สวัสดีค่า ก่อนอื่นขอเกริ่นตามธรรมเนียมเลยนะคะว่ากระทู้นี้เป็นรีวิวกระทุ้แรกของเราดังนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เริ่มแรกของทริปนี้คือแม่เรามีความฝันอยากจะไปเที่ยวฝั่งบูดาเปสต์มานานมากแล้วค่ะ(เห็นบอกว่าตามรอยนิยายเรื่องรักเร่ มีใครทันบ้างเอ่ย?) แต่เพราะมีเหตุการณ์ต่างๆทำให้ทริปที่วางแผนกันไว้ไปหลายครั้งจนในที่สุดตั้งแต่วางแผนทริปแรกผ่านไปเกือบเจ็ดปีความฝันของแม่ก็เป็นจริงแล้วค่ะ เฮ่!
เริ่มจากตั๋วเครื่องบินนะคะ เราบินกับสายการบิน Amirates Airline ได้นั่ง airbus380 ลำใหม่ใหญ่จนขนาดคนเมาเครื่องง่ายๆอย่างเรายังไม่รู้สึกเมาเลยล่ะค่ะ(เกี่ยวกันมั้ยก็ไม่รู้แต่เราชอบคิดเอาเองจากประสบการณ์ว่า เครื่องบินลำเล็กจะรู้สึกเมาเครื่องได้ง่ายกว่า)
เส้นทางการบินของเราจะเป็น BKK-DBX-Vienna โดยทรานสิทที่ดูไบขาไป 8ชั่วโมงค่ะ
ใส่รูปเครื่องบินหน่อย ลำใหญ่สะใจ
ส่วนนี่เป็นส่วนใน Terminal3ที่ DBXค่ะ ใหญ่โตหรูหรา ของน่าซื้อมาก อีกอย่างทั้งร้านอาหารและ Duty freeทุกร้านของที่นี่เปิดตลอด24ชั่วโมงด้วยค่ะ คึกคักแม้ยามตีสามตีสี่
ดูไบนี่มันดูไบจริงๆเจ้าค่ะ
ต่อแถวรอขึ้นเครื่องตามประสาeconomy
หลังจากรอจนได้เวลาเราก็ไปที่เกทเพื่อต่อเครื่องไปเวียนนาค่ะ แต่คราวนี้เราต้องนั่งรถบัสออกไปประมาณสิบกว่านาทีเพื่อไปขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ใช่ A380ที่รักแล้วแต่เป็น โบอิ้ง777ที่ต่อให้ลำใหญ่แต่เราก็เมาเจ้าค่ะ TT ขึ้นเครื่องปุ๊บเรานี่ข่มตาหลับเลย ไม่อยากนั่งพะอืดพะอม
นอนไปสักพักเราก็ตื่น ได้ยินเสียงคนคุยดังพร้อมกับกลิ่นอาหาร แหมเกิดมาเพื่อกินจริงๆตื่นมาได้เวลาอาหารพอดีเลย
(ตอนขามาจากกรุงเทพก็ทีเสิร์ฟอาหาร1มื้อค่ะแต่เราลืมถ่าย) ส่วนจากDBX-Vienna ก็เสิร์ฟ1มื้อ + snack1 ครั้งค่ะ
เราเลือกเป็น ไก่(มีให้เลือกเป็นไก่กับแซลมอนค่ะ แต่พอมาถึงเราแซลมอนหมดT-T ชิชะกินไก่ก็ด้ายยยย)
รสชาติโดยรวมก็โอเคค่ะ แต่เรายังชอบอาหารของ Qatar กับ Cathay มากกว่า(โดยเฉพาะคาเธ่ย์นี่ถูกปากเอเชียแบบเราที่สุด)
นั่งๆกินไปสักพักเราก็ชะโงกหน้าต่างดูวิวหน่อย ไหนๆก็เป็นไฟลท์เดียวที่ได้นี่งติดหน้าต่างแล้ว(เราไม่ได้จองที่นั่งล่วงหน้าเลยค่ะ รอแรนดอมเอาเพราะทริปนี้ค่อนข้างฉุกละหุกมาก ซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนไปเที่ยวหนึ่งเดือนแต่ได้วีซ่าก่อนเดินทางสี่วันค่ะท่านผู้ชม//ทำเอาบ้านเราเสียวไส้ไปตามๆกัน)
กลับมาที่วิวต่อค่ะ ชะโงกไปดูอู้หูว ที่ไหนวะไม่รู้เรื่อง 5555 แต่วิวสวยค่ะเลยแวบถ่ายมาหน่อย
เกาะอะไรน้อ น้ำใส๊ใส
อันนี้ก็อะไรสักอย่าง ดูแห้งแล้งดีจัง
