*****คำเตือน : ระวังติด FUP รูปเยอะมากกกก*****
สวัสดีชาว Pantip Addict ทุกๆท่าน นี้เป็นการตั้งกระทู้พันทิปครั้งแรกของผม อาจจะอ่านงงๆกันสักหน่อยนะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ก่อนเลยนะครับผม เนื่องด้วยผมเป็นคนเรียงเรียงอะไรไม่ค่อยเก่งจึงขอแบ่งออกเป็น Chapter นะครับ แหะๆ - -"
Chapter 1 : แนะนำตัว ,ทำไมต้องมือถือแบรนด์จากจีน??
เนื่องจากผมเป็นมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะใช้ชีวิตตามแบบชาวบ้านชาวเมืองเขาสักเท่าไหร่ ชอบทำอะไรแปลกๆไปซะทุกๆอย่าง เรื่องของเทคโนโลยีแน่นอนหล่ะผมชอบมันมาก เรียกได้ว่าบ้าคลั่งเลยหล่ะครับ ฮ่าๆๆ แน่นอนมันก็ต้องแปลกอีกเช่นกัน เพราะอะไรที่มีๆ อยู่ในประเทศเราที่ขายกันคนใช้เยอะๆ ไม่เอาไม่ใช้มันไม่แนวว นั่นไงงง ประเด็นมันมาเริ่มตรงนี้แหละครับ ท่านผู้ชม...
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสีย(ง)ของมือถือจากแดนมังกรกันมาบ้างแล้วอย่าง Xiaomi เช๊าหมี่ หรือเซี่ยวหมี่ผมก็ไม่รู้เขาอ่านว่าอะไรกัน แล้วอีกแบรนด์ที่ดังไม่แพ้กันคือ Meizu ในไทยอาจจะเรียกกันว่าเหมยซู หรือ เมื่อย จะ จะ จ..(กลัวติดเรท ฮ่าๆๆ) แต่ Meizu เองจะดังมาจากเครื่องเล่น MP4 มาก่อนซึ่งมีการใช้ชิปเสียงที่ดีซึ่งตรงจุดนี้ทำให้โทรศัพท์มือถือของ Meizu เองได้รับอานิสงค์ตรงนี้เต็มๆ เนื่องจากผมเคยได้เล่น M1 Note ซึ่งเป็นรุ่นก่อนหน้าตัวที่จะมารีวิวในวันนี้แล้วเกิดประทับใจถึงขั้นหลงรัก มันลื่นมากครับ ชนิดที่เทียบและพูดได้เลยว่าลื่นพอๆกับฝั่ง i.... เอาละซิ!!
Chapter 2 : อย่างงี้ต้องจัดดดด!!
เริ่มศึกษาข้อมูล แอ๊ะมันมีรุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัววางขายเดือนมิถุนายน 2558 หรือง่ายๆ ก็เดือนนี้แหละครับ ...เอาล่ะจัดไป 555 ผมเริ่มตามล่าหาซื้อในไทยซึ่งมีแต่ร้านที่หิ้วแถมต้อง Pre-Oder บวกกับรุ่นนี้เพิ่งจะเปิดตัวมาได้ไม่ถึงเดือน เลยต้องรอน๊านนาน ใจร้อนอย่างผมจะไม่ทน!!! เข้าเว็บอาลี หรือเรียกได้ว่าเป็นอีเบย์แห่งแดนมังกร เนื่องจากผมเองสั่งของจาก Online Store ค่อนข้างบ่อยเลยพอจะมีทักษะในการสื่อสารกับร้านจนได้ส่วนลดมาตั้ง 5$ ฮ่าๆๆ ไม่ผิดหรอกครับ 5 เหรียญดอลล่าสหรัฐจริงๆ ตกก็ประมาณเกือบๆ 200 บาทเห็นจะได้ แถมฟิลม์กันรอยมาอีก 2 แผ่น
ในการซื้อมือถือโมเดลที่อยู่ต่างประเทศสิ่งที่ควรตรวจสอบให้ดีเลยคือการรองรับของคลื่นความถี่ในบ้านเรา เพราะหากเอารุ่นที่ไม่รองรับมามันจะกลายเป็นเครื่องเล่นมีเดียต่อไวไฟได้อย่างเดียวเลยนะครับ! พอตรวจสอบข้อมูลครบทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็กด Pay เลยยยยย อ่อท่านที่ยังกังวลกับการสั่งสินค้าออนไลน์ว่าจะโดนหลอกไหม โดนชวดหรือเปล่า ขอให้สบายใจได้เลย เนื่องจากเว็บอาลีเขาจะมีระบบคล้ายๆกับฝั่ง Paypal ก็คือเว็บจะเป็นตัวกลางถือเงินเอาไว้โดยจะยังไม่ให้เงินของเราไปกับทางร้านจนกว่าเราจะกดว่าได้รับสินค้าแล้ว ชิววเลยยทีนี้!!! ที่เหลือก็คือรอๆ ระบบตัดเงินไปที่จีนภายใน 24 ชั่วโมงพอทางร้านได้รับแจ้งว่าเงินเราไปถึงเรียบร้อยก็จะทำการจัดส่งสินค้ามาให้เรา ซึ่งผมหนุ่มแว่นหน้าตาไม่ดีไม่มีรถขับกลับแต่บีทีเอส(แป้กกสิครับรออะไร!!?555) ผู้ซึ่งใจร้อนนก็เลยเลือกส่งแบบ DHL เพิ่มค่าส่งไปอีก 18 เหรียญสหรัฐตัวเบาเลยยยย..
Chapter 3 : แกะกล่อง
หลังจากที่ผมนับวินาทีเฝ้ารอมือถือจากแดนมังกรก็มาถึงง ใช้เวลาในการส่งประมาณ 3-4 วันครับ นี่คือข้อดีของการส่งแบบแพง ฮ่าๆๆ
ไปรับของมาห่อเรียบร้อยดีมากก

ห่อมาแน่นมากก

รับของมาตัดๆแกะๆ และแล้วววว ปริ่มมากกกก

เปิดกล่องออกมาาาา ก็จะเจอเจ้าตัวนอนอยู่ในกล่องสภาพสมบูรณ์ โดยอุปกรณ์ที่จะได้รับก็คือ
1.Adapter 2A
2.USB Cable
3.ที่จิ้มซิมม
ปล.หูฟังไม่มีน่ะครับ น่าจะมาจากการลดต้นทุนนั่นเองก็แหงล่ะราคาถูกขนาดนี้

มาดูสเปคคร่าวๆกันหน่อยดีกว่า
Meizu M2 Note ตัวนี้มีระบบปฏิบัติการที่ชื่อว่า Flyme 4.5 UI ซึ่งเขียนขึ้นมาครอบทับบน Android 5.0 Lollipop ส่วนหน้าจอใช้จอจาก Sharp IGZO ขนาด 5.5 นิ้ว เป็นแบบ IPS ซึ่งลดปัญหาสีเพี้ยนในมุมมองต่างๆได้ดีกว่าจอแบบเดิมๆ โดยจะมีความละเอียดแบบ FullHD 1080 x 1920 พิกเซล
CPU ใช้ชิป 64Bit จากทาง MediaTek MT6753 1.3GHz octa-core ให้แรมมา 2GB ROM 16GB/32GB รองรับ microSD
มาดูที่กล้องกันบ้างกล้องหลัง 13 Megapixel กล้องหน้า 5 Megapixel แบตเตอรี่ : 3100mAh
สัดส่วน 150.9 x 75.2 x 8.7 MM ,หนัก 149G
ใส้ได้ 2 ซิม เครือข่ายรองรับ 3G/4G ในไทยครบ 3G : 850/900/1900/2100 4G : 2100/1800/2600 ใช้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะมีการประมูลด้วยครับ ^^ โดยช่องซิมจะสามารถเลือกว่าจะใส่เมมโมรี่การ์ดหรือว่าใส่อีกซิมต้องเลือกเอาครับ
Chapter 4 : ทรวดทรงองค์เอวกันหน่อยย (ภาพอาจจะไม่สวยเท่าไหร่นะครับมือสมัครเล่น ฮ่าๆๆ)
ต่อไปนี้จะเป็นล้วนเลยนะครับ คำเตือน : ระวังติด FUP รูปเยอะมากกกก
เริ่มจากด้านหน้า

ด้านหลัง

มุมอื่นๆ กันบ้าง


ลองดูว่าจอ 5.5 นิ้วมาอยู่บนมือผมจะเป็นยังไง ก็ยังโอเค๊
Chapter 5 : การใช้งานจริง
เริ่มแรกที่สัมผัสพูดเลยว่าลื่นมากกกกกกก น่าจะมาเพราะระบบที่ทำขึ้นมาครอบทับจากทาง Meizu เองที่ชื่อว่า Flyme 4.5 ที่มาพร้อมกับ Android Loliipop 5.0 จึงทำให้เครื่องสมูทได้ถึงขนาดนี้ พูดเลยว่าลื่นเทียบแบรนด์ผลไม้ได้เลยจริงๆครับ!!!
มาดูหน้าจอแรก Flyme ของ Meizu จะเป็นการรวมหน้า App Drawing รวมเข้ากับ Homescreen เลยคล้ายๆกับในหลายๆยี่ห้อเช่น Huawei ,Xiaomi เป็นต้น

เครื่องเล่นเพลง
ใน Flyme นั่นจะเป็นการรวมกันระหว่างไฟล์เพลง Online และ Local(Offline) แต่ก็จะมีแต่เพลงจีนนะครับ - -' ฮ่าๆๆ อย่าไปสนใจส่วนนั้นเรามาดูเรื่องคุณภาพเสียงกันดีกว่า อย่างที่เกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่า Meizu เป็นมือถือที่ใช้ฟังเพลงดีเลยทีเดียวหลังจากที่ผมได้ทดลองฟังพบว่าเสียงผ่านหูฟังมันดีจริงๆครับ แต่ผ่านสำโพงก็จะแหลมๆ ไม่ดังไม่เบาเกินไป ตามสไตล์ลำโพงโทรศัพท์มือถือตัวเล็กๆครับ

กล้องถ่ายรูป
กล้องของ M2 Note นั้นจะแบ่งออกเป็น 7 Function ได้แก่ Auto,Manual,Beauty,Panorama,Light field,Scan,Slomotion

ในหน้าตั้งค่าจะเหมือนๆกันในทุกๆโหมดยกเว้นบ้างโหมดที่จะไม่สามารถเปิด HDR ได้
โดยในการตั้งค่าก็จะประกอบไปด้วย
-Metering separation ก็คือเปิด-ปิดความสามารถในการแยกจุด Focus และ AE ออกจากกัน
-Store Location คือการบันทึกข้อมูล GPS ฝังลงไปในภาพ
-HRD ก็คือการเปิด-ปิด ภาพ HDR หรือ High Dynamic Range
-Gridlines คือเส้นเพื่อช่วยในการไกด์ระดับที่เหมาะสม
-Level gauge ก็คือเส้นวัดระดับน้ำทะเล เมื่อเปิดฟังก์ชั่นนี้จะแสดงเป็นครึ่งวงกลมอยู่ใต้ปุ่ม Shutter
-Stroage คือเลือกที่ในการจัดเก็บรูปถ่าย
-Countdown เป็นการตั้งหน่วงเวลาภ่ายภาพ
และสองอันสุดท้ายคือ ขนากภาพถ่ายและขนาดวีดีโอ

ในโหมด Auto เป็นโหมดที่ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุด เพราะแยกการโฟกัสกับการวัดแสงออกจากกัน!! ใช่ครับมันทำได้ คล้ายๆใน Camera360 บน ios เลยครับ

ต่อไปโหมด Manual ในโหมดนี้ถือเป็นโหมดโปรดของผมเลยเพราะมันสามารถปรับ Speed Shutter ได้ตั้งแต่ 1/5000 จนถึงนานสุด 10 วินาที!!! ส่วน ISO เองก็ปรับได้ตั้งแต่ 100-1600 ปรับ EV ชดเชยแสง ได้ -3 ถึง 3 และสุดท้ายคือปรับโฟกัสเองได้ครับ เมพขิงๆ
ในโหมด Panorama ก็แค่กดแล้วค่อยๆหมุนๆ โดยสามารถเก็บได้ครบ 360 องศารอบตัวกันเลยทีเดียว

ต่อไปคือโหมด Light field โหมดนี้น่าจะคล้ายๆ Selective Focus หรือ UFocus ของเจ้าตลาดครับคือสามารถมาเลือกโฟกัสทีหลังได้มันจะทำงานโดยการที่จะโฟกัสให้ครบทุกระยะเก็บไว้


ในโหมด Scan ก็คือไว้ในการสแกนบาร์โค้ดได้เลยแต่ในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์นัก

สุดท้ายคือโหมด Slowmotion ในโหมดนี้เครื่องจะให้ถ่ายได้สูงสุด 60 วินาที เมื่อมากดเล่นก็จะเป็นวิดีโอ Slowmotion ให้เลย

รูปตัวอย่างจากกล้องเล็กน้อยน่ะครับ
อันนี้ใช้โหมด Auto หมดเลยนะครับ



ส่วนรูปนี้ผมใช้ Manual
ความอึดของแบตเตอรี่
รุ่นนี้ให้แบตเตอรี่มา 3100 จริงๆคือว่าสมตัวเพราะหน้าจอใหญ่ แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้สมาร์ทโฟนมาหมายตัวมากตัวนี้ถือว่าแบตอึดอยู่น้อยครับ อีกทั้งเครื่องยังมีฟังก์ชันในเลือกโหลดได้อีก 3 โหมดได้แก่ Performence , Balance , Power Saving

จากรูปด้านบนคือจากแบตเตอรี่ 100% หายไป 34% กับเวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในโหมด Balance การใช้งานก็เล่นเกือบๆตลอด 4G เล็กน้อย Wifi ตลอด เล่นโซเชียลเข้ากล้องฟังเพลง สำหรับผมมันโอเคมากครับ ^^
เดี๊ยวต่อไปน่าจะเรื่องคะแนน benchmark ต่าง ๆ แต่เดี๊ยวพรุ่งนี้มาต่อให้น่ะครับ ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความสนใจมากๆครับ
[CR] Review Meizu M2 Note LTE จากแดนมังกร รุ่นเล็กใสๆ แต่ซ่อนความร้ายกาจ!!
สวัสดีชาว Pantip Addict ทุกๆท่าน นี้เป็นการตั้งกระทู้พันทิปครั้งแรกของผม อาจจะอ่านงงๆกันสักหน่อยนะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ก่อนเลยนะครับผม เนื่องด้วยผมเป็นคนเรียงเรียงอะไรไม่ค่อยเก่งจึงขอแบ่งออกเป็น Chapter นะครับ แหะๆ - -"
Chapter 1 : แนะนำตัว ,ทำไมต้องมือถือแบรนด์จากจีน??
เนื่องจากผมเป็นมนุษย์ที่ไม่ค่อยจะใช้ชีวิตตามแบบชาวบ้านชาวเมืองเขาสักเท่าไหร่ ชอบทำอะไรแปลกๆไปซะทุกๆอย่าง เรื่องของเทคโนโลยีแน่นอนหล่ะผมชอบมันมาก เรียกได้ว่าบ้าคลั่งเลยหล่ะครับ ฮ่าๆๆ แน่นอนมันก็ต้องแปลกอีกเช่นกัน เพราะอะไรที่มีๆ อยู่ในประเทศเราที่ขายกันคนใช้เยอะๆ ไม่เอาไม่ใช้มันไม่แนวว นั่นไงงง ประเด็นมันมาเริ่มตรงนี้แหละครับ ท่านผู้ชม...
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสีย(ง)ของมือถือจากแดนมังกรกันมาบ้างแล้วอย่าง Xiaomi เช๊าหมี่ หรือเซี่ยวหมี่ผมก็ไม่รู้เขาอ่านว่าอะไรกัน แล้วอีกแบรนด์ที่ดังไม่แพ้กันคือ Meizu ในไทยอาจจะเรียกกันว่าเหมยซู หรือ เมื่อย จะ จะ จ..(กลัวติดเรท ฮ่าๆๆ) แต่ Meizu เองจะดังมาจากเครื่องเล่น MP4 มาก่อนซึ่งมีการใช้ชิปเสียงที่ดีซึ่งตรงจุดนี้ทำให้โทรศัพท์มือถือของ Meizu เองได้รับอานิสงค์ตรงนี้เต็มๆ เนื่องจากผมเคยได้เล่น M1 Note ซึ่งเป็นรุ่นก่อนหน้าตัวที่จะมารีวิวในวันนี้แล้วเกิดประทับใจถึงขั้นหลงรัก มันลื่นมากครับ ชนิดที่เทียบและพูดได้เลยว่าลื่นพอๆกับฝั่ง i.... เอาละซิ!!
Chapter 2 : อย่างงี้ต้องจัดดดด!!
เริ่มศึกษาข้อมูล แอ๊ะมันมีรุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัววางขายเดือนมิถุนายน 2558 หรือง่ายๆ ก็เดือนนี้แหละครับ ...เอาล่ะจัดไป 555 ผมเริ่มตามล่าหาซื้อในไทยซึ่งมีแต่ร้านที่หิ้วแถมต้อง Pre-Oder บวกกับรุ่นนี้เพิ่งจะเปิดตัวมาได้ไม่ถึงเดือน เลยต้องรอน๊านนาน ใจร้อนอย่างผมจะไม่ทน!!! เข้าเว็บอาลี หรือเรียกได้ว่าเป็นอีเบย์แห่งแดนมังกร เนื่องจากผมเองสั่งของจาก Online Store ค่อนข้างบ่อยเลยพอจะมีทักษะในการสื่อสารกับร้านจนได้ส่วนลดมาตั้ง 5$ ฮ่าๆๆ ไม่ผิดหรอกครับ 5 เหรียญดอลล่าสหรัฐจริงๆ ตกก็ประมาณเกือบๆ 200 บาทเห็นจะได้ แถมฟิลม์กันรอยมาอีก 2 แผ่น
ในการซื้อมือถือโมเดลที่อยู่ต่างประเทศสิ่งที่ควรตรวจสอบให้ดีเลยคือการรองรับของคลื่นความถี่ในบ้านเรา เพราะหากเอารุ่นที่ไม่รองรับมามันจะกลายเป็นเครื่องเล่นมีเดียต่อไวไฟได้อย่างเดียวเลยนะครับ! พอตรวจสอบข้อมูลครบทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็กด Pay เลยยยยย อ่อท่านที่ยังกังวลกับการสั่งสินค้าออนไลน์ว่าจะโดนหลอกไหม โดนชวดหรือเปล่า ขอให้สบายใจได้เลย เนื่องจากเว็บอาลีเขาจะมีระบบคล้ายๆกับฝั่ง Paypal ก็คือเว็บจะเป็นตัวกลางถือเงินเอาไว้โดยจะยังไม่ให้เงินของเราไปกับทางร้านจนกว่าเราจะกดว่าได้รับสินค้าแล้ว ชิววเลยยทีนี้!!! ที่เหลือก็คือรอๆ ระบบตัดเงินไปที่จีนภายใน 24 ชั่วโมงพอทางร้านได้รับแจ้งว่าเงินเราไปถึงเรียบร้อยก็จะทำการจัดส่งสินค้ามาให้เรา ซึ่งผมหนุ่มแว่นหน้าตาไม่ดีไม่มีรถขับกลับแต่บีทีเอส(แป้กกสิครับรออะไร!!?555) ผู้ซึ่งใจร้อนนก็เลยเลือกส่งแบบ DHL เพิ่มค่าส่งไปอีก 18 เหรียญสหรัฐตัวเบาเลยยยย..
Chapter 3 : แกะกล่อง
หลังจากที่ผมนับวินาทีเฝ้ารอมือถือจากแดนมังกรก็มาถึงง ใช้เวลาในการส่งประมาณ 3-4 วันครับ นี่คือข้อดีของการส่งแบบแพง ฮ่าๆๆ
ไปรับของมาห่อเรียบร้อยดีมากก
ห่อมาแน่นมากก
รับของมาตัดๆแกะๆ และแล้วววว ปริ่มมากกกก
เปิดกล่องออกมาาาา ก็จะเจอเจ้าตัวนอนอยู่ในกล่องสภาพสมบูรณ์ โดยอุปกรณ์ที่จะได้รับก็คือ
1.Adapter 2A
2.USB Cable
3.ที่จิ้มซิมม
ปล.หูฟังไม่มีน่ะครับ น่าจะมาจากการลดต้นทุนนั่นเองก็แหงล่ะราคาถูกขนาดนี้
มาดูสเปคคร่าวๆกันหน่อยดีกว่า
Meizu M2 Note ตัวนี้มีระบบปฏิบัติการที่ชื่อว่า Flyme 4.5 UI ซึ่งเขียนขึ้นมาครอบทับบน Android 5.0 Lollipop ส่วนหน้าจอใช้จอจาก Sharp IGZO ขนาด 5.5 นิ้ว เป็นแบบ IPS ซึ่งลดปัญหาสีเพี้ยนในมุมมองต่างๆได้ดีกว่าจอแบบเดิมๆ โดยจะมีความละเอียดแบบ FullHD 1080 x 1920 พิกเซล
CPU ใช้ชิป 64Bit จากทาง MediaTek MT6753 1.3GHz octa-core ให้แรมมา 2GB ROM 16GB/32GB รองรับ microSD
มาดูที่กล้องกันบ้างกล้องหลัง 13 Megapixel กล้องหน้า 5 Megapixel แบตเตอรี่ : 3100mAh
สัดส่วน 150.9 x 75.2 x 8.7 MM ,หนัก 149G
ใส้ได้ 2 ซิม เครือข่ายรองรับ 3G/4G ในไทยครบ 3G : 850/900/1900/2100 4G : 2100/1800/2600 ใช้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะมีการประมูลด้วยครับ ^^ โดยช่องซิมจะสามารถเลือกว่าจะใส่เมมโมรี่การ์ดหรือว่าใส่อีกซิมต้องเลือกเอาครับ
Chapter 4 : ทรวดทรงองค์เอวกันหน่อยย (ภาพอาจจะไม่สวยเท่าไหร่นะครับมือสมัครเล่น ฮ่าๆๆ)
ต่อไปนี้จะเป็นล้วนเลยนะครับ คำเตือน : ระวังติด FUP รูปเยอะมากกกก
เริ่มจากด้านหน้า
ด้านหลัง
มุมอื่นๆ กันบ้าง
ลองดูว่าจอ 5.5 นิ้วมาอยู่บนมือผมจะเป็นยังไง ก็ยังโอเค๊
Chapter 5 : การใช้งานจริง
เริ่มแรกที่สัมผัสพูดเลยว่าลื่นมากกกกกกก น่าจะมาเพราะระบบที่ทำขึ้นมาครอบทับจากทาง Meizu เองที่ชื่อว่า Flyme 4.5 ที่มาพร้อมกับ Android Loliipop 5.0 จึงทำให้เครื่องสมูทได้ถึงขนาดนี้ พูดเลยว่าลื่นเทียบแบรนด์ผลไม้ได้เลยจริงๆครับ!!!
มาดูหน้าจอแรก Flyme ของ Meizu จะเป็นการรวมหน้า App Drawing รวมเข้ากับ Homescreen เลยคล้ายๆกับในหลายๆยี่ห้อเช่น Huawei ,Xiaomi เป็นต้น
เครื่องเล่นเพลง
ใน Flyme นั่นจะเป็นการรวมกันระหว่างไฟล์เพลง Online และ Local(Offline) แต่ก็จะมีแต่เพลงจีนนะครับ - -' ฮ่าๆๆ อย่าไปสนใจส่วนนั้นเรามาดูเรื่องคุณภาพเสียงกันดีกว่า อย่างที่เกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่า Meizu เป็นมือถือที่ใช้ฟังเพลงดีเลยทีเดียวหลังจากที่ผมได้ทดลองฟังพบว่าเสียงผ่านหูฟังมันดีจริงๆครับ แต่ผ่านสำโพงก็จะแหลมๆ ไม่ดังไม่เบาเกินไป ตามสไตล์ลำโพงโทรศัพท์มือถือตัวเล็กๆครับ
กล้องถ่ายรูป
กล้องของ M2 Note นั้นจะแบ่งออกเป็น 7 Function ได้แก่ Auto,Manual,Beauty,Panorama,Light field,Scan,Slomotion
ในหน้าตั้งค่าจะเหมือนๆกันในทุกๆโหมดยกเว้นบ้างโหมดที่จะไม่สามารถเปิด HDR ได้
โดยในการตั้งค่าก็จะประกอบไปด้วย
-Metering separation ก็คือเปิด-ปิดความสามารถในการแยกจุด Focus และ AE ออกจากกัน
-Store Location คือการบันทึกข้อมูล GPS ฝังลงไปในภาพ
-HRD ก็คือการเปิด-ปิด ภาพ HDR หรือ High Dynamic Range
-Gridlines คือเส้นเพื่อช่วยในการไกด์ระดับที่เหมาะสม
-Level gauge ก็คือเส้นวัดระดับน้ำทะเล เมื่อเปิดฟังก์ชั่นนี้จะแสดงเป็นครึ่งวงกลมอยู่ใต้ปุ่ม Shutter
-Stroage คือเลือกที่ในการจัดเก็บรูปถ่าย
-Countdown เป็นการตั้งหน่วงเวลาภ่ายภาพ
และสองอันสุดท้ายคือ ขนากภาพถ่ายและขนาดวีดีโอ
ในโหมด Auto เป็นโหมดที่ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุด เพราะแยกการโฟกัสกับการวัดแสงออกจากกัน!! ใช่ครับมันทำได้ คล้ายๆใน Camera360 บน ios เลยครับ
ต่อไปโหมด Manual ในโหมดนี้ถือเป็นโหมดโปรดของผมเลยเพราะมันสามารถปรับ Speed Shutter ได้ตั้งแต่ 1/5000 จนถึงนานสุด 10 วินาที!!! ส่วน ISO เองก็ปรับได้ตั้งแต่ 100-1600 ปรับ EV ชดเชยแสง ได้ -3 ถึง 3 และสุดท้ายคือปรับโฟกัสเองได้ครับ เมพขิงๆ
ในโหมด Panorama ก็แค่กดแล้วค่อยๆหมุนๆ โดยสามารถเก็บได้ครบ 360 องศารอบตัวกันเลยทีเดียว
ต่อไปคือโหมด Light field โหมดนี้น่าจะคล้ายๆ Selective Focus หรือ UFocus ของเจ้าตลาดครับคือสามารถมาเลือกโฟกัสทีหลังได้มันจะทำงานโดยการที่จะโฟกัสให้ครบทุกระยะเก็บไว้
ในโหมด Scan ก็คือไว้ในการสแกนบาร์โค้ดได้เลยแต่ในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์นัก
สุดท้ายคือโหมด Slowmotion ในโหมดนี้เครื่องจะให้ถ่ายได้สูงสุด 60 วินาที เมื่อมากดเล่นก็จะเป็นวิดีโอ Slowmotion ให้เลย
รูปตัวอย่างจากกล้องเล็กน้อยน่ะครับ
อันนี้ใช้โหมด Auto หมดเลยนะครับ
ส่วนรูปนี้ผมใช้ Manual
ความอึดของแบตเตอรี่
รุ่นนี้ให้แบตเตอรี่มา 3100 จริงๆคือว่าสมตัวเพราะหน้าจอใหญ่ แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้สมาร์ทโฟนมาหมายตัวมากตัวนี้ถือว่าแบตอึดอยู่น้อยครับ อีกทั้งเครื่องยังมีฟังก์ชันในเลือกโหลดได้อีก 3 โหมดได้แก่ Performence , Balance , Power Saving
จากรูปด้านบนคือจากแบตเตอรี่ 100% หายไป 34% กับเวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในโหมด Balance การใช้งานก็เล่นเกือบๆตลอด 4G เล็กน้อย Wifi ตลอด เล่นโซเชียลเข้ากล้องฟังเพลง สำหรับผมมันโอเคมากครับ ^^
เดี๊ยวต่อไปน่าจะเรื่องคะแนน benchmark ต่าง ๆ แต่เดี๊ยวพรุ่งนี้มาต่อให้น่ะครับ ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความสนใจมากๆครับ