[ กระทู้ชมพู ] เรื่องบังเอิญ เกิดเป็นความตั้งใจ และจบลงด้วยความบังเอิญอีกครั้ง

อาจจะยาวสักหน่อย หรืออาจจะไม่หน่อยก็ได้
ผมพิมพ์เรื่อยๆ เท่าที่ความทรงจำจะนึกออก แล้วเอามาแปะทีเดียว
ถือว่าอ่านเพลินๆ แล้วกันนะครับ

ปกติผมมักจะเป็นคนที่วิ่งตามหาความรักตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะความอิจฉา
ตั้งแต่สมัยมัธยมที่เพื่อนๆ ผู้ชาย มักจะมีสาวๆ มาเชียร์ มากรี๊ด มาจีบ
ส่วนผมหรอครับ ทำอะไรไม่เป็นกับเค้าเลย ดนตรี กีฬา หน้าตาก็งั้นๆ อีก

ตลอดเวลาเลยพยายามอัพเกรดตัวเอง จนบางครั้งก็ไม่เป็นตัวเอง เพื่อจะได้ดูเด่น จีบสาวติด ได้มีความรักเหมือนเพื่อนๆ บ้าง
ตลอดระยะเวลาของการวิ่งตามตั้งแต่วัยรุ่นมัธยมจนถึงวัยทำงาน มีทั้งเหนื่อย ทั้งสุข แต่สุดท้ายมันมักจะหลุดมือไปเสมอ

หยุดพล่ามถึงอดีตเพียงเท่านี้ ที่จะมาเล่าให้ฟัง คือปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับตัวผม ที่ความบังเอิญส่งใครบางคนเข้ามาผ่านตา
พอผมตัดสินใจจะเข้าหา เธอคนนั้นก็หายไป เหลือไว้แค่ความทรงจำและความประทับใจ
และเมื่อไม่ได้คาดหวัง เลิกคิดที่จะตามหา เธอคนนั้นก็โผล่เข้ามาให้ได้รู้จักอีกครั้ง

ผม เป็นมนุษย์ออฟฟิศชีวิตแสนธรรมดา ที่ตื่นเช้ามาก็ไปทำงาน ถึงเวลาก็กลับห้อง พร้อมข้าวราดแกงหนึ่งกล่อง
ไปจบอยู่หน้าทีวี ค่ำมาก็เข้าที่ตีดอทไป วนมันอยู่แบบนี้ หลายคนในออฟฟิศบอกให้ผมหัดออกไปสังสรรค์บ้าง ไปเที่ยวกลางคืนบ้าง
แต่บรรยากาศแบบนั้นหรอ เราก็ไม่ชอบ ดื่มหรอ ก็ไม่เป็นอีก จะบอกให้ผมไปกินข้าวกับเพื่อนๆ
จบมาก็แยกย้ายกันไป อยู่คนละมุมของประเทศ ปีนึงนู่นจะนัดเจอกันได้กันสักครั้ง

พักเที่ยงของวันหนึ่งซึ่งผมคิดว่ามันก็คงเหมือนๆ ทุกๆ วัน ได้เวลาก็ลงมากิน กินเสร็จก็ขึ้นไปทำงาน
แต่วันนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากมาทำงาน และรอคอยให้เวลาพักเที่ยงมาถึงไวๆ

ผมลงลิฟท์มาพร้อมกับพี่ๆ ในแผนกเหมือนทุกวัน และคุยกันว่าวันนี้จะกินอะไร
ซึ่งแน่นอนคำตอบก็ไม่ต่างจากเดิม เพราะมันมีให้เลือกกินอยู่ไม่กี่ร้าน
ระหว่างที่เราเดินกันไปคุยกันไป สายตาผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ยืนคุยกันอยู่หน้าธนาคารหัวเราะกันคิกคักคิกคัก

หนึ่งคนในนั้นยิ้ม ผมเห็นแค่เธอยิ้ม
แต่เป็นยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกละลาย รู้สึกหมดแรง ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ยิ้มให้ผม
ผมชะงักและหยุดยืนมองเธอคนนั้นยิ้ม