Day1 (สนามบินVienna – Papa city)
จากนั้นเราก็ถึงสนามบินเวียนนาตอนประมาณบ่ายสองโมงค่ะ แต่คืนนี้เราไม่ได้ค้างที่ออสเตรียค่ะแต่จะไปที่ฮังการีก่อนเลย
ขออธิบายไว้ก่อนนะคะว่าเผอิญพี่สาวเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนฮังการีเก่าค่ะ เที่ยวครั้งนี้ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมโฮสท์แฟมิลี่ไปเลยโดยทริปเที่ยวของเราจะเป็น Hungary-Hallstatt-Viennaค่ะ ที่ต้องแพลนอย่างนี้เพราะตั๋วเครื่องบินที่เราซื้อมาเป็นแบบโปรโมชั่นรวมที่พักในเวียนนา2คืนเลยทำให้ต้องผ่านสนามบินเวียนนาทั้งขาเข้าขาออกค่ะ แต่ก็เป็นผลดีเพราะทางบ้านโฮสท์ที่คืนนี้เราจะไปค้างด้วยอยู่ใกล้ทางเวียนนามากกว่าค่ะ โดยโฮสท์พ่อของพี่เราเป็นคนขับรถมารับพวกเราถึงสนามบินเวียนนาเลย
เรานั่งรถโฮสท์พ่อ(ต่อไปนี้จะขอแทนว่าApuนะคะ เพราะในภาษาฮังกาเรียนแปลว่าพ่อ และพี่สาวเราเรียกโฮสท์พ่อแบบนั้นค่ะ) Apuเป็นคนขับรถซิ่งชนิดเรานี่กลัวจะไม่มีชีวิตกลับไปกินข้าวเหนียมส้มตำเลยค่ะ พี่เล่นหยียบ140ทั้งทางแถมยังเล่นมือถือไปด้วยนี่ไม่ไหวจริงๆค่ะ ดังนั้นเราเลยเลี่ยงไม่ดูเกณฑ์วัดความเร็วไปดูวิวข้างทางดีกว่า
ก็มีแต่ป่าๆ ทุ่งๆ แต่ที่เห็นมากคือกังหันผลิตพลังงานลมค่ะ ในเขตฮังการีนี่เห็นมากเลยทีเดียว
อันนี้ถ้าพี่เราแปลไม่ผิดรู้สึกจะเป็นลาเวนเดอร์เอาไว้ให้วัวกินค่ะ(แต่คนล่ะพันธุ์กับลาเวนเดอร์แต่งกลิ่นนะคะ)
นั่งรถประมาณไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็มาถึงที่หมายค่ะ
แถ่นแท้น!
ดูไม่ผิดหรอกค่า คืนนี้เราจะไม่ได้พบความอลังการของศิลปะโกธิคที่ขึ้นชื่อลือชาระดับโลกแต่เป็นชนบทชนิด
ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ในหนังสือชุดบ้านเล็กเลยค่ะท่านผู้ชม
หันซ้ายเจอทุ่งนา
หันขวา.....ก็ทุ่งนาอีกนั่นล่ะ
ก็ยังดีดอกไม้สวย ดอกป๊อบปี้กับมากาเร็ตต้า
คันทรี่ไลฟ์
อันนี้ในตัวเมืองสุดๆของเมืองปาป้าแล้วล่ะค่ะ ซึ่งบ้านโฮสท์ย่าพี่เราจะอยู่แถวนี้ค่ะ แต่เท่าที่สังเกตตลอดทั้งเส้นทางนะคะคือในฮังการี(ที่ไม่ใช่บูดาเปสท์) บ้านทุกหลังมีปล่องไฟค่ะ มีทุกบ้านจริงๆแล้วทุกบ้านสร้างให้อารมณ์แบบกระท่อมตากอากาศในชนบทของอังกฤษเลยค่ะ ยังไม่เห็นบ้านไหนเป็นทรงmodernเลยสักหลัง
เอาจริงๆถ้าเทียบกับไทยแล้วฮังการียังถือว่าไม่ค่อยเจริญนะคะ เพราะเพิ่งจะเลิกเป็นคอมมิวนิสต์มาไม่ถึงยี่สิบปีดังนั้นถ้าไม่ใช่ในเมืองหลวงอย่างบูดาเปสต์แล้ว เอเชียเป็นของหายากค่ะ 555 อย่างตอนApuแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มครอบครัวเรานี่โดนเด็กปั๊มมองจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยเลยล่ะค่ะ
Apu พาพี่สาวเรามาหาย่า(แม่Apu)แล้วจะไปกินมื้อเย็นด้วยกันที่บ้านApuที่เราจะค้างในคืนนี้ค่ะ ระหว่างพี่สาวเราไปทักทายโฮสท์ย่าเราก็สำรวจสวนในบ้าน นี่น่าจะเป็นกูสเบอร์รี่ รสชาติเปรี้ยวๆอมขม
กุหลาบดอกโต๊โต
พอคุยกันเสร็จก็พากันกลับไปบ้านApuเพื่อไปกินมื้อเย็นกันค่ะ
เข้าบ้านปุ๊บมีสิ่งนี้รอต้อนรับ มีความสุขสุดๆ ดูเหมือนว่าแถวนี้ทุกบ้านปลูกต้นเชอร์รี่พอๆกับที่เราปลูกต้นมะม่วงหน้าบ้านเลยค่ะ
รูปนี้เราแอบถ่ายมา ต้นเชอร์รี่หน้าบ้านใครสักคน
มาที่สิ่งที่เรารอคอยใจจดใจจ่อบ้าง ใช่แล้ว อาหารฮังการีแบบพื้นเมืองนั่นเองค่า
จานแรกAppetizer เป็น paprika chicken กินกับ Nukedliค่ะ
Paprika chickenจะรสชาติคล้ายๆแกงกะทิบ้านเราแต่ไม่เผ็ด ไม่หวาน รสออกเค็มๆคล้ายพวกสตูว์มากกว่าค่ะ
ส่วน Nukedli เป็นแป้งหมักนวดแล้วเอาไปต้มค่ะ
ต่อไป Main Dish เป็น Pörkölt หรือสตูว์หมู กินกับมันฝรั่งทอดแล้วก็กะหล่ำปลีดอง
กะหล่ำปลีดองอร่อยมาก
ตบท้ายด้วยขนมหวานฝีมือโฮสท์ย่าค่ะ strawberry strudel , cherry strudel, cottage cheese strudel
อร่อยลื้มม เราฟาดไปคนเดียวสี่ชิ้น
ตบท้ายล้างปากด้วยเชอร์รี่และสตรอเบอร์รี่เจ้าเดิมค่ะ ฟินาเล่มั่กๆ
กินอิ่มเจ้าของบ้านก็พาเดินย่อยดูทุ่งนา บ่อน้ำค่ะ
สโลวไลฟ์แบบเรียลๆ
มีแพะด้วย แบะๆ
คอกม้า
ตบท้ายด้วยบ้านสไตล์แคมปิ้งเฮาส์ค่ะ คืนที่เราไปพักApuยกบ้านเค้าทั้งหลังให้ครอบครัวเราแล้วตัวเองกับแฟนมานอนกันที่บ้านแคมปิ้งแทน
ข้างในค่ะ เล็กๆแต่น่ารัก
แล้วหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักค่ะ จนประมาณสองทุ่มApuก็มาเรียกเรากับแม่แล้วก็พี่สาวออกมากินของว่าง(พ่อเราชิ่งหลับไปก่อนแล้ว) ความรุ้สึกตอนนั้นทุกคนคือแบบ ยังอิ่ม ยังไม่หิว ง่วงก็ง่วงแต่ก็ต้องกินค่ะเพราะเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้เรากิน
เป็นเครปแบบฮังกาเรียน(รึเปล่า) แต่คล้ายๆซุเฟล่เครปที่กินกับซอสส้อมแหละค่ะ แต่นี่เรากินกับแยมสตรอเบอร์รี่และแยมเชอร์รี่โฮมเมดที่Apuเป็นคนทำเอง
อิ่มอ่ะ แต่อาหย่อยย
เป็นอันจบวันแรกในฮังการีด้วยเครปค่ะ มีความสุขจนแก้มตุ่ย พุงยื่น
[CR] เที่ยวชิลๆแต่กินจริงจัง Austria-Hungary (Day1-2: Papa city-Budapest)
เริ่มแรกของทริปนี้คือแม่เรามีความฝันอยากจะไปเที่ยวฝั่งบูดาเปสต์มานานมากแล้วค่ะ(เห็นบอกว่าตามรอยนิยายเรื่องรักเร่ มีใครทันบ้างเอ่ย?) แต่เพราะมีเหตุการณ์ต่างๆทำให้ทริปที่วางแผนกันไว้ไปหลายครั้งจนในที่สุดตั้งแต่วางแผนทริปแรกผ่านไปเกือบเจ็ดปีความฝันของแม่ก็เป็นจริงแล้วค่ะ เฮ่!
เริ่มจากตั๋วเครื่องบินนะคะ เราบินกับสายการบิน Amirates Airline ได้นั่ง airbus380 ลำใหม่ใหญ่จนขนาดคนเมาเครื่องง่ายๆอย่างเรายังไม่รู้สึกเมาเลยล่ะค่ะ(เกี่ยวกันมั้ยก็ไม่รู้แต่เราชอบคิดเอาเองจากประสบการณ์ว่า เครื่องบินลำเล็กจะรู้สึกเมาเครื่องได้ง่ายกว่า)
เส้นทางการบินของเราจะเป็น BKK-DBX-Vienna โดยทรานสิทที่ดูไบขาไป 8ชั่วโมงค่ะ
ใส่รูปเครื่องบินหน่อย ลำใหญ่สะใจ
ส่วนนี่เป็นส่วนใน Terminal3ที่ DBXค่ะ ใหญ่โตหรูหรา ของน่าซื้อมาก อีกอย่างทั้งร้านอาหารและ Duty freeทุกร้านของที่นี่เปิดตลอด24ชั่วโมงด้วยค่ะ คึกคักแม้ยามตีสามตีสี่
ดูไบนี่มันดูไบจริงๆเจ้าค่ะ
ต่อแถวรอขึ้นเครื่องตามประสาeconomy
หลังจากรอจนได้เวลาเราก็ไปที่เกทเพื่อต่อเครื่องไปเวียนนาค่ะ แต่คราวนี้เราต้องนั่งรถบัสออกไปประมาณสิบกว่านาทีเพื่อไปขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ใช่ A380ที่รักแล้วแต่เป็น โบอิ้ง777ที่ต่อให้ลำใหญ่แต่เราก็เมาเจ้าค่ะ TT ขึ้นเครื่องปุ๊บเรานี่ข่มตาหลับเลย ไม่อยากนั่งพะอืดพะอม
นอนไปสักพักเราก็ตื่น ได้ยินเสียงคนคุยดังพร้อมกับกลิ่นอาหาร แหมเกิดมาเพื่อกินจริงๆตื่นมาได้เวลาอาหารพอดีเลย
(ตอนขามาจากกรุงเทพก็ทีเสิร์ฟอาหาร1มื้อค่ะแต่เราลืมถ่าย) ส่วนจากDBX-Vienna ก็เสิร์ฟ1มื้อ + snack1 ครั้งค่ะ
เราเลือกเป็น ไก่(มีให้เลือกเป็นไก่กับแซลมอนค่ะ แต่พอมาถึงเราแซลมอนหมดT-T ชิชะกินไก่ก็ด้ายยยย)
รสชาติโดยรวมก็โอเคค่ะ แต่เรายังชอบอาหารของ Qatar กับ Cathay มากกว่า(โดยเฉพาะคาเธ่ย์นี่ถูกปากเอเชียแบบเราที่สุด)
นั่งๆกินไปสักพักเราก็ชะโงกหน้าต่างดูวิวหน่อย ไหนๆก็เป็นไฟลท์เดียวที่ได้นี่งติดหน้าต่างแล้ว(เราไม่ได้จองที่นั่งล่วงหน้าเลยค่ะ รอแรนดอมเอาเพราะทริปนี้ค่อนข้างฉุกละหุกมาก ซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนไปเที่ยวหนึ่งเดือนแต่ได้วีซ่าก่อนเดินทางสี่วันค่ะท่านผู้ชม//ทำเอาบ้านเราเสียวไส้ไปตามๆกัน)
กลับมาที่วิวต่อค่ะ ชะโงกไปดูอู้หูว ที่ไหนวะไม่รู้เรื่อง 5555 แต่วิวสวยค่ะเลยแวบถ่ายมาหน่อย
เกาะอะไรน้อ น้ำใส๊ใส
อันนี้ก็อะไรสักอย่าง ดูแห้งแล้งดีจัง
Day1 (สนามบินVienna – Papa city)
จากนั้นเราก็ถึงสนามบินเวียนนาตอนประมาณบ่ายสองโมงค่ะ แต่คืนนี้เราไม่ได้ค้างที่ออสเตรียค่ะแต่จะไปที่ฮังการีก่อนเลย
ขออธิบายไว้ก่อนนะคะว่าเผอิญพี่สาวเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนฮังการีเก่าค่ะ เที่ยวครั้งนี้ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมโฮสท์แฟมิลี่ไปเลยโดยทริปเที่ยวของเราจะเป็น Hungary-Hallstatt-Viennaค่ะ ที่ต้องแพลนอย่างนี้เพราะตั๋วเครื่องบินที่เราซื้อมาเป็นแบบโปรโมชั่นรวมที่พักในเวียนนา2คืนเลยทำให้ต้องผ่านสนามบินเวียนนาทั้งขาเข้าขาออกค่ะ แต่ก็เป็นผลดีเพราะทางบ้านโฮสท์ที่คืนนี้เราจะไปค้างด้วยอยู่ใกล้ทางเวียนนามากกว่าค่ะ โดยโฮสท์พ่อของพี่เราเป็นคนขับรถมารับพวกเราถึงสนามบินเวียนนาเลย
เรานั่งรถโฮสท์พ่อ(ต่อไปนี้จะขอแทนว่าApuนะคะ เพราะในภาษาฮังกาเรียนแปลว่าพ่อ และพี่สาวเราเรียกโฮสท์พ่อแบบนั้นค่ะ) Apuเป็นคนขับรถซิ่งชนิดเรานี่กลัวจะไม่มีชีวิตกลับไปกินข้าวเหนียมส้มตำเลยค่ะ พี่เล่นหยียบ140ทั้งทางแถมยังเล่นมือถือไปด้วยนี่ไม่ไหวจริงๆค่ะ ดังนั้นเราเลยเลี่ยงไม่ดูเกณฑ์วัดความเร็วไปดูวิวข้างทางดีกว่า
ก็มีแต่ป่าๆ ทุ่งๆ แต่ที่เห็นมากคือกังหันผลิตพลังงานลมค่ะ ในเขตฮังการีนี่เห็นมากเลยทีเดียว
อันนี้ถ้าพี่เราแปลไม่ผิดรู้สึกจะเป็นลาเวนเดอร์เอาไว้ให้วัวกินค่ะ(แต่คนล่ะพันธุ์กับลาเวนเดอร์แต่งกลิ่นนะคะ)
นั่งรถประมาณไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็มาถึงที่หมายค่ะ
แถ่นแท้น!
ดูไม่ผิดหรอกค่า คืนนี้เราจะไม่ได้พบความอลังการของศิลปะโกธิคที่ขึ้นชื่อลือชาระดับโลกแต่เป็นชนบทชนิด
ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ในหนังสือชุดบ้านเล็กเลยค่ะท่านผู้ชม
หันซ้ายเจอทุ่งนา
หันขวา.....ก็ทุ่งนาอีกนั่นล่ะ
ก็ยังดีดอกไม้สวย ดอกป๊อบปี้กับมากาเร็ตต้า
คันทรี่ไลฟ์
อันนี้ในตัวเมืองสุดๆของเมืองปาป้าแล้วล่ะค่ะ ซึ่งบ้านโฮสท์ย่าพี่เราจะอยู่แถวนี้ค่ะ แต่เท่าที่สังเกตตลอดทั้งเส้นทางนะคะคือในฮังการี(ที่ไม่ใช่บูดาเปสท์) บ้านทุกหลังมีปล่องไฟค่ะ มีทุกบ้านจริงๆแล้วทุกบ้านสร้างให้อารมณ์แบบกระท่อมตากอากาศในชนบทของอังกฤษเลยค่ะ ยังไม่เห็นบ้านไหนเป็นทรงmodernเลยสักหลัง
เอาจริงๆถ้าเทียบกับไทยแล้วฮังการียังถือว่าไม่ค่อยเจริญนะคะ เพราะเพิ่งจะเลิกเป็นคอมมิวนิสต์มาไม่ถึงยี่สิบปีดังนั้นถ้าไม่ใช่ในเมืองหลวงอย่างบูดาเปสต์แล้ว เอเชียเป็นของหายากค่ะ 555 อย่างตอนApuแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มครอบครัวเรานี่โดนเด็กปั๊มมองจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยเลยล่ะค่ะ
Apu พาพี่สาวเรามาหาย่า(แม่Apu)แล้วจะไปกินมื้อเย็นด้วยกันที่บ้านApuที่เราจะค้างในคืนนี้ค่ะ ระหว่างพี่สาวเราไปทักทายโฮสท์ย่าเราก็สำรวจสวนในบ้าน นี่น่าจะเป็นกูสเบอร์รี่ รสชาติเปรี้ยวๆอมขม
กุหลาบดอกโต๊โต
พอคุยกันเสร็จก็พากันกลับไปบ้านApuเพื่อไปกินมื้อเย็นกันค่ะ
เข้าบ้านปุ๊บมีสิ่งนี้รอต้อนรับ มีความสุขสุดๆ ดูเหมือนว่าแถวนี้ทุกบ้านปลูกต้นเชอร์รี่พอๆกับที่เราปลูกต้นมะม่วงหน้าบ้านเลยค่ะ
รูปนี้เราแอบถ่ายมา ต้นเชอร์รี่หน้าบ้านใครสักคน
มาที่สิ่งที่เรารอคอยใจจดใจจ่อบ้าง ใช่แล้ว อาหารฮังการีแบบพื้นเมืองนั่นเองค่า
จานแรกAppetizer เป็น paprika chicken กินกับ Nukedliค่ะ
Paprika chickenจะรสชาติคล้ายๆแกงกะทิบ้านเราแต่ไม่เผ็ด ไม่หวาน รสออกเค็มๆคล้ายพวกสตูว์มากกว่าค่ะ
ส่วน Nukedli เป็นแป้งหมักนวดแล้วเอาไปต้มค่ะ
ต่อไป Main Dish เป็น Pörkölt หรือสตูว์หมู กินกับมันฝรั่งทอดแล้วก็กะหล่ำปลีดอง
กะหล่ำปลีดองอร่อยมาก
ตบท้ายด้วยขนมหวานฝีมือโฮสท์ย่าค่ะ strawberry strudel , cherry strudel, cottage cheese strudel
อร่อยลื้มม เราฟาดไปคนเดียวสี่ชิ้น
ตบท้ายล้างปากด้วยเชอร์รี่และสตรอเบอร์รี่เจ้าเดิมค่ะ ฟินาเล่มั่กๆ
กินอิ่มเจ้าของบ้านก็พาเดินย่อยดูทุ่งนา บ่อน้ำค่ะ
สโลวไลฟ์แบบเรียลๆ
มีแพะด้วย แบะๆ
คอกม้า
ตบท้ายด้วยบ้านสไตล์แคมปิ้งเฮาส์ค่ะ คืนที่เราไปพักApuยกบ้านเค้าทั้งหลังให้ครอบครัวเราแล้วตัวเองกับแฟนมานอนกันที่บ้านแคมปิ้งแทน
ข้างในค่ะ เล็กๆแต่น่ารัก
แล้วหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักค่ะ จนประมาณสองทุ่มApuก็มาเรียกเรากับแม่แล้วก็พี่สาวออกมากินของว่าง(พ่อเราชิ่งหลับไปก่อนแล้ว) ความรุ้สึกตอนนั้นทุกคนคือแบบ ยังอิ่ม ยังไม่หิว ง่วงก็ง่วงแต่ก็ต้องกินค่ะเพราะเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้เรากิน
เป็นเครปแบบฮังกาเรียน(รึเปล่า) แต่คล้ายๆซุเฟล่เครปที่กินกับซอสส้อมแหละค่ะ แต่นี่เรากินกับแยมสตรอเบอร์รี่และแยมเชอร์รี่โฮมเมดที่Apuเป็นคนทำเอง
อิ่มอ่ะ แต่อาหย่อยย
เป็นอันจบวันแรกในฮังการีด้วยเครปค่ะ มีความสุขจนแก้มตุ่ย พุงยื่น