ถ้าผมจะเข้าบ้านตัวเองให้ได้ แปลว่า "ผมเป็นคนไม่มีน้ำใจ"

จากกระทู้ต้นเรื่อง
http://pantip.com/topic/33822522
(อ่าน หรือ ไม่อ่านก็ได้ครับ ถ้าอ่านก็จะเข้าใจที่มาที่ไปละเอียดขึ้น ถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังในกระทู้นี้อีกทีครับ)

ผมซื้อตึกไว้ที่นึง ก็ยังไม่ได้ทำอะไร แต่ก็มีเข้าไปตกแต่งเพิ่มเติม เข้าไปทำความสะอาดบ้าง ปีละ 2-3 ครั้ง

ตึกนี้อยู่ติดถนน และพื้นที่ในโฉนด ก็ยาวตั้งแต่ถนนไปจนสุดหลังตึก เป็นรูปสี่เหลี่ยมเลยครับ

นั่นหมายความว่า กรอบพื้นที่จอดรถหน้าตึก เป็นพื้นที่ในโฉนดของผมด้วย ซึ่งตึกนี้ ครอบครัวผมซื้อไว้เกือบ 10 ปีแล้ว

และที่จอดรถหน้าตึกเนี่ย ผมก็ไม่เคยหวง ลูกค้าร้านไหนอยากจอดก็มาจอด ผมไม่เคยไปโวยวายแม้แต่ครั้งเดียว

จะมีช่วงนึงมีรถคันเดิมๆ มาจอดทุกวัน ผมก็ไปถามว่า เป็นรถใคร ได้ความว่าเป็นรถของพนักงานธนาคารแถวนั้น

ผมก็เดินไปคุย ผมก็แจ้งก่อนว่า ผมเป็นเจ้าของที่ตรงนี้นะ ผมไม่ได้ว่าอะไรที่คุณเอามาจอด และ ผมไม่คิดที่จะเก็บค่าจอดอะไร

แต่ผมขอเบอร์คุณไว้นะ เพราะ นานๆครั้ง ผมอาจจะมีเข้ามาเอาของที่เก็บไว้บ้าง เวลาผมมาทำธุระที่ตึก ผมจะได้ไม่ต้องไปรบกวนถึงในธนาคาร

ซึ่งก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ทุกครั้งที่ผมมา ถ้ารถเขาจอดอยู่ เขาก็มาขยับให้ตามปกติ ซึ่งบอกได้เลยว่า ปีนึงก็ไม่กี่ครั้งเอง

แต่ตอนนี้เกิดปัญหาคือ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คนข้างบ้านเขาเอารถมาจอดที่ซื้อมาใหม่ มาจอดทุกวัน และ จอดตั้งแต่เช้ายันเย็น

แค่จอดรถยังไม่พอ เขายังเอาเต๊นท์สนามมาตั้งขายหน้าบ้านผมเต็มไปหมด จนแม้แต่มอเตอร์ไซด์ยังเข้าไม่ได้ แล้วถามว่าหน้าบ้านเขาทำอะไร

หน้าบ้านเขาเอง เขาปลูกเป็นเพิงหลังคายื่นออกมาจากตัวตึก แล้วเอาวัสดุก่อสร้างในร้านเขามาตั้งขาย ทำให้เขาไม่มีที่จอดรถหน้าบ้านเขาเองครับ

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็เดินเข้าไปคุยดีๆ ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 คน คือ ผม,น้องชายผม,พี่ข้างบ้าน และ ภรรยาของเขา ประโยคสนธนาที่จำได้ชัดเจน คือ

