เป็นที่ทราบกันดีว่าเดือนรอมฎอนคือเดือนที่เก้าตามปฏิทินอิสลามซึ่งเป็นเดือนที่มีการบัญญัติให้มุสลิมถือศีลอดตลอดทั้งเดือนและบริจาคทาน (เศาะดะเกาะตุลฟิฏร) นี่คือในแง่บัญญัติของศาสนาอิสลาม ส่วนในแง่อารยธรรมอิสลามมันคือการปฏิรูปสังคมทุก ๆ ปีเพื่อการบรรลุถึงคุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลาม
..................
อะไรคือคุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลาม?
คุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลามนั่นคือการเป็นมนุษย์ที่ยำเกรงหรือการยำเกรงอย่างถ่องแท้ (ตักวา)
...................
การยำเกรง (ตักวา) เป็นคุณค่าสูงสุดทางอารยธรรมอย่างไร?
การยำเกรง (ตักวา) นั้นเป็นคุณค่าสูงสุดก็เพราะว่ามันคือคุณธรรมที่ครอบคลุมคุณธรรมทั้งหมด และไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นคุณค่าที่คอยผดุงคุณค่าอื่น ๆอันดีงามของมนุษย์ให้คงอยู่และถูกต้อง เพราะความยำเกรงจะทำให้เกิดความซื่อสัตย์ และความซื่อสัตย์จะทำให้คุณค่าอันดีงามอื่นๆของมนุษย์ไม่ถูกทำลายด้วยอารมณ์หรือความต้องการของมนุษย์ นี่คือปรัชญาที่ลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจได้ง่าย ๆ
แต่เดือนรอมฎอนได้ทำให้ปรัชญาแห่งการยำเกรงนี้ถูกนำไปปฏิบัติจริงในบุคคลที่ถือศีลอด กล่าวคือทุกคนที่ถือศีลอดเขาจะต้องงดน้ำอาหารและการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ในช่วงการถือศีลอดถึงแม้เขาจะอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครเห็น เขาก็ไม่อาจที่จะละเมิดศีลอดของเขาได้ เพราะเขาเชื่อว่าถึงแม้จะไม่มีใครเห็นหรือตรวจสอบได้แต่พระเจ้านั้นอยู่กับเขาตลอด นี่แหละคือจุดสำคัญของปรัชญาการยำเกรง (ตักวา)
ถึงจะไม่มีใครเห็นก็พระเจ้าเห็น เมื่อความสัมพันธ์ของคนกับพระเจ้าในลักษณะนี้แน่นแฟ้น คุณค่าอันดีงามอื่น ๆ ก็จะถูกคุ้มครองด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง ดังนั้นจะละเมิดทำผิดต่อคุณค่าอันดีงามอื่นๆไม่ได้ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนจึงเป็นการสอนคุณค่าที่สูงสุดด้วยการปฏิบัติจริงที่ทุกคนทุกระดับชั้นและทุกระดับการศึกษาสามารถทำได้ และหากสังคมเข้าใจเจตนารมย์ของการถือศีลอดและปฏิบัติจริง สังคมก็จะได้รับการปฏิรูปทุกๆปีด้วยการสร้างพื้นฐานทางคุณค่าที่เกิดขึ้นจากคนทุกคนในสังคมที่แต่ละคนต่างรู้จักการ “ไม่ละเมิดความถูกต้องถึงแม้จะไม่มีใครเห็น” ในระดับหนึ่ง
และด้วยการที่คนจะไม่ละเมิดความถูกต้องแม้จะไม่มีใครเห็นนี่เอง ความยุติธรรมอันเป็นพื้นฐานหลักของสังคมและประเทศก็จะได้รับการค้ำจุน และเมื่อความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นด้วยจำนวนคนที่ซื่อสัตย์เพิ่มขึ้น สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้น ถึงแม้ทุกสังคมจำเป็นจะต้องมีมาตรการที่เข้มแข็งและรัดกุมในการป้องกันการละเมิดความถูกต้องของคนทุกระดับ แต่ถ้าหากพื้นฐานของทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นหลักไม่มีความซื่อสัตย์(ศิดก์)และไม่มีความยำเกรง(ตักวา) ต่อให้เปลี่ยนคนไปกี่คนและเปลี่ยนระบบไปกี่ระบบ คนก็จะหาลู่ทางและช่องทางที่จะทำตามความต้องการของตัวเองถึงแม้จะละเมิดความถูกต้อง เขาก็จะไม่สนใจอะไร ถ้าหากว่า “ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครจับได้”
..................
ผู้สร้างความรู้ย่อมเป็นผู้รู้ดีที่สุดเสมอ
ที่มา :
อิสลามมิค อนาลิส
<< 10 รอมฎอน >> รอมฎอนคืออะไรในอารยธรรมอิสลาม
เป็นที่ทราบกันดีว่าเดือนรอมฎอนคือเดือนที่เก้าตามปฏิทินอิสลามซึ่งเป็นเดือนที่มีการบัญญัติให้มุสลิมถือศีลอดตลอดทั้งเดือนและบริจาคทาน (เศาะดะเกาะตุลฟิฏร) นี่คือในแง่บัญญัติของศาสนาอิสลาม ส่วนในแง่อารยธรรมอิสลามมันคือการปฏิรูปสังคมทุก ๆ ปีเพื่อการบรรลุถึงคุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลาม
..................
อะไรคือคุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลาม?
คุณค่าอันสูงสุดของตัวตนแห่งอารยธรรมอิสลามนั่นคือการเป็นมนุษย์ที่ยำเกรงหรือการยำเกรงอย่างถ่องแท้ (ตักวา)
...................
การยำเกรง (ตักวา) เป็นคุณค่าสูงสุดทางอารยธรรมอย่างไร?
การยำเกรง (ตักวา) นั้นเป็นคุณค่าสูงสุดก็เพราะว่ามันคือคุณธรรมที่ครอบคลุมคุณธรรมทั้งหมด และไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นคุณค่าที่คอยผดุงคุณค่าอื่น ๆอันดีงามของมนุษย์ให้คงอยู่และถูกต้อง เพราะความยำเกรงจะทำให้เกิดความซื่อสัตย์ และความซื่อสัตย์จะทำให้คุณค่าอันดีงามอื่นๆของมนุษย์ไม่ถูกทำลายด้วยอารมณ์หรือความต้องการของมนุษย์ นี่คือปรัชญาที่ลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจได้ง่าย ๆ
แต่เดือนรอมฎอนได้ทำให้ปรัชญาแห่งการยำเกรงนี้ถูกนำไปปฏิบัติจริงในบุคคลที่ถือศีลอด กล่าวคือทุกคนที่ถือศีลอดเขาจะต้องงดน้ำอาหารและการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ในช่วงการถือศีลอดถึงแม้เขาจะอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครเห็น เขาก็ไม่อาจที่จะละเมิดศีลอดของเขาได้ เพราะเขาเชื่อว่าถึงแม้จะไม่มีใครเห็นหรือตรวจสอบได้แต่พระเจ้านั้นอยู่กับเขาตลอด นี่แหละคือจุดสำคัญของปรัชญาการยำเกรง (ตักวา)
ถึงจะไม่มีใครเห็นก็พระเจ้าเห็น เมื่อความสัมพันธ์ของคนกับพระเจ้าในลักษณะนี้แน่นแฟ้น คุณค่าอันดีงามอื่น ๆ ก็จะถูกคุ้มครองด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง ดังนั้นจะละเมิดทำผิดต่อคุณค่าอันดีงามอื่นๆไม่ได้ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอนจึงเป็นการสอนคุณค่าที่สูงสุดด้วยการปฏิบัติจริงที่ทุกคนทุกระดับชั้นและทุกระดับการศึกษาสามารถทำได้ และหากสังคมเข้าใจเจตนารมย์ของการถือศีลอดและปฏิบัติจริง สังคมก็จะได้รับการปฏิรูปทุกๆปีด้วยการสร้างพื้นฐานทางคุณค่าที่เกิดขึ้นจากคนทุกคนในสังคมที่แต่ละคนต่างรู้จักการ “ไม่ละเมิดความถูกต้องถึงแม้จะไม่มีใครเห็น” ในระดับหนึ่ง
และด้วยการที่คนจะไม่ละเมิดความถูกต้องแม้จะไม่มีใครเห็นนี่เอง ความยุติธรรมอันเป็นพื้นฐานหลักของสังคมและประเทศก็จะได้รับการค้ำจุน และเมื่อความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นด้วยจำนวนคนที่ซื่อสัตย์เพิ่มขึ้น สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้น ถึงแม้ทุกสังคมจำเป็นจะต้องมีมาตรการที่เข้มแข็งและรัดกุมในการป้องกันการละเมิดความถูกต้องของคนทุกระดับ แต่ถ้าหากพื้นฐานของทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นหลักไม่มีความซื่อสัตย์(ศิดก์)และไม่มีความยำเกรง(ตักวา) ต่อให้เปลี่ยนคนไปกี่คนและเปลี่ยนระบบไปกี่ระบบ คนก็จะหาลู่ทางและช่องทางที่จะทำตามความต้องการของตัวเองถึงแม้จะละเมิดความถูกต้อง เขาก็จะไม่สนใจอะไร ถ้าหากว่า “ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครจับได้”
..................
ผู้สร้างความรู้ย่อมเป็นผู้รู้ดีที่สุดเสมอ
ที่มา : อิสลามมิค อนาลิส