ข้อดีที่...เป็นมะเร็ง

สวัสดีค่ะ คราวนี้ปิ่ณมาโพสกระทู้ที่สองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของตัวเอง หลังจากปีก่อนได้โพสเรื่องทรงผมและวิกทรงต่างๆที่ใส่ในระหว่างที่ได้รับยาเคมีบำบัดไป
วาร์ปไปกระทู้แรก - - - - > http://pantip.com/topic/32540450
แต่กระทู้นี้จะยังไม่พูดถึงว่าปิ่ณเป็นมะเร็งได้อย่างไร รักษาอย่างไร แล้วหายได้อย่างไร เพราะมันค่อนข้างจะยาวมากเลยทีเดียว ถ้าใครสนใจอยากจะรู้คอมเม้นไว้นะคะ ถ้าอยากรู้กันเยอะๆจะมาเล่าให้ฟังเนอะ หัวเราะ

ย้อนกลับไปสองปีพอดีเด๊ะ เราได้รับรู้จากผลตรวจก้อนเนื้อที่ผ่าไปว่า...เราเป็นมะเร็ง! เอาจริงๆแล้วเราก็เดาไว้อยู่แล้วล่ะว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ เรียกว่าทำใจในระดับหนึ่ง เพราะทุกครั้งที่เราเป็นโรคอะไร เราก็จะชอบหาข้อมูลตามอินเตอร์เน็ท เสิร์ชนู่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็เดาอาการของตัวเองได้ถูกในแทบจะทุกครั้งว่าเราเป็นอะไรกันแน่ (บางทีรู้ก่อนหมออีกนะ) คือเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครมารู้ดีเท่าตัวเราเองหรอกค่ะ เราเป็นคนรู้อาการละเอียดที่สุด รู้พฤติกรรมของตัวเองดีว่าวันๆทำอะไรบ้าง หาข้อมูลเอาไว้ก่อนก็ดีกว่าไปรู้ตอนเป็นมากๆแล้วจากปากหมอทีเดียวน้า อย่างน้อยเราก็เปลี่ยนพฤติกรรมและเตรียมใจเอาไว้ได้ก่อน

ย้อนกลับมาช็อตที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ตอนนั้นจำได้ว่าหมอศัลย(คนที่ผ่าก้อนเนื้อให้เรา) นางเปิดหนังสือค้างไว้หน้านึง แล้วชี้บอกว่า ก้อนเนื้อของเรานั้นมันแปลกมาก ตั้งแต่หมอเกิดมายังไม่เคยเจอเคสนี้เลย (หมอแบไต๋ออกหมดงี้ คนไข้ใจบ่อดี) ตอนแรกหมอนึกว่ามันเป็นก้อนเนื้อธรรมดา แต่ปรากฏว่ามันดันมีเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แล้วก็ชี้ๆที่หนังสือให้ดูว่า ดูสิเคสนี้มีข้อมูลน้อยมาก มีแค่นี้เอง(ประมาณครึ่งหน้าหนังสือเล่มเล็กๆ) นี่แทบจะตบเข่าฉาดแบบในหนัง แล้วตะโกนออกไปว่า ตูว่าแล้ว! อะไรร้ายๆที่คาดการณ์ไว้ เดาถูกหมดไม่มีพลาด ณ ขนาดนั้น หมอมองหน้าเราแบบเห็นใจ และแนะนำให้ไปที่แผนกอื่น ส่วนเราก็ได้แต่ยิ้มให้น้อยๆที่มุมบางแล้วบอกว่า ขอบคุณนะคะ(ลาก่อนค่ะ รพ.นี้ ไม่มาอีกแล้วค่ะ) เดินออกมาจากห้องหมอ ถามว่าเสียใจไหม ก็ต้องบอกว่าเสียใจ แต่มันตื้อๆมากกว่า แบบยังงงๆเบลอๆ เอ๊ะ มันจริงรึ? จริงซิ? แน่นะ? แน่ซิ? ไม่ยั่วนะ? เอ้ยย พอๆๆ แต่ตอนนั้นไม่ร้องไห้เลยนะ จำได้ว่าแม่ร้องไห้ ทุกคนเสียใจ แต่นี่รู้สึกว่าเราต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้สิ อายชาวบ้านเขา ถ้าแม่เห็นเราร้องไห้แม่จะยิ่งเสียใจนะ(มีคลอๆนิดหน่อย อั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมา)

กลับมาบ้าน ในใจคิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมา แล้วก็พบว่าตัวเอง เสียใจมาก แต่สาเหตุที่เสียใจ ไม่ใช่เพราะมะเร็งเลย เป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้น เราเพิ่งยื่นเอกสารขอเรียนต่อที่อังกฤษ แล้วมหาลัยเพิ่งจะตอบรับมาไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เรียกได้ว่า เพิ่งจะดีใจได้ไม่กี่วัน กลายเป็นเศร้าซะแล้ว แถมก่อนนั้นไม่กี่เดือนคุณย่าก็เพิ่งจะเสีย ความเศร้ามันเลยยาวนาน นอนกลิ้งไปกลิ้งมา แล้วก็นึกได้ว่า อ่าว อดไปเรียนแล้วนี่หว่า เป็นมะเร็งก็ต้องรักษาให้หายก่อน เท่านั้นแหละ ร้องไห้เลยจ้า ตีโพยตีพายในใจเงียบๆว่า อีมะเร็งบ้า แกมาทำไมเอาป่านนี้ แกมาเกิดกับฉันทำไม ฉันเป็นคนดีนะเว้ยเห้ย ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ยุงยังไม่ตบเลย เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ ผักก็กินจนจะเป็นวัวเป็นกระต่าย แกมาทำลายความฝัน ทำลายอนาคตฉันทำม๊ายยย ในใจนี่ก็โวยวายไปสิ แต่ภายนอกก็ร้องไห้สวยๆเหมือนนางเอกช่องสามช่องเจ็ดไป มาสคาร่ายังกันน้ำดีอยู่ ใครไม่เห็นแต่ฉันเห็น ฉันร้องไห้แต่ฉันต้องสวยอยู่ โอเคไหม

หลังจากวันนั้น เราก็ไม่เคยร้องไห้ด้วยความเสียใจอีกเลย (แต่ร้องไห้เพราะเจ็บตอนให้ยานี่มีบ้างนะ เขาเจ็บอะตะเอง จะให้เขาทำไง T^T)
วาร์ปปปปปป ข้ามช็อตไปตอนไปหาหมอที่จุฬา ให้ยาเคมีบำบัดแล้ว ทีนี้แหละ เราต้องไปอยู่ห้องรวมกับคนไข้คนอื่นๆ ห้องละสามคน ตอนแรกก็บอกหมอขออยู่ห้องเดี่ยวได้ไหม แต่หมอบอกว่า เราเป็นค่อนข้างหนัก มะเร็งชนิดนี้มันโตไว รุนแรง ต้องอยู่ในความควบคุมของหมอและพยาบาลเฉพาะทาง คือถ้าเราไปอยู่ห้องเดี่ยวอีกตึกนึง พยาบาลก็จะมีความเชี่ยวชาญไม่มากพอ หมอก็นานๆจะเข้าที เป็นอะไรไปมันจะเสี่ยงมากๆ ก็เลย เอาวะ อยู่ห้องรวม เกิดมาก็ไม่เคยนอนโรงพยาบาล มาถึงก็นอนด้วยโรคฮิตฮอตท็อปชาร์ต อาการหนัก ยาแรงแซงทางโค้งซะนี่ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับดาว

แรกๆก็นอนเงียบๆ เก็บข้อมูลเตียงข้างๆไป เห็นเขาอาการหนักบ้าง เบาบ้าง มีพยาบาลมาคอยโกนผมให้บ้าง นี่ก็เสียวแว๊บๆ เพราะพยาบาลชอบเดินมาขู่ว่า ไปตัดผมสั้นรอไว้ซะนะ เดี๋ยวผมร่วงแล้วจะโกนลำบาก นี่ก็เตรียมใจไว้ละ ว่าใกล้จะถึงเวลาสละขนไม้กวาดทิ้ง ไอ้ผมเรามันก็ยาวสวยจริง แต่ตายแล้วตายอีก ชุบชีวิตด้วยทรีทเม้นต์นานาชนิตแล้วก็ยังเหมือนซอมบี้ โกนนี่แหละ คือคำตอบ อาศัยโอกาสนี้แหละ ปลูกผมสลวยสวยเก๋ที่ดาวใผ่ผัน

เราก็อยู่โรงพยาบาลไปประมาณ5วัน กลับไปบ้านไม่กี่วัน ไปพักฟื้น ไปตัดผม แล้วก็กลับมาให้ยาใหม่ นอนต่ออีกสัก5วัน ทีนี้ก็กลับบ้านไปยาวเลยประมาณเกือบเดือนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงดีก่อนค่อยมาให้ยาใหม่ เพราะยามันแรงมาก อ้วกแล้วอ้วกอีก กินอะไรก็ไม่ได้ ให้ช่างมาโกนผมให้ที่บ้านเพราะทนเห็นสภาพผมตัวเองไม่ไหว ร่วงแล้วร่วงอีก จับตรงไหน หลุดตรงนั้น พอเริ่มอาการดีขึ้น นี่ก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ก็หาอะไรทำสิจ๊ะ อยู่นิ่งทำไม เราเชื่อว่าการทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข มันก็ทำให้เรามีกำลังใจ กำลังใจจากใคร ไม่เท่ากำลังใจจากตัวเองเนอะ และสิ่งที่เราชอบคือ เรื่องสวยๆงามๆเหมือนสาวๆทั่วไปนี่แหละ เมื่อก่อนชอบวิกผมมาก เพราะรู้สึกสนุกดีที่ได้เปลี่ยนลุค แต่ตอนมีผมใส่วิกแล้วมันก็ร้อน ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีเลย ไม่มีผม เหมือนหุ่นในร้านวิก สบายละทีนี้ ช็อปปิ้งออนไลน์เลยจ่ะ อยากได้ทรงไหนสีไหน สองวันของมาส่งที่บ้าน นี่ก็แต่งหน้าแต่งตาใส่วิกอัดคลิป ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย สาเหตุหนึ่งที่ทำก็เพราะว่าไม่อยากให้คนรอบข้างเป็นห่วง อยากให้เขาเห็นว่าเรายังโอเคนะ ดูสบายกาย สบายใจดี (แต่จริงๆก็ไม่ได้สบายกายเท่าไหร่5555)

เวลาแห่งการพักผ่อน และความสุขผ่านไปได้ไม่นานก็ถึงเวลากลับเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อให้คีโมอีกรอบแล้ว คราวนี้ได้เปลี่ยนห้องใหม่ อยู่กับคุณป้าๆสองคน แกนิสัยดี น่ารักมาก คุณป้าคนนึงบอกว่าแกกินมัง แต่ก็ยังเป็นมะเร็ง อีกคนก็ธรรมะธรรโม สวดมนต์ ทำบุญอยู่เป็นประจำ ป้าทั้งสองคนบอกว่า แกไม่เคยท้อเลย แกทำใจให้สบาย ไม่ไปยึดติดอะไรมาก คุยกับป้าแล้วก็มีกำลังใจมากขึ้น เหมือนเจอคนที่คิดเหมือนกัน คนที่มีพลังบวกพุ่งใส่เรา อยู่ด้วยแล้วก็จะไม่มีพลังลบ มีแต่ความคิดที่ว่า เราจะต้องหาย ใครจะมาตายเพราะไอ้โรคนี่ ไม่มีทาง อนาคตฉันยังอีกยาวไกล

เดี๋ยวมาต่อคอมเม้นล่างน้า ตอนนี้ขออนุญาตไปนอนก่อน ที่อังกฤษตีหนึ่งแล้วค่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ความงาม โรงพยาบาล สุขภาพกาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่