ผม : "คุณพี่ครับ ช่วยขยับเต๊นท์กับรถออกให้หน่อยได้ไหมครับ"
ภรรยาของเขา : "ทำไม น้องจะทำอะไรเหรอ" (มาคิดูตอนหลัง จริงๆ เขาไม่มีสิทธิอะไรมาถามผมแบบนี้ด้วยซ้ำ)
ผม : "ผมยังไม่ทำอะไรหรอกครับ แต่ที่ตรงนี้ต่อให้ไม่มีคนอยู่ แต่มันมีเจ้าของนะครับ พี่ทำเหมือนที่จอดรถส่วนตัว แถมเอาของมาตั้งขาย ผมว่าไม่ถูกครับ"
ภรรยาของเขา : "ก็ที่มันไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร บ้านข้างกัน หัดมีน้ำใจกันบ้าง"
ผม : "ถ้าอย่างงั้นผมขอใช้ประโยชน์ ด้วยการเก็บค่าเช่าได้ไหมครับ"
ภรรยาของเขา : "น้องพูดแรงไปหรือเปล่าเนี่ย เอาอย่างนี้เลยเหรอ เอาอย่างนี้ใช่ไหม"

แล้วภรรยาของเขา ก็เดินเข้าบ้านแล้วไปเรียก สามีเขา ซึ่งก็คือ เจ้าของบ้านข้างๆผม ออกมาคุยกับผม

ผม : "ผมไม่เคยคิดจะไปเบียดเบียนพี่เลยนะครับ ถ้ามีอะไรที่บ้านผมไปรบกวนบ้านพี่ พี่บอกผมได้เลยครับ ผมขอแค่รักษาสิทธิของผมแค่นั้นเองครับ"

ไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่เขาเดินมากระซิบ

พี่ข้างบ้าน : "อย่ามาทำเป็นหัวหมอ ตำรวจชื่อ.... ผมก็รู้จัก(ระบุชื่อด้วย แต่ผมว่าโคตรไร้สาระ เลยไม่สนใจจะจำ) แม่คุณผมก็รู้จัก พ่อคุณผมก็รู้จัก
ถ้าจะหัวหมอ ไปเอาโฉนดมากาง แล้วชื่อเจ้าของตึก เป็นชื่อแม่คุณไม่ใช่เหรอ มีอะไรไปเอาแม่คุณมาคุย แล้วกลับไปเลย ไม่ต้องมาคุยอีก"

หลังจากไล่ผมแล้ว ทั้งสามี ภรรยา ก็เดินหายเข้าบ้านไป ผมพยายามเรียกมาอธิบายเหตุผลต่อ แต่เขาก็ไม่รับฟังอะไรแล้ว

สรุปคือ ผมเอารถเข้าไปจอดที่บ้านตัวเองไม่ได้ แถมโดนไล่อย่างกับหมู กับหมา แถมโดนด่าไล่หลังว่า "ไม่มีน้ำใจ"

ผมเชื่อมาตลอดว่า "น้ำใจ" คือ สิ่งที่ใครคนนึงหยิบยื่นให้กับอีกคน ไม่ใช่ สิ่งที่ใครคนนึงไปบีบคอเพื่อเอามันไปจากคนอื่น โดยที่เขาไม่เต็มใจ

และ "น้ำใจ" ต้องอยู่คู่กับ "เกรงใจ" นั่นคือ เมื่อเราหยิบยื่นให้ใครแล้ว คนที่ได้รับ ก็ควรรับไว้แต่พอดี เพื่อให้ "น้ำใจ" นั่น เผื่อแผ่ไปสู่คนอื่นด้วย

ผมหันไปมองรถและเต๊นท์ของเขาที่วางเต็มพื้นที่หน้าตึกผม ในใจคิดว่า ถ้าหาอะไรมาโยนใส่ให้เละเลยจะเป็นยังไง ยอมรับว่าตอนนั้น โกรธที่สุดในชีวิต

หน้าร้อนผ่าวๆ เหมือนโดนไฟเผา แต่ก็เอาพยายามเอาสติที่รู้สึกเลยว่าเหลืออยู่น้อยนิดมาช่วยข่มไว้ให้ใจเย็นลง บังคับขาให้เดินกลับมาที่รถ

บังคับใจว่า อย่าขาดสติ แล้วเล่าเรื่องราวต่างๆให้น้องชายฟัง น้องชายผมบอก คงเข้าใจผิดกันหรือเปล่า เดี๋ยวจะเข้าไปคุยอีกที

น้องชายเข้าไปคุยได้ 2 นาทีเดินกลับมา พร้อมอารมณ์ไม่ต่างกับผม เล่าว่า เขาบอกย้ายให้แปบนึงก็ได้นะ แต่ตอนนี้ยังไม่ว่าง เดี๋ยวขอกินข้าวอิ่มก่อน

ผม และ น้องชาย ไม่เคยเชื่อเลยว่าคนแบบนี้มีอยู่จริง แต่ตอนนี้ เข้าใจตรงกันแล้วว่า คนๆที่คุยด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่องเนี่ย มีอยู่จริงๆ

จริงๆตัวผมเอง รู้จักกับพี่ชายของคุณพี่ข้างบ้านคนนี้ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าตัวน้องเขาเป็นยังไง ผมก็เลยโทรไปปรึกษา จนสุดท้ายพี่เขา ก็เอาพ่อไปคุยกับน้อง

ส่วนผม ก็ไปหยิบโฉนด (โกรธสุดๆ ทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายเอาหลักฐานไปสู้เนี่ย) แล้วก็ไปเล่าเรื่องราวให้แม่ผมฟัง

ไม่รู้ว่า พี่ข้างบ้านเขาไปเล่าอะไรให้พ่อเขาฟัง สุดท้ายกลายเป็น พ่อเขาเชื่อว่า ครอบครัวผมเป็นฝ่ายผิด โดยไม่สนใจรับฟังข้อเท็จจริงฝ่ายผมเลย

แม่ผมมาคุยด้วยแล้ว แกก็ไม่ยอมคุย โฉนดเอามาแล้วก็ไม่ยอมดูแถมบอกต้องทำรังวัด ใจจริงอยากไปแจ้งความข้อหาบุกรุกตั้งแต่โดนไล่ครั้งแรกแล้ว

แต่ติดที่ชื่อในโฉนดเป็นของแม่ กลัวแม่ต้องมาเดือดร้อน ต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล เสียเวลาสารพัดกันอีก

ซึ่งเท่าที่ผมฟัง เรื่องที่เขาเล่าให้พ่อเขาฟัง มันคนละเรื่องเลย เรื่องที่เขาเล่าเขาดูเป็นคนดีและน่าสงสารมาก ส่วนพวกผมกลายเป็นพวกคนเลว เห็นแก่ตัว

จะมีก็แต่ตัวพี่ชายเขา ที่เดินเข้ามาขอโทษผม ขอโทษน้องชาย ขอโทษแม่ผม ที่น้องชายเขามาก่อความวุ่นวายได้ขนาดนี้

แม้เรื่องจะผ่านมาได้หลายวันแล้ว แต่เหมือน เรื่องราวมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว รู้สึกเสียสมาธิในการทำงานมาก

ผมไม่รู้ว่า มันยังคงเหลือ ความโกรธ ความแค้น หรือ ความรู้สึกแย่ๆ แอบซ่อนอยู่ในจิตใจมากแค่ไหน

ปกติ ผมยิ้มให้ทุกคน มีอะไรแบ่งปันได้ก็ให้ เคยพบเจอแต่คนดีๆ มาเจอคนนี้เข้าทำให้รู้ว่า ความชั่วร้ายในตัวคนเรา มันช่างจัดการยากเหลือเกิน

อยากหยุดคิด อยากลืมๆมันไป แต่เดี๋ยวความรู้สึก อยากให้มันคนนั้นได้รับผลกรรม อยากให้มันหายไปจากโลก ก็วนเวียนกลับมาอีก  

อยากเอามาเขียนเล่า อยากเอามาระบายเฉยๆ เผื่อมันจะช่วยให้จิตใจได้สงบขึ้นแค่นั้นเอง และ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยรับฟังครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่