แอบชอบเพื่อนสนิทตัวเองมา10ปีได้แล้วครับ ไม่รู้จะบอกออกไปสักทีหรือเก็บไว้กลัวว่าทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม

เพี้ยนลุยคือนี่เป็นกระทู้แรกของผมเลยครับ เรื่องแบบเนื้อๆเลยเนี่ย คือผมแอบชอบเพื่อนสนิทคนนึง ตั้งแต่อยู่ม.3 ตอนนี้ผมก็เรียนจบ ทำงานมาได้สักพักแล้วล่ะ เริ่มแรกเลยเราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ผมรู้จักมัน(ขอใช้คำว่ามันละกันนะครับ คือให้เรียกเธอผมตะขิดตะขวงมือและใจยังไงก็ไม่รู้) เจอกันตอนป.6 มันน่ารัก ขาว สูงมากสำหรับเด็กในวัยนั้นๆ(มันเล่นบาสตั้งแต่เด็กจนโต) และป๊อบมากในโรงเรียน ตอนเข้าค่ายลูกเสือมันต้องมีแสดงรอบกองไฟของแต่ละห้อง ผมอะเขียนบท กำกับ และแสดงเอง เป็นเพื่อนพระเอก ส่วนพระเอกก็คือเพื่อนสนิทในแก๊งที่ผมจะเล่านี้แหละ คนทั้งห้องอยากให้มันเป็นนางเอก แต่มันไม่ยอม เพราะไม่มั่นใจที่ตัวเองฟันตัวเองไม่สวย คือตอนนั้นอะผมเฉยๆเพราะมันสวยไป ผมมันธรรมดาเตี้ยๆดำๆด้วยซ้ำ เริ่มไปสนิทกันตอนม.1 มันย้ายโรงเรียน ผมเรียนโรงเรียนเดิมจนจบม.6 (คือทั้งสองโรงเรียนดีพอๆกัน แต่จำนวนนักเรียนต่างกัน5เท่าได้) ด้วยเพราะว่าโรงเรียนที่มันย้ายไปมีเพื่อนที่อยู่ในแก๊งค์เดียวกันเยอะ ผมกับเพื่อนที่โรงเรียนเดิม เลยไปหาพวกมันอยู่บ่อยๆ พอผมม.4 เริ่มรู้สึกว่าชอบมันอยู่นิดๆละ อาจจะเพราะสูงเท่ากันแล้ว และผมใจง่ายมากใครมาทำดีด้วยหน่อยก็ชอบเค้าแล้ว แล้วได้คุยกะมันมากขึ้นปรึกษากันบ่อยๆ แต่เพราะด้วยตอนนั้นเพื่อนในแก๊งค์เดียวกันเริ่มเห็นอาการผม และรู้ว่าผมไปชอบมันจากการที่ชอบส่งsmsภาษาฝรั่งเศสไปให้มัน เลยพยายามเตือนเป็นนัยๆ ผมก็ห่างออกมา แต่ก็ติดตามมันมาตลอด ตั้งแต่MSN Hi5 จน Facebook ตอนเรียนมหาลัยก็เรียนคนละที่ มหาลัยของมันดี และดังกว่าของผมอยู่พอสมควร ในช่วงมหาลัยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แล้ว ผมก็มีคนที่คบอยู่ เรียนรู้สังคมที่แตกต่างกัน แต่ที่จำได้คือผมเคยขอยืมเงินมันประมาณ2ถึง3000 เอาไปทำอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับคอมนี่แหละ คือบ้านมันอะรวย มันไม่เดือดร้อนหรอก แต่สำหรับผมเด็กมหาลัยที่ขอตังพ่อแม่ และเรียนอย่างเดียวไม่ทำงานไรเลย ผมรู้สึกว่ามันเยอะ และซึ้งมากที่มันให้ และไม่เคยทวงผมด้วย คือมันเป็นคนดีมาก มองโลกบวกสุดๆ อารมณ์เหมือนนางเอกซีรีย์เกาหลีอะประมาณนั้น(คือมันก็ชอบดูด้วยอะแหละ แต่พอโตมาติดซีรี่ย์ฝรั่งมากกว่า) พอจบมาผมก็ทำงานเลย ตรงสาย คือผมเรียนการโรงแรมมา และก็ทำแต่งานแนวนั้นมาจนถึงปัจจุบัน มันจบช้ากว่าไม่ใช่เพราะมันไม่ขยัน แต่สำหรับคณะมันเป็นเรื่องยากที่จะไม่เปอร์หรือซิ่ว ช่วงนั้นเริ่มกลับมาคุยกันแล้วทางLine และคุยกันทุกวัน ช่วงนั้นมันกำลังรอจะต่อป.โทก็ว่างๆอยู่ มันก็เบื่อๆอยากหางานหาไรทำ ผมเคยชวนมาทำงานด้วยกันนะ ประเด็นคือผมมีอำนาจอนุมัติรับมันเข้าทำงานด้วยกันได้ เพราะงานส่วนหนึ่งของผมคือฝ่ายบุคคล และมันก็อยากจะมาทำด้วย ช่วงนั้นผมมโนมาก จินตนาการภาพที่จะได้ทำงานร่วมกับมันเป็นเรื่องเป็นราว เห็นมันใส่ชุดยูนิฟอร์มโรงแรมคงสวยดีเพราะมันสูง คาเร็คเตอร์เหมาะเป็นรีเซฟชั่นมาก แต่มันไปปรึกษาพ่อแล้ว ไม่อยากให้ทำ เพราะไม่ได้ตรงสาย และหางานเป็นติวเตอร์เด็กให้มันไว้แล้ว มันก็ย้ำด้วยนะว่าอยากมาจริงๆ ช่วงนั้นผมก็เริ่มชวนมันไปกินข้าว ครั้งแรกมันก็บ่ายเบียงไม่ยอมไปกันสองคน เพราะมันมีแฟนอยู่แล้ว แต่แฟนมันอยู่กรุงเทพ ไม่อยากโกหกแฟนกลัวแฟนหึง ผมก็เลยจำใจต้องหาคนที่ 3 ไปด้วยเพื่อให้มันสบายใจ แต่ครั้งถัดไปมันก็ไม่กังวลเรื่องนี้แล้วไม่รู้ทำไม ตอนวันเกิดผม มันกะเพื่อนในแก๊งค์เดียวกันอีกคน เซอร์ไพร์สวันเกิดผม สำหรับคนธรรมดามีคนมาเซอร์ไพร์สวันเกิดมันก็น่าดีใจจะแย่แล้ว ยิ่งคนที่เราแอบชอบมาเซอร์ไพร์ซด้วย "ฟิน"อะคำเดียว จนมันสอบติดป.โทที่จุฬา ผมก็แสดงความดีใจกะมัน และขอให้มันเลี้ยงข้าวผม มันทำตามแบบไม่อะไรเลย ก็ไปกินข้าวกันสองคน ตอนนั้นผมหวั่นไหวมากอยากจะบอกไปซะ เพราะรู้คงไม่ได้เจอกันอีกนาน แต่ด้วยเพราะมันมีแฟนอยู่แล้ว และทะเลาะมีปัญหากันบ่อยๆ เรื่องที่มันมาปรึกษาผมส่วนนึงก็เรื่องแฟนนี่แหละ แต่ก็ได้แค่ปลอบ จับมือ อยู่เป็นเพื่อนเวลามันร้องไห้ หรือเศร้า แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเอง รู้สถานะตัวเองว่าเป็นเพื่อน ต้องไม่มากไป น้อยไปจนเคืองกัน ยากและอึดอัดยิ้ม
คือช่วงนั้นผมก็โสด ไม่รู้สึกว่าเจอคนที่โอเค หนักไปทางซื้อกิน แล้วก็เที่ยวๆเมาๆกะเพื่อน หลังเลิกงานตามประสามนุษย์เงินเดือน พอมันไปเรียนโทที่กรุงเทพ ผมก็โคตรเหงาตัวเท่าบ้านเลย ก็ทักไลน์ไปประจำ อย่างนึงที่ผมตัดใจจากมันไม่ได้สักที คือผมฝันถึงมันบ่อยมากๆจนถึงทุกวันนี้ ผมก็บอกมันนะว่าฝันถึง มีคนบอกว่าฝันมันเกิดจากจิตใต้สำนึกของเราเอง งั้นแสดงว่าจิตใจในส่วนที่ผมบิ้ลด์มันไม่ได้ลึกๆแล้วรักเพื่อนสนิทตัวเองมากๆเหรอวะ เวลาคุยกันในไลน์มันก็บอกผมบ่อยๆว่าเหงาก็มาหากันดิ เพราะเพื่อนสนิทแก๊งที่ผมพูดถึงเนี้ยตอนนี้อยู่กรุงเทพกันหมด แต่ผมก็ไม่เคยไปเพราะไปเที่ยวหาเพื่อนสักที เมื่อไหร่ๆก็เรื่องงาน ธุระกับครอบครัว และต้องรีบไปรีบกลับทุกที แต่พอเวลามันกลับมาเชียงใหม่ ซึ่งมันก็กลับมาประจำ เพราะค่อนข้างลูกคุณหนูมาก รักพ่อ รักแม่สุดๆ (พ่อหวงไม่อยากให้มีแฟน มันถึงขั้นตั้งสถานะคบกับแฟนแต่เฟสพ่อ กับแม่จะไม่รู้)อย่างช่วงปิดเทอม หรือสงกรานต์ไรเงี้ย ผมจะชอบนัดไปนั่งร้านกาแฟกัน แล้วก็เพราะร้านกาแฟที่มันอยากไปลองกินนี่แหละทำผมหวั่นไหว วันนั้นผมไปถึงก่อน ก็ขับบิ๊กไบค์แก่ๆของผมไป ตอนมันโทมาผมไม่ได้รับเพราะขี่มอไซอยู่ พอมันมาถึงก็ขับซีวิคใหม่มา ยิ้มแค่รถก็เทียบกันไม่ได้แล้วเพี้ยนแว๊น ผมก็ถามว่าโทรมามีไร มันบอกจะขอเลื่อนเพราะนัดกับน้องสาวมันเอาไว้ แต่ผมไม่รับก็ไม่เป็นไร เลื่อนนัดน้องแทนไปแล้ว ผมก็ถามเล่นๆไปว่าผมสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ มันก็บอกว่าไม่รู้ตัวรึไง แล้วอย่างตอนไปกินเหล้าในผับกับแก๊ง ปกติมันจะเป็นคนไม่กินเหล้า แค่จิบๆเพราะคออ่อน แต่ชอบเต้น ประมาณว่าเมาดิบเอา วันนั้นอยู่กันแบบครบคู่พอดี แต่อีกคู่อะแฟนกัน มันอยู่ข้างผม ผมก็ไปกอดคอไรแบบนี้(ขอนิดนึงเหอะวะ) มันก็เฉยๆคงเห็นเป็นเพื่อน พอมันเมาบอกว่าแสบตากับเลเซอร์ในผับมันก็มาซบที่อกผม สำหรับผมมันเหมือนเวลาหยุดหมุน ซึ่งมันเป็น awkward moment มากด้วยเพราะผมกะมันสูงเท่ากันเป๊ะ175 เลยไม่ค่อยถนัด ก็ได้แต่เอามือไปแตะหลังมันเบาๆ แล้วด้วยมันเป็นแบบผู้หญิงแบ๊วๆ มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งของมันไม่ค่อยจะระวังตัวเท่าไหร่ ถึงแม้มันจะมีแฟน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรกัน คือเอาง่ายๆคือมันยังไม่เคยกับใครเลย เห้ย!! ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าสมัยนี้ผู้หญิงอายุ20กลางๆ จะยังมีแบบนี้อยู่เหรอ มันบอกจะเก็บไว้ถึงแต่งงาน ผมเคยแหย่ๆคุยเรื่อง 18+ 20+ไรกะมัน ดูมันจะไม่รู้เรื่องจริงๆ และอยากรู้อยากเห็นมาก มันไม่ใช่คนแอ๊บเท่าที่ผมรู้จักกะมันมาตั้งแต่เด็ก แล้วดูมันก็ภูมิใจความความเวอร์จิ้นของมันจริงๆ ผมถือว่ามันโชคดีมากที่ได้คบกับผู้ชายดีๆทนกับการอดกลั้นความอยากได้ ตอนมันอยู่กรุงเทพมันก็อยู่หอคนเดียว แฟนมาหามันก็บอกให้นอนข้างล่าง ผมรู้จูบกันอะมี แต่ก็นะไม่ได้ไปอยู่ใต้เตียงมัน ผมยอมรับว่าที่ผมชอบไลน์หามันเพราะชอบแหย่กับปมเวอร์จิ้นของมันนี่แหละและแน่นอนผมคิดจะเล่นของสูง… ตลอดมาผมรู้สึกตัวเองไม่เหมาะสมเลยที่จะไปคบกับมัน ทั้งที่ฐานะก็เทียบกันไม่ได้ และผมมันก็ดูไม่มีอนาคตเท่าไหร่ จะเปรียบคงเหมือนวอกในเรื่องเป็นต่อ การศึกษาก็กำลังจะเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าผมปรึกษาผู้ใหญ่คนไหนใครๆ ก็เชียร์ให้ผมลองพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้คบกับมันให้ได้ และในบรรดาผู้หญิงที่ผมคุยอยู่มันก็ดูดีที่สุดแบบแม้แต่เอาหัวแม่ตีนคิด ผมเคยคุยกับมันว่ามีเพลนระยะยาวจะเปิดรีสอร์ทของตัวเอง มันตื่นเต้นแล้วตอบผมว่าเปิดรีสอร์ทนี่แหละความฝันของมันเลย มันเป็นอีกจุดคอนเน็คอีกจุดนึงของมันกับผม นอกจากเรื่องชอบดูซีรี่ย์ฝรั่งแนวๆเดียวกัน สายตาสั้น พากันไปกิน บิ๊คไบค์ กับชอบเที่ยวดอยชอบธรรมชาติเป็นคนลุยๆชอบออกทริปในหน้าหนาวเหมือนกัน ยิ่งทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง และมโนต่อไป

เพี้ยนเพลียแล้วถ้าเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดผมไม่ได้คิดไปเอง มโนไปเอง ถ้ามันก็คิดอย่างเดียวกับผมอยู่บ้าง หรือรู้สึกดีๆกับผมอยู่บ้าง ผมควรจะบอกรักมันมั้ย ถ้าถึงวันนึงมันไม่ได้คบกับแฟนคนนี้แล้ว ซึ่งผมก็ขอให้มันเลิกกันด้วยดี และไม่มีความคิดจะแทรกกลางระหว่างเค้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
รออะไรล่ะค่ะ....รู้สึกยังไงก็บอกเขาไปเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวเสียเพื่อนหัวใจหัวใจหัวใจหัวใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่