ช่วยคิดหน่อยค่ะ กำลังสับสนเรื่องการตัดสินใจลาออก "มองเห็นโอกาสแล้วคว้าไว้ หรือแค่หนีจากสิ่งที่ไม่ชอบใจอีกครั้ง"

ขอเริ่มต้นอย่างนี้นะคะ คือเราเรียนจบได้ 2 ปีกว่า ๆ แล้วค่ะ อายุ 25 ทำงานมา 5 อาชีพไม่ซ้ำเลยค่ะ
เราเหนื่อยมากกับการทำงานไม่เคยครบปีเลย มันทำให้รู้สึกว่ามีประวัติเป็นคนเหยาะแหยะ ไม่อดทน แย่กว่านั้นนะคะ
ชาวบ้านเขาเปลี่ยนงานแล้วเงินเดือนขึ้น เราเปลี่ยนงานแล้วเงินเดือนลดค่ะ


เริ่มจากงานแรกค่ะ


1. ตอนเรียนในมหาวิทยาลัย เราใฝ่ฝันอยากเป็นฝ่ายบุคคลมาก
จนไปลงทะเบียนเรียนวิชาในภาค HRของคณะพาณิชย์ 18 หน่วยกิต จนได้ Minor มาในทรานสคริปต์
ตอนเกรดออกครบปลาบปลื้มมากค่ะ เกรดออกครบแล้ว มีวิชาโทขึ้นกะเค้าด้วยเย่ ๆ เราบุญหล่นทับตอนนั้น
บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ข้ามชาติแถวนวนคร HR เก่าลาออกพอดี ภาษาอังกฤษเราดีค่ะ เราเลยได้งานนี้
ตอนนั้นรับค่าตอบแทน 20K เลยค่ะ จบใหม่นะคะ หอก็อยู่ที่เดิม ไม่ต้องย้าย วันหยุดสุดสัปดาห์เราก็ไปสอนพิเศษอีก
เรียกว่ารวยเลยค่ะ ภาพในหัวมโนเอาตอนนั้น (เดิมเราสอนพิเศษอยู่แล้วค่ะบ้านจนค่ะต้องหาเงินเรียนเอง)


ปรากฏว่า เราโดนพี่ที่เทรนด์งานให้เขาด่าเช้าด่าเย็นเลยค่ะ เพราะเขาเป็นบัญชีไม่ใช่ HR แต่เขาดันต้องมาเทรนด์ HR
แล้วเราก็ใหม่หมดจนไม่รู้อะไรเลย อีกอย่างช่วงนั้นเธอกินยาฮอร์โมนเร่งไข่ตกเพราะอยากมีลูกค่ะ อารมณ์เลยแปรปรวน
เจ้านายเราอยู่ต่างประเทศค่ะ เราเป็นสาขาอาณานิคม ตอนนั้นเราประสาทเสียจนร้องให้เลยค่ะ สุดท้ายนะคะ
ครบหนึ่งเดือนเราลาออกด้วยความช้ำใจและช็อกกับการทำงานประจำค่ะ เราปรับตัวไม่ได้และ คิดว่าตัวเองไร้ศักยภาพ
เราเยียวยาตัวเองด้วยการไปปฏิบัติธรรมค่ะ อาการดีขึ้นมาก แล้วเราก็ดำรงชีวิตช่วงฟื้นฟูจิตใจด้วยการรับงานสอนพิเศษอย่างเดียว
ได้ประมาณ 2 เทอม มันจนค่ะ ค่านู่นค่านี่เราหาเงินมาก็ไม่เหลือคุณภาพชีวิตแบบต่ำมาก เราตัดสินใจสมัครงานใหม่ค่ะ


2. เราสมัครงานกับบริษัททัวร์ไม่ไกลจากหอเดิมที่เราอยู่ ตำแหน่ง Tour Operator เงินเดือน 18k ค่ะกินดีอยู่สบาย
ข้าวกลางวันฟรี ได้ไปเที่ยวบ่อย ๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำงานเราแค่ ค่ารถวันละ 30 บาท ข้าวเช้ากินทันบ้างไม่ทันบ้าง
เราเรียนรู้เรื่องการทำทัวร์ที่มาและที่ไปของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศนี้แบบเปิดโลกทัศน์เรามากๆเลยค่ะ
แต่เราคงเป็นคนคิดมากไป เรารับไม่ได้ค่ะที่เรามีอาชีพขายสินค้าที่มันบอกยี่ห้อประเทศเราเกิน
เรื่องเล็ก ๆ เองค่ะคือด้านมืดของทัวร์ เวลากลางคืนที่เกือบทุกกรุ๊ปขอมาว่าต้องดูของแปลกประจำชาติมันคือ “ปิงปองโชว์” ค่ะ
ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ทำๆไปอะนะคะ แต่เราดราม่าค่ะ เราแบบคิดว่า
นี่ชั้นหาเลี้ยงชีพด้วยมายากลเครื่องเพศที่หมดสภาพของสาว ๆ เหล่านั้นจริง ๆหรือสุดท้ายเราลาออกจากงานค่ะ


3. ไม่ทันไรเลยค่ะ เราออกจากงานได้ 4 วัน มีใครก็ไม่รู้แชร์งานในเฟซบุ๊คชื่อสมาคมฟรีแลนซ์แห่งประเทศไทย
รับสมัครคนพูดภาษาอังกฤษได้ดูแลแขกงานประชุมนานาชาติ เราสมัครไปค่ะ สมัครวันนั้นสัมภาษณ์วันนั้น ได้งานเลยค่ะ
เป็นงานที่เราภูมิใจที่สุดในชีวิค่ะ คืองานมันสนุกมากและได้เจอผู้คนหลากหลาย มันเว่อวังอลังการ ไฮโซ๊ ไฮโซค่ะ

4. แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราค่ะ ด้วยคอนเน็คชั่นที่ได้จากงานนั้น เราเลยได้ทำงานประจำในบริษัทที่ปรึกษาที่รับงานจากภาครัฐแห่งหนึ่ง
แรก ๆ มันก็สนุกดีนะคะ บริษัทเสรีเหลือเกินค่ะ ไม่ต้องมาทำงานที่บริษัทได้ค่ะ มาเฉพาะวันที่มีประชุม และส่งงานให้ทันกำหนดก็พอ
แต่ อยู่ ๆ ค่ะ คนในเขาคงมีเรื่องกันมาก่อน เขาทะเลาะกันไว้ก่อนแล้วอะค่ะ ลาออกไปทีพร้อมกัน 5 คน กรี๊ดสิคะ
งานที่เหลือ ตกมาอยู่ที่บรรดามนุษย์ที่ยังคงอยู่ในบริษัทนั่นแหละค่ะ แล้วเราก็ทำงานจนอาการกำเริบค่ะ
เกิดมาไม่เคยรู้ค่ะว่าตัวเองถูกบงการด้วยโรคนี้อยู่ เราไม่รู้ว่ามันอยู่กับเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ ๆ ๆ ๆ

เราเป็นไบโพล่าดิสออเดอร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้วค่า เพราะเราทำงานหามรุ่งหามค่ำ
ตื่นมาจิบกาแฟทำงาน ทำงานเหนื่อยเราก็นอนมันตรงนั้น ตื่นมาเราก็ทำงานต่อ จนมันเสร็จแหละค่ะ
มีวันนึงพีคมากค่ะ บินไปต่างประเทศ ก่อนบินนะคะ เราทำรายงานอยู่เลยค่ะ บินไปถึง โน้ต ๆ ๆ ๆ  ๆ ประสานงาน
กลับมาทำรายงาน น็อค ไป 2 วันเข้าโรงบาลค่ะ ไม่มีใครรู้เลยค่ะว่าเราเข้าโรงบาล
เพราะทุกคนไม่เข้าออฟฟิศถ้าไม่มีเรื่องต้องประชุม ทุกคนคิดว่าเราทำงานอยู่บ้าน
แล้วเราก็นอนมันโรงบาลในมหาลัยนั่นแหละค่ะ ตั้งแต่เราเรียนจบเราไม่เคยย้ายจากมหาลัยเลยค่ะ
รักมาก ชั้นรักเธอที่สุด สาเหตุก็เพราะ เรามีแฟนเด็กกว่า 3 ปีค่ะ ขณะที่เราเรียนจบ น้องเพิ่งขึ้นปี 2 ค่ะ แหะ ๆ ชีวิตดี๊ ๆ นะคะ
งานดีแฟนดี แต่เพราะโรคที่เราเป็นกำเริบค่ะ

เราเลิกกับแฟนเฉยเลยค่ะ ! เราเดินไปบอกเค้าดื้อๆเลย “ชั้นเบื่อชีวิตคู่ ชั้นอยากมีชีวิตอิสระ ชั้นเซ็ง เราเลิกกัน”
แล้วเราก็ลาออกจากงานค่ะ เจ้านายนี่ยื้อยุดฉุดกระชากกันแบบแทบกราบ อย่าออกเลย อย่าออกเลย เราออกค่ะ
อารมณ์ตอนนั้น ชั้นจะลาออกครั้งสุดท้าย ชั้นมาดมั่น ชั้นจะไปตามความฝัน(กลวงๆ)
แล้วเราก็เอาเงินที่มีไปใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมดเลยค่ะ คุณหมอบอกเพราะอาการของโรคค่ะ
หรือจริง ๆ แล้วคทอสันดาน อันนี้เราไม่ทราบจริง ๆ เรามารู้ตอนเงินเราหมด
แล้วนั่นแหละค่ะคุณผู้อ่าน มีเพื่อนแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ค่ะ เราก็เลยไป ไม่งั้นไม่รู้หรอกค่ะว่าตัวเองเป็นโรค

5. กลับสู่ปัจจุบันค่ะ หลังจากเราได้รับการรักษาโรคไบโพล่าจนอาการมันทรงตัว มีขึ้น ๆ ลง ๆบ้าง
เช่นอารมณ์ดีขนาดลมพัดผ่านหน้าเรา เรานี้มีความสุข แบบโอ้ชีวิตนี้มันดี๊ดีจังเลยนะ ลมนี้คือของวิเศษ ชื่นใจจริงๆ
บางครั้งมันก็เศร้าน้ำตาไหล ชั้นไร้ศักยภาพ ชั้นไม่เก่งเลย ทำไมชีวิตชั้นแย่จัง ค่ะ
ทุกวันนี้อยู่ในระดับที่อาการเหล่านี้ไม่กลับมาแล้ว ควบคุมได้ ยาก็ต้องกินต่อไปค่ะ เดี๋ยวกลับมากำเริบ
เราเลยตัดสินใจสมัครงาน ตรงสายที่เรียนมาอีกรอบ ไม่ใช่บุคคลนะคะ เราจบ Major ด้านอื่นมา
เราทำงานอยู่ที่ปัจจุบัน ในตำแหน่งขายต่างประเทศ เงินเดือน 17k ไม่รวมคอมมิชชั่น
เพราะเห็นแก่คอมมิชชั่นค่ะเลยยอมลดเงินเดือน (เราไม่ได้เรียนจบบริหารค่ะ แต่เราเรียนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่เราผลิตขายอยู่ค่ะ)
ครึ่งปีแล้วค่ะ

เราตั้งใจตั้งแต่เริ่มงานเลยนะคะว่า เราจะอยู่ที่นี่เป็นที่สุดท้าย
ออกจากที่นี่เราจะไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ลูกจ้างแล้ว คือเราวางแผนว่าจะเก็บเงินก้อนขนาดพอเหมาะ
สักปีสองปีแล้วกันให้ตัวเองมีศักยภาพในการเป็นหนี้ได้เยอะ ๆ หน่อย แล้วค่อยลาออกครั้งสุดท้ายไปทำธุรกิจ
ซึ่งจริง ๆ เราก็ทำเป็นอาชีพเสริมอยู่นะคะตอนนี้ แต่เราหมดตัวไปครั้งนึงแล้วตอนนี้เริ่มใหม่เลยยังไม่งอกเงยจนดอกผลมั่นพรั่งพรู
ตอนนี้เรากลับมาอยู่บ้าน หลังจากผ่านมรสุมชีวิตจากการเป็นโรคไบโพล่าทำให้เราสิ้นเนื้อประดาตัว
เราก็กลับมาตั้งหลักใหม่ที่บ้านค่ะ โชคดีค่ะที่ทำงานใหม่ใกล้บ้าน มีรถรับส่งด้วย แต่ต้องตื่นเช้าหน่อย
สภาพสังคมนะคะ จัดว่าโอเคเลย คือพี่ ๆ เค้าดีนะคะ กินข้าวด้วยกัน คุยกันเฮฮางานการอะไรก็สอนดี

เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เจอซะที เออที่นี่แหละจะได้ลงตัวกับเขาแล้ว
ชั้นจะได้ไม่ต้องวิ่งหางานใหม่แล้ว เราเข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี ชีวิตแฮปปี้แล้ว เย่ ๆ ๆ ๆ

เรื่องปวดหัวมันก็มิวายมาหลอกหลอนค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่