ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวโตเกียว แล้วอยากลิ้มลอง อาหารสไตล์ยุโรป พร้อมชมวิว สวยๆ ย่านชินจุกุ ถ้าวันที่อากาศดี อาจจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้แบบเคลียร์ๆ ไปเลย กับบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก สำหรับฉลองในโอกาสพิเศษ หรือในวาระสำคัญต่างๆ ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ Park Hyatt Tokyo Hotel อยู่ที่ชั้น52 New York Grill หรือ New York Grill Bar ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นThe best 5 romantic bars in TOKYOในปี2013 จากเว็บไซต์
http://www.travelience.com/blog/the-best-5-bars-in-tokyo/ ด้วยนะ
คือแบบ ดีงาม และ เอ็กซ์คลูซีฟ สไตล์ญี่ปุ่น สำหรับรสชาติอาหารส่วนตัวก็คิดว่ารสชาติอร่อยดีนะคะ ไม่ถึงกับต้องปักธงแบบมาแล้วไม่ทานไม่ได้ มันก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น ประกอบกับดนตรีแจ๊ส เล่นสด สุดคลาสสิค จิบไวน์ไป ชมวิวไป ฟังแจ๊สไป … อาจจะมีอาการเคล้ิมๆ เพ้อๆ ได้บ้างในบางวินาที ชีวิตจะดีเกินไปไหม แต่มันฟินน์ จริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อต้องมาลองดู !!
ตึกสูงปรี๊ดดด ...ถ้ามีแผ่นดินไหว ต๊กใจไหม พูดดด!!!
บางคนอาจจะกังวลในเรื่องความสูงของตึก เพราะโรงแรมนี้สร้างมานานหลายปีอยู่ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่นแผ่นดินไหว ตึกจะรองรับได้ไหม ...บอกเลยว่าไม่ต้องกังวลไปคร้า ตึกนี้เคยกรำศึกใหญ่ในปี 2011มาแล้ว และก็ยังผ่านพ้นมันมาได้ ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัย แน่นอน ขอคอนเฟิร์ม… เพราะอะไร อะเหรอ ก็ในวันที่เราไป หลังจากที่เรา กำลัง enjoy กับการกินอาหาร และ ฟังเพลงอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่ชวนให้ตื่นเต้นขึ้น จริงๆ คือถ้ามาญี่ปุ่นแล้วไม่ได้สัมผัสกับ “แผ่นดินไหว” นี่เหมือนมาไม่ถึงนะคะ อิอิ ล้อเล่นนะ คือ จริงๆ เราอยู่ที่ญี่ปุ่นมา 4 ปีกว่า ปกติก็เรียกว่าเคยชินกับแผ่นดินไหวบ้างแล้วนะ แต่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับแผ่นดินไหวบนตึกสูงขนาดนี้ ชั้นที่ 52มาก่อนเลย ตึกสูงสุดที่เคยสัมผัสตอนเกิดแผ่นดินไหวอย่างมากก็ตึกสูงแค่ 8ชั้นเอง แต่นี่คือครั้งแรก บอกกงๆ ตอนแรกก็แอบกลัวอยู่บ้าง แต่เชื่อไหมว่า การบริการที่นี่ล้ำจริงๆ ขณะที่ตึกกำลังโยกไปมานั้น ภายในห้องอาหารที่ทุกคนกำลัง ชิลล์ ๆ เพลินๆ กับการทานอาหารและฟังเพลง บางคนก็เตรียมเป่าเทียนตัดเค้ก บางคนก็กำลังเม้าท์มอยหอยสังข์ บางคนก็กำลังฟินน์กับอาหารรสชาติเลิศ แต่พนักงานของที่นี่ แข็งขันและพร้อมเสมอเสมือนหนึ่งว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พนักงานรีบวิ่งไปยังโต๊ะของลูกค้า และประจำอยู่โต๊ะละ1คน ช่วยจับโต๊ะเพื่อป้องกันไม่ให้แก้วตก หรืออาหารหล่นจากโต๊ะ พร้อมกับคำพูดอันแสนสุภาพ เพื่อแจ้งเตือนให้ลูกค้ารู้ว่า ตอนนี้เกิดแผ่นดินไหวอยู่ ไม่ต้องตกใจนะครับ คุณกลัวไหม? คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่ต้องกังวลนะครับ เหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ปกติในอีกไม่นาน
ซึ่งเราก็แอบประทับใจในบริการของเค้า ณ.จุดนี้เหมือนกัน เพราะในร้านส่วนใหญ่ เป็นคนต่างชาติค่อนข้างเยอะ แล้วก็ตกใจ panic กันด้วยเลยคิดว่า การที่พนักงานเข้าไปยังโต๊ะ แล้วแจ้งให้ทราบ สอบถามลูกค้าเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกนี่ทำให้ลูกค้าหายตกใจ และไม่โกลาหลได้ดีเลยทีเดียว เพราะถ้าเป็นเรามาญี่ปุ่นครั้งแรกแล้วเจอตึกเขย่าแบบนี้ เราคงสติแตกไม่น้อย อีกด้านของห้องอาหาร วงดนตรีแจ๊สก็ยังคงบรรเลงเพลงต่อไปเหมือนเป็นจังหวะให้ตึก ค่อยๆโยกไป แหม...มันช่าง ชิลล์จริง อะไรจริง
และแน่นอน หลังเกิดแผ่นดินไหว ระบบความปลอดภัยของโรงแรมก็ต้องทำงานกันอย่างหนักหน่วง ลิฟท์ ใช้ไม่ได้ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นั่นหมายความว่า ถ้าเราจะกลับบ้านเราต้อง “เดิน” คร้า !!! ไม่นะ ฉันเพิ่งกินอาหารล้ำมาซะเต็มพุง ต้องมาเบิร์นด้วยการเดินลงบันได้อีกหลายสิบชั้น จะไหวไม๊ นี่คือสิ่งที่เรากังวล แต่โชคยังเข้าข้างอยู่ เพราะ ลิฟท์ใช้การไม่ได้ตั้งแต่ชั้น 41 -52 เท่านั้น เดินลงแค่10ชั้น ค่อยยังชั่ว แล้วค่อยเปลี่ยนไปใช้ลิฟท์อีกตัวที่ ชั้นที่41 เดินแค่นี้ยังได้อยู่ จิ๊บ จิ๊บ….
ทำไม New York Grill Bar ถึงได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จัก ??
หากจะย้อนไปยังปี 2004 มีหนังเรื่องหนึ่งชื่อ Lost in Translation นำแสดงโดย Scarlett Johansson และ Bill Murray ซึ่ง 60% ถ่ายทำ ณ.โรงแรม Park Hyatt Tokyo และแน่นอน New York Gril lBar ก็เป็นฉากหนึ่งที่สำคัญในเรื่องที่นักแสดงนำทั้งสองเจอกัน และหลายๆฉากหลักดำเนินเรื่องก็ถ่ายที่นั่น ซึ่งตอนที่ไป ภายในห้องอาหารก็ยังคงมีการตกแต่งเหมือนเดิม เช่นในหนังเลยค่ะ แม้เวลาจะล่วงเลยมา11 ปีแล้ว เราคิดว่า น่าจะมีแฟนหนังเรื่องนี้ตามรอยมาที่นี่ เช่นกัน
.. บริการระดับเทพ Exclusive แบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ..
พูดถึงความ Exclusive ของที่นี่ เราก็คิดว่าร้านอาหารระดับเดียวกันก็คงจะให้บริการไม่ต่างกันค่ะ แต่ด้วยความที่ผู้ให้บริการเป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งขอเรียกว่าเป็นเจ้าแห่งความพิถีพิถัน ใส่ใจ สุภาพนอบน้อม มารยาทดีและบริการเลิศล้ำเกินบรรยายเลยหล่ะ
เริ่มตั้งแต่ก้าวขาเข้าในส่วนของอาคาร ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนของอาคารสำนักงานก็เป็นที่ทำการของบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำ อย่างเช่น L'Oréal, Yves Saint laurent ฯลฯ และ ก็ส่วนของโรงแรม ส่วนทางเดิน หรือ ลิฟท์ ก็จะดูงงๆ หน่อยถ้าเดินเข้ามาในส่วนของอาคารสำนักงานนะคะ แต่ถ้าเข้ามาทางด้านโรงแรมก็สบายเลยไม่ได้เกิดอาการ งง แบบเราแน่นอน แต่ คือเราเดินเข้าทางอาคารสำนักงานค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ เผื่อถ้าใครมาแล้ว งง ๆ มึนๆกับเส้นทางภายในอาคาร ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตึก หรือ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในตึกนั้นได้เลยค่ะ เค้าช่วยเราได้จริงๆ นะก๊ะ ถึงแม้ภาษาอังกฤษเค้าจะอ่อนแอเพียงได้ แต่เซ้นต์ในการเข้าใจภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาเค้า แม่นยำเหมือนมีวุ้นแปลภาษาละลายอยู่ในตัว เค้าไม่เพียงแต่อธิบายบอกทางให้กับเราในภาษาอังกฤษคำ ญี่ปุ่นคำ แต่เค้ายังเดินนำเราไปสู่ปลายทางได้อย่างปลอดภัย ตอนแรกก็แปลกใจนะ คิดว่า อืมม.. คงไม่ใจดีทุกคนหรอกนะ คงเป็นเฉพาะเจ้าหน้าที่คนนี้ที่ใจดีจริงๆเดินไปส่งเลย แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนในโรงแรมนี่ บริการ สุดพลัง วังซากุระมากคะ คือ ถ้าเค้าเห็นเรา ดูเหมือน งงๆ มึนๆ เค้าจะรีบพุ่งตัวเข้ามาสอบถามทันทีและ พาเราไปยังสู่จุดหมายปลายทาง ไม่เว้นแต่เวลาไปห้องน้ำ เดินมาส่งยันประตูห้องน้ำกันเลยทีเดียวค่ะ
พอเข้ามาถึงในส่วนของโรงแรม ซึ่งเราต้องขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น41 แล้วเปลี่ยนลิฟท์ เพื่อขึ้นต่อไปยังชั้น 52 อีกทีหนึ่ง ระหว่างทางก็จะเดินผ่านในส่วนของล็อบบี้ ต่างๆ แล้วก็ส่วนที่เป็นห้องสมุด เค้าตกแต่งได้ดีเลยทีเดียว
-----ภาพห้องสมุดระหว่างทางเดินไปขึ้นลิฟท์-----
ด้วยความที่เป็นโรงแรม ห้าดาว เลยจำเป็นต้องจองที่นั่งสำหรับร้านอาหาร เราก็ได