ไม่รู้ว่าผมหยุดยืนอยู่นานแค่ไหน จนพี่ที่สนิทกันสะกิดและถามว่าหยุดทำไม
ผมหลุดออกจากอาหารเพ้อเจ้อ และตอบพี่เค้าไปว่าคนนั้นน่ารักอ่ะพี่ พร้อมกับชี้ไปที่เธอคนนั้น

แต่ก็นะ ผมไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักหรอก ได้แค่มองแล้วก็ปล่อยผ่านไป
แต่ที่ยังจำได้คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ยังไงซะก็คงไม่ได้เจอเธอคนนั้นอีก
ทั้งตึกมีคนเป็นพัน ทำงานที่นี่มาเป็นปี พึ่งจะเคยเห็นเธอ

หลังจากนั้นทุกๆ วันก็กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติของชีวิตมนุษย์ออฟฟิศ
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาเองคือผมจะมองหาเธอที่เดิมทุกๆ วัน ที่ๆ ได้เห็นเธอคนนั้นยิ้ม
แต่แล้วก็ไม่เคยเจอเธอคนนั้นอีกเลย จนผมบอกกับตัวเองว่า ช่างมันเหอะ

ผ่านไปน่าจะสักเดือนสองเดือน ผมเองก็ไม่แน่ใจเวลา
ผมรอรถเมล์เพื่อกลับคอนโดตามปกติ แต่ๆๆๆ ผมจำเธอคนนั้นได้
เธอยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์

ผมคิดในใจว่า แล้วตลอดเวลาที่ทำงานที่นี่ เธอไปไหน ทำไมผมไม่เคยเห็นเธอมารอรถเมล์เลย
แต่ก็เอ๊ะ...สงสัยเธอจะไป BTS รึเปล่า คงไปเที่ยวไหนล่ะมั้ง เพราะรถเมล์ตรงนี้มันผ่านนี่นา
ผมแอบดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอเธออีกครั้ง ทำเป็นเนียนๆ เดินไปข้างหน้าเธอแล้วหันกลับมามอง
เหมือนมองผ่านๆ เพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าใช่เธอคนนั้นแน่นอน

เราขึ้นรถเมล์คันเดียวกันแต่เจ้ากรรมดันมีคนมาแทรก ผมจะเบียดไปยืนใกล้ๆ ก็กลัวจะแลว่าดูโรคจิต
เอาวะมองห่างๆ ก็ได้ แต่เหตุการณ์ตรงนั้นมันต้องจบลงอย่ารวดเร็วเพราะ ผมขึ้นรถเมล์แค่ป้ายเดียวเท่านั้น

ผมกดออดรถเพื่อที่จะลงป้ายถัดไป แต่ในใจยังคิดว่า หรือเราจะนั่งรถต่อไปเรื่อยๆ ดีนะ
อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเธอคนนั้นลงป้ายไหน ระหว่างที่กำลังคิดรถเมล์ก็จอดที่ป้ายที่ผมต้องลง
ผมลังเลกับตัวเองว่าจะเอายังไงดี

ระหว่างที่ผมกำลังสู้รบกับความคิดของตัวเอง เธอคนนั้นลงจากรถเมล์
เฮ้ย...เธอลงป้ายนี้ ป้ายเดียวกับเรา ขาผมนี่ก้าวลงอย่างไวเลยครับ แทบจะพุ่งหลาว

เธอเดินนำหน้าผม ก้าวช้าๆ โคตรช้าเลยดีกว่า ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์
ผมจะเดินตามแต่จะเดินช้าซะขนาดนี้ เกิดเธอสังเกตเราตั้งแต่ที่ป้ายรถเมล์จะคิดว่าเราโรคจิตรึเปล่าวะ
เธอเดินช้าขนาดนี้ ยังจะเดินช้าตามเธออีก เอาแบบนี้ดีกว่าเพื่อความแนบเนียน
ผมเลยตัดสินใจแซงซ้ายเฉียดเธอไปนิดเดียวหวังว่าจะให้เธอเงยหน้าขึ้นมา
แต่เปล่าเลยเธอก็ยังง่วนกับการก้มหน้ากดโทรศัพท์เหมือนเดิม

ผมเดินชะลอเพื่อที่จะรอเธอ ตั้งใจว่าต้องรู้ให้ได้ว่าเธอจะไปไหน
เธอเลี้ยวเดินเข้าซอยเดียวกับผม ผมก็เดินปกติแต่หันไปมองเป็นพักๆ เห็นเธอเดินตามมาเรื่อยๆ
ถึงกลางซอยผมหันไปเพื่อจะมองเธออีกครั้ง แต่เฮ้ย...เธอหายไป

ผมอุทานในใจ หายไปไหนแล้ววะ
ผมเดินเข้าร้านค้าทุกร้านที่อยู่ข้างทางเพื่อมองหาเธอ เข้าเซเว่น เข้าร้านข้าว เข้าซอยแยกย่อยๆ
แต่เธอหายไปซะอย่างงั้น หรือเธอจะเป็นนางฟ้า...อันนี้ก็เน่าไปผมไม่ได้คิดตอนนั้นหรอกพึ่งเติมเองนี่แหละ

อีกอย่างที่ผมพยายามทำหลังจากนั้นทุกวันคือไปรอรถเมล์ที่เดิม เวลาเดิม แต่ก็ไม่เจอเธออีกเลย

กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนอนหลับ แอร์เย็นๆ ห่มผ้านวมหนาๆ เหมือนที่คนใครๆ หลายๆ คนทำ
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงสัญญาณฉุกเฉินของคอนโดดังขึ้น ดังมาก ต่อให้ใครคนไหนกินยานอนหลับก็ควรจะตื่น
ผมรีบลุกขึ้นจากเตียง มองออกไปนอกระเบียงก่อนเพื่อดูว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้นจากด้านนอกหรือไม่
หลังจากนั้นผมจึงเปิดประตูห้องออกไปดู ทุกห้องยังปิดประตูเงียบ
ผมเดินตลอดบริเวณชั้นเพื่อดูว่ามีเหตุเกิดที่ชั้นผมหรือไม่ ไม่พบเหตุการณ์อะไรผิดปกติ

ระหว่างนี้สัญญาณฉุกเฉินยังดังอยู่ตลอดเวลา
ผมเดินกลับมาที่ห้อง หลายๆ ห้องเริ่มเปิดประตูออกมาดู ผมดูนาฬิกาขณะนั้นน่าจะเวลาประมาณตี 3
ผมหยิบเอกสารที่จำเป็นที่แยกใส่กล่องของสำคัญไว้พร้อมกระเป๋าสตางค์ เพื่อที่จะลงบันไดฉุกเฉิน
ผมปิดประตู ล็อคห้อง และหันไปตามทางเดินเพื่อที่จะเดินไปบันไดฉุกเฉิน

เธอคนนั้น คนที่รอยยิ้มพิมพ์อยู่บนใจผม
เธอคนนั้น คนที่ผมมองหาทุกวัน
เธอคนนั้น เปิดประตูออกมาจากห้องตรงข้าม

ผมชะงัก ผมอึ้ง ผมยืนมองเธอตาไม่กระพริบ
ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสัญญาณฉุกเฉินยังดังอยู่ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังจะต้องรีบไปลงบันไดฉุกเฉิน

ผมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นๆ บนชั้นคุยกันโหวกเหวกว่า พวกเราลงบันไดฉุกเฉินกันเถอะ
ผมจึงเดินตามเธอเงียบๆ มองเธอจากด้านหลัง เธออยู่ในชุดนอนที่เป็นเสื้อตัวยาวๆ ผ้าลื่นๆ เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ
หัวฟูๆ เหยิงๆ ปราศจากการแต่งหน้าใดๆ งัวเงียๆ แต่น่ารักเป็นบ้าเลยว่ะ

เธอลงมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนที่อยู่ห้องเดียวกัน
ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ลงมาด้วย เป็นพี่น้องกันรึเปล่า แต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันเลยแฮะ
หวังว่าเธอจะไม่ได้เป็นดี้ ไม่งั้นผู้ชายอย่างผมก็หมดโอกาสสิ

หัวใจผมเต้นแรงจัง

เราเดินลงมาถึงชั้นล่าง ร่วมตัวกันเป็นกลุ่ม ผมยังคงมองเธออยู่ตลอดเวลา
เผื่อว่าเธอจะหันมาเห็น จะได้ส่งยิ้มให้เธอบ้าง แต่ๆๆๆ เหมือนเธอจะจิ้มแต่โทรศัพท์อีกแล้ว

สักพักเจ้าหน้าที่เดินมาบอกทุกคนว่า เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคแล้วสัญญาณมันดัง
ไม่ได้มีเหตุฉุกเฉินใดๆ เกิดขึ้น ทุกคนจึงกลับขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง
ผมขึ้นลิฟท์พร้อมกันกับเธอ มองตามจนเธอกลับเข้าห้อง ผมถึงเข้าห้องของตัวเอง

เธออยู่ห้องตรงข้าม เธออยู่ห้องตรงข้าม เธออยู่ห้องตรงข้าม
ผมเอาแต่คิดวนไปวนมา นึกถึงวันที่ได้เห็นยิ้มของเธอครั้งแรก
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนถึงวันนี้ แล้วผมก็ผลอยหลับไป

วันต่อมาผมไปทำงานสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนมีเหตุเลยขอนอนต่อซะหน่อยให้เต็มอิ่ม
ตั้งแต่ตื่นมาผมคิดอยู่เรื่องเดียวว่า มีหวังแล้วเฮ้ย อยู่ห่างกันแค่กำแพงห้องกั้นเอง

ระหว่างรอลิฟท์ของคอนโด เธอคนนั้น เธอออกจากห้องหลังผมเพียงนิดเดียว
เรายืนรอลิฟท์ด้วยกัน ผมพยายามมองเธอ เผื่อเธอจะหันมามอง เผื่อได้ส่งยิ้มและทักทาย
แต่เอาอีกแล้ว เธอก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ของเธอ
ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟท์ เธอไม่เงยหน้ามามองอะไรทั้งสิ้น
ในใจผมคิด ใจคอจะไม่เงยหน้ามามองเพื่อนบ้านชั้นเดียวกันหน่อยหรอครับ

วันนั้นผมไม่เป็นอันทำงาน

เอาละ...ผมตัดสินใจแล้ว ผมต้องทักเธอ

ผมมองหาเธอทุกวันพร้อมความตั้งใจที่จะทำความรู้จักเธอให้ได้
ขอโทษนะครับ ผมพึ่งย้ายเข้ามา ขอถามทางหน่อยได้ไม๊ครับ ทางไหนที่เราจะได้รู้จักกันบ้างครับ (เสี่ยว-มากอันนี้)
ขอโทษนะครับ อย่าพึ่งตกใจนะครับ คือผมอยากรู้จักคุณ ไม่อยากปล่อยให้โอกาสผ่านไป (จู่โจมไปเปล่าวะ)
อยู่ชั้นนี้หรอครับ ย้ายเข้ามาอยู่นานรึยังครับ ผมอยู่ห้อง... คุณล่ะครับ อ้าวอยู่ห้องตรงข้ามกันนี่เอง (เข้าท่าเนียนดี)

คิดไว้ในหัวทั้งนั้น แต่ละประโยค

เชื่อไหม หลังจากนั้น ผมไม่เคยเจอเธออีกเลย
ผมรีบออกจากที่ทำงาน เพื่อไปนั่งรอเธอที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน
ผมออกไปทำงานถึงขั้นจับเวลาค่อยๆ ขยับเวลาทุกวันวันละ 5 นาที
จนสุดท้ายรอตั้งแต่ 6 โมงยัน 8 โมง เธอก็ไม่ออกจากห้องไปทำงานเหมือนเดิม

หรือคืนนั้นเธอจะแค่มานอนห้องเพื่อน

ผมเริ่มโดนที่ทำงานทักว่ามาทำงานสายนะ กลับบ้านไวนะ
ผ่านไปสัก 3-4 เดือน ผมก็ต้องเลิกทำ เพราะไม่อยากให้มีปัญหาในที่ทำงาน

เธอหายไปอีกแล้ว
คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกันจริงๆ

ผ่านไปอีกปีกับชีวิตเดิมๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่