*กระทู้เด็ด*สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง " พุทธวจน "โดยไม่มีปฎิสัมภิทาญาน เริ่มช๊อก! เมื่อเจอของจริง!

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ

"เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี"

จงเข้าใจว่าคำว่า บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน คือจะต้องรู้เป็นที่สุดแล้ว คือยกเว้นคนนอกศาสนา คนในฟังอ่านพิจารณาแล้วถูกหมด

ถ้าไม่สามารถอย่าคิดเอง อย่าเอาหัวข้อธรรมใดธรรมหนึ่งไปประมวลว่าเป็นที่สุด ทั้งๆก็ไม่ถึงที่สุด

"มหาบพิตร ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค ตถาคตรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ด้วยตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน"

ตอบให้ตรงตามหลักธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมมหาศาสดาเป็นใหญ่ ให้กว้างขวางลึกซึ้ง

ไม่ควรเอาบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นที่ตั้งมากกว่าพระองค์ ถ้าจะสอนธรรมของพระองค์ ควรยกพระดำรัสวาจาของพระองค์มาสอน และที่ทรงตรัสรับรอง โดยสัจฉิกัฐถปรมัตถ์ เพราะทรงตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระปรีชาญาณ อธิบายเนื้อหาธรรมนั้นอย่างเต็มความสามารถที่สุด แสดงธรรมอย่างมีเหตุ มิใช่ไม่มีเหตุ ทรงประกาศอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์ มิใช่ไม่บริสุทธิ์

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด

ดังเช่นที่ได้ตรัสกับพระเจ้าอชาติศัตรูในสามัญญผลสูตรใน ที.สี.(แปล) ๙/๑๙๐/๖๔ ว่า

" มหาบพิตร ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค ตถาคตรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ด้วยตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ตาม แสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน"

ทางรอดที่บริสุทธิ์หมดจดคือ ต้องแสดงเนื้อความประโยค ที่ได้ตีความหมายให้รู้ซึ้งถึงเจตนาของอาจารย์ผู้สอน ให้ถูกต้องตามหลักธรรมทั้งมวลฯ โดยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบรู้ในธรรมของอาจารย์ดีแล้ว โดยนำสรุป เข้าสู่กระบวนการไตร่ตรอง พิจารณาตามหลักธรรมทั้งหลายฯ สรุปผลให้เป็น [สัมมาทิฏฐิ] นั่นคือ การแสดงเป็นอรรถาธิบาย โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน ที่ไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่สามารถหาเหตุข้อติดขัดใดๆ มาโต้แย้งได้

อย่าฆ่าอาจารย์ เพราะมีผู้รู้เห็น รักอาจารย์ ต้องพิจารณาธรรมจากอาจารย์ ให้ดีแล้วค่อย เอามาสอน เอามาประกาศ อย่าทำร้ายอาจารย์ อันเป็นเหตุให้สำนักอื่นที่ขัดกันหาเหตุโจทย์อธิกรณ์ได้
ผู้นำธรรมมาแสดงสั่งสอนผู้อื่น ด้วยไม่รู้จักการตีความให้บริสุทธิ์ แล้วจึงนำมาแสดง อันจะเกิดเป็นขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติธรรม โดยไม่ทำลายขวัญกำลังใจและศรัทธา ผู้เดินมาตามหลัง ทั้งจะถูกเยาะเย้ยจากศาสนาอื่น เดียร์ถีย์นอกลัทธินิยมนั่นด้วย โดยแสวงอื่น คือการเพ่งโทษ ย่อมทำลายมรรค ๘ ในทั้งตนเองและผู้อื่นด้วย สาธุธรรมฯ

ด้วยพระปรีชาญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของพระองค์ท่านได้หงายของที่ควํ่าอยู่ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยพระประสงค์ว่าผู้มีจักษุคือปัญญาจะได้แลเห็น

"ในกาลก่อนนี้ก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม เราตถาคต บัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์ และการดับสนิทไม่เหลือของทุกข์เท่านั้น"
จงแสดงธรรมที่[พระพุทธเจ้า]ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เมื่อดีต้องเอาดีที่สุด

{O}เมื่อพิจารณาอรรถาธิบายได้ไม่กว้างขวาง เพราะผู้อธิบายไม่เรียนพระสูตรที่ขัด คือ มีที่ยิ่งไปกว่านั้น{O} อย่าเรียนลัดขั้นตอน เดี๋ยวจะไปไม่ถึงไหน? ควรพิจารณาศึกษาไปตามลำดับ

"ต้องเตือนไว้ตลอด"
เพราะอยากจะเอาแต่ความสำเร็จเป็นที่ตั้ง จนลืมที่มาแห่งความสำเร็จ นั่นหรือครับ ทางสายกลาง ศาสนานี้ ท่านสอนอย่างไรครับ ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าท่านมีความสามารถในการอดทนต่อความบากความทุกข์เพียงแค่นั้น ท่านก็ทำตามทางที่ท่านชอบเถิดครับ ส่วนผมหมดทุกข์ไปตั้งแต่พบกับพระพุทธเจ้าแล้วครับ ทุกข์ใหม่ไม่มีอีก

.( The Top Secret ).อย่าข้ามพื้นฐานถ้าคิดจะเรียนธรรม
{O}เรามีหลักพื้นฐานเบื้องต้นดังนี้ คือการเห็นคุณค่าความสำคัญของพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง{O}
จงพิจารณาให้ถึงที่สุดเถิด หากไม่มีพระธรรม ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณ ท่านจะอยู่ในลักษณะใดลัทธิความเชื่อใดในตอนนี้
มีความปรารถนาต้องการอะไรจากพระพุทธศาสนา
แรกเริ่มท่านต้องมีความสนใจ ชอบใจ และศรัทธาให้เหนือกว่าที่เคยศรัทธา ไม่ใช่งมงายแต่ให้ใช้สติพิจารณาอย่างละเอียดอ่อนให้ถ้วนถี่ยิ่งๆขึ้นไป และจงรักเทิดทูนในพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างเคารพยิ่งเป็นที่สุด ต้องนอบน้อมต่อพระธรรมคัมภีร์ในพระสูตรอย่างจะมีได้ แน่นอนต้องเหนือกว่าการเทิดทูนบุคคลใดๆทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้พ้นจากสถานะทั้งปวง
ไม่ควรพิจารณาถึงธรรมที่ตนเองก็มิได้กระทำวัตรปฎิบัติให้ถึงโดยที่สภาวะของตนไม่เอื้ออำนวยแก่การบรรลุธรรมนั้น เพราะจะถูกบีบคั้นจากสภาวะทั้งปวงรอบข้างเป็นอย่างมาก
เพราะรู้แล้วไม่ปฎิบัติ ย่อมถือว่าไม่รู้ อุปมาเสมือนบุคคลขับยานพาหนะไปในท้องถนนที่คับคั่งด้วยยวดยาน เห็นสัญญานไฟแดงเตือนให้รถหยุด รู้แต่ยังดื้อดึงขับฝ่าย่อมมีเหตุอันตรายให้มาถึง
อย่าถือดีว่ารู้มากมีความรู้สูงเพราะเข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะความสามารถตนแล้วเรียนผ่านแม้เพียงอักขระอักษรพยางค์เดียว อย่าเผยวาจาใจว่ารู้หมดจบผ่าน อย่าเห็นว่าพระธรรมเป็นของเข้าใจได้ง่ายๆ และได้มาอย่างง่ายๆในทุกภาษิต อย่าเผลอใจตนพลั้งกายวาจาใจ เพื่อโอ้อวดยกยอตนเองยินดีกับการสรรเสริญจากผู้อื่นอย่างลืมตน
พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯท่านทรงสรรเสริญพระธรรม สรรเสริญการแสดงพระสัทธรรม ตำหนิไม่เห็นด้วยกับการแสดงอสัทธรรม การที่ท่านเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เพราะการสั่งสมบุญบารมีมาเป็นอย่างดีและได้อาศัยพระธรรมจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงทศพลญาน๑๐ เจริญพระวรกายด้วยมหาปุริลักษณะ คือลักษณะกายที่มีประสาทการรับรู้ที่ดีที่สุดกว่าผู้ใด เมื่อทุกข์จึงทุกข์กว่าผู้ใด เมื่อสุขจึงสุขกว่าผู้ใด จึงเป็นผู้ "เอก"ไม่มีสอง ต่อให้ผู้ใดก็ตามพระเจ้าใดก็ตามก็ไม่สามารถเนรมิตกายให้สมบูรณ์ครบถ้วนอย่างพระองค์ได้
และหากไม่มีองค์คุณของพระธรรมคัมภีร์"ธรรมแม่บทดั้งเดิม"ปรากฎ ก็ย่อมไม่มีรูปแบบ หลักฐานที่ชัดแจ้งในการวางหลักปักฐานในพระพุทธศาสนา ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเพียงมายาคติที่มนุษย์ มาร เทวดา พรหม ในสามแดนโลกธาตุอาศัยฤทธิ์มายาสร้างขึ้นทันที เพราะการกำเนิดพระธรรม เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือความคิด เหนือจินตนาการของมนุษย์ เทพ มาร พรหม พระเจ้าใดทั้งปวง ตราบใดที่ไม่มีผู้เข้าถึงพระนิพพานจริงๆด้วยฐานะแล้ว ทั้ง๒ ฐานะ มาอธิบายพระนิพพาน ตราบนั้นก็จะไม่มีใครล่วงรู้ จึงทรงมุ่งสอนให้มีความเพียรพยายามให้เห็นเอง เพราะทรงพิจารณาแล้วว่าผู้นั้นสามารถสำเร็จธรรมได้

ผู้ไม่ถึงที่สุดในจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาย่อมไม่สามารถบอกหรือสอนได้ และแม้หากรู้หากถึงก็ตาม แต่ไม่มีปัญญาจะอธิบายพรรณนาถึงภาวะนั้นได้ ไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ทุกรูปก็จะบันทึกลงความเห็นในการสำเร็จธรรมของตนไว้ทั้งหมดเป็นแน่ แต่เพราะได้ใคร่ครวญเห็นตามกันดีแล้ว ว่าไม่ใช่ฐานะที่จะพึงกระทำ จึงเน้นถ่ายทอดรูปแบบของการปฎิบัติธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อให้รู้ว่า การสำเร็จธรรมนั้นต้องเป็นไปตามสภาวะที่ตนสั่งสมตามกรรมตามกาลไว้ ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจในพระธรรมเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วสำเร็จธรรมตามกันทั้งหมด เพราะจริตธรรมนำพาแตกต่างกันในอิริยาบทของกรรม

ขอจงตั้งใจศึกษาพุทธประวัติ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ และพระสูตรต่างๆอย่างน้อมนำสติเป็นตัวอย่าง ตามสติปัญญาของตน ศึกษาแล้วปฎิบัติตาม ท่านสอนให้ละสิ่งนี้ ออกจากสิ่งนี้ก็ต้องรู้ตามและปฎิบัติทันที จึงจะเข้าฐานแห่งการรู้ตามได้ ส่วนใดที่ผิดแผกไปจากเดิม เราไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือแน่ใจว่าถูกต้องได้ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องอาศัยผู้มีปฎิสัมภิทาญาน เชี่ยวชาญในพระธรรมคำภีร์มาโปรดอีกที ว่าพิจารณาอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ถึงจะถูกถึงลำดับฐานะกาลการตรัสรู้ธรรม อันเป็นสามัญผล

อย่ามองข้าม ( "มงคลสูตร" )พิจารณาความให้ละเอียดอ่อนเท่าที่จะมากได้เป็นที่สุด เพราะได้ทรงบอกตอบคำถามไว้หมดแล้ว โดยทรงล่วงรู้ ทรงทราบล่วงหน้าโดยข่ายพระญานพระสัพพัญญูแล้ว หากไม่ตรัสตอบ "มงคลสูตร"นี้ ในสหโลกธาตุ มนุษย์ ยักษ์ นาค มาร เทพ เทวดา พรหม ฯจะลำบากในการครุ่นคิดตัดสินใจ ถึงต้องกราบทูลถามให้
กระจ่างตามฐานะลำดับกาล บันทึกจารึกมั่นหมาย จวบจนพ้นสมัยมาจนถึงปัจจุบันนี้

ปฎิบัติให้อยู่ในสารคุณให้ได้ตาม ( "กรณียเมตสูตร" )
และยังอีกมากมายในสารคุณนั้นๆ
ขอจงตั้งใจเถิด พระธรรมนั้นมีมาก ไม่อาจจะทรงจำศึกษาและปฎิบัติตามได้ในทุกพระสูตร เพราะความเฉพาะกาลและบุคคลนั้นแตกต่างกัน อันองค์คุณของ"มรรค ๘ " ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จงพิจารณาให้เห็นจริงตามสติปัญญาฐานะกาลในตนนั้นเถิด
ไม่มีคำว่าช้าหรือสายสำหรับผู้ปฎิบัติดีแล้วยังสามัญผล ปฎิบัติแล้วต้องได้อย่างแน่นอน

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ดีแล้ว

แล้วอะไรบ้างเล่าที่ทรงตรัสดี ณเบื้องตน ดี ณ ท่ามกลาง ดี ณ บั้นปลาย ดีไปได้โดยตามลำดับฐานะ และ อฐานะ ของผู้ที่ได้รับฟัง

ทรงทราบ ทรงเปิดเผย แต่ไม่ทรงติด ซึ่งโลกธรรม

ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?

ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อ...มบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.

(ในกรณีแห่ง เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยถ้อยคำที่มีหลักเกณฑ์ในการตรัส อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้วนั้นทุกประการ)

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.

บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๐/๒๔๐. ตรัสแก่ภิกษุ
ภิกษุ ! ในกรณีนี้ ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ย่อมไม่คิดไป
ในทางทำตนเองให้ลำบากเลย ไม่คิดไปในทางทำผู้อื่นให้ลำบาก ไม่คิดไป
ในทางทำทั้งสองฝ่ายให้ลำบาก; เมื่อจะคิด ย่อมคิดอย่างเป็นประโยชน์
เกื้อกูล แก่ตนเองเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งสองฝ่าย คือเป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่โลกทั้งปวงนั่นเอง. ภิกษุ ! อย่างนี้
แล ชื่อว่า ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก.
- จตุกฺก. อํ .๒๑/๒๔๑/๑๘๖
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่