไปก็ถูกต้องแล้ว ส่วนลูกหลาน “คนดี”ก็อยู่รักษา “ความดี”กันต่อไป

และการเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เป็นเพียงจุดประสงค์เพื่อผ่อนผันการเข้ารับราชการทหารเท่านั้น ดังนั้นความสำคัญของการให้ความรู้จึงเป็นเรื่องรอง ลูกหลาน “คนดี” จึงสามารถลาหยุดต่อเนื่อง หรือ หยุดเป็นระยะๆ ได้ปีหนึ่งสักร้อยสองร้อยวัน ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหายอะไร เพราะมีอาจารย์ประจำเขาทำงานเป็นประจำอยู่แล้วนี่ครับ

แต่ถ้าวันหนึ่ง ลูกหลานเกิดทำความผิด จนถูก ปปช.ชี้มูลความผิด ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะคดีของ “คนดี” มักจะได้สิทธิในเรื่องการดำเนินคดีด้วยความล่าช้า ซึ่งทำให้ผมมีเวลาที่จะรอ แล้วคอยเก็บข้อมูล จนกล้าออกมาชี้มูลความผิด “คนเลว”ได้ จะจริงหรือเท็จ ไม่ใช่ปัญหา เพราะคนที่เราชี้มูลนั้นเป็น “คนเลว” นี่ครับ และกว่าจะรู้เป็นจริงหรือเท็จ ตอนนั้นเราอาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ปปช.ไปแล้วก็ได้

เมื่อเป็นกรรมการแล้ว เราอาจได้รับโอกาสให้เป็นหนึ่งในคณะทำงานตรวจสอบความผิดของเราใหม่ “คนดี”ย่อมเป็นคนดี คงพิสูจน์คดีด้วยความเป็นกลาง ผิดก็คงต้องตัดสินให้ตัวเองผิดแน่ๆ สังคมไม่ต้องห่วงอะไร แต่ถ้าคดีหมดอายุความเสียก่อน นั่นคงเป็นเหตุสุดวิสัยที่เราจะทำความจริงให้ปรากฏ จริงไหมครับ

สำหรับผม เมื่อถึงเวลาเกษียณ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ “คนดี” ย่อมไม่ถูกทอดทิ้ง ผมอาจได้รับการลากตั้ง (แก่จนเดินไม่ไหว พวกเขาก็จะพยายามลากมาตั้งให้ได้อยู่ดี) มาทำงานการเมือง เป็นการเสียสละเพื่อชาติอีกคำรบหนึ่ง

แต่บางที คนที่อยากเป็น “คนดี”มากเกินไป ทำให้บางครั้งชื่อของเราอาจตกหล่นไปบ้าง ผมก็ต้องพยายามสร้างความสำคัญ อาจไปแกนนำชุมนุมเพื่อกู้ชาติ แกนนำปฏิรูปประเทศ เพื่อช่วยให้อำนาจของ “กลุ่มคนดี”ยังสามารถรักษากันต่อไป เมื่อนั้นแหละครับ ผมก็จะได้ถูกลากเข้ามาช่วยปฏิรูปประเทศกันต่อไป

แต่อาชีพทางการเมืองมันมีเงื่อนเวลา ผมจึงควรเข้าร่วมกับ “คนดี”คนอื่นๆ ช่วยการเขียนกฎหมายรองรับไว้บ้าง เผื่อหมดหน้าที่ทางนี้ จะได้มีหน้าที่รองรับในวันหน้า เพื่อชาติแล้วผมยอมตายคาตำแหน่งจริงๆด้วยสิครับ

และเผื่อเหนียว ผมก็ควรจะออกมาปูดข่าวเป็นระยะๆให้คนมีอำนาจมองเห็นความสำคัญบ้าง อย่างเช่น ปาดคอออกทีวีบ้างเอย 14นักศึกษามีองค์กรต่างชาติหนุนหลังบ้างเอย มีสองพรรคใหญ่ลงขันหวังล้มรัฐบาลบ้างเอย หรือไม่ก็คอยเชียร์กันเป็นระยะๆอย่าให้ขาดความต่อเนื่อง แล้วก็จะไม่ตกสำรวจอย่างแน่นอนครับ เห็นมะ เป็นคนดีมีดีอย่างนี้นี่เอง

และยังมีข้อดีสำหรับการเป็น “คนดี”ก็คือ ไม่จำเป็นต้องหย่า ไม่จำเป็นต้องโอนเงินให้นอมีนีหรือเมียน้อย และก็ไม่จำเป็นต้องให้เมียมีทรัพย์สินมากกว่าตัวเองเหมือนพวกนักการเมืองเลวๆ เพราะเมื่อมีคำว่า “คนดี”เป็นตราประทับ จะไม่มีใครมาตรวจสอบหรอกครับถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สิน ดังนั้นรวยกันให้สะดือปลิ้น ก็ไม่ต้องกลัวถูกยึดทรัพย์กันหรอกนะครับ ขอบอก

สุดท้ายเพราะผมตาสว่างช้าไปจริงๆ จะเป็น “คนดี”เสียเดี๋ยวนี้คงไม่ทันการ ดังนั้นผมจึงต้องหันกลับมาเรียกร้องความเท่าเทียม ความเสมอภาคและภราดรภาพ เพราะในแผ่นดินนี้ ผมก็เสียภาษีเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มคนดี ใช้กฎหมายฉบับเดียวกันกับเหล่าคนดี ถ้า “คนดี”มีอภิสิทธิ์มากเช่นนั้น ผมก็ควรจะมีอภิสิทธิ์แบบนั้นบ้างไม่ใช่หรือครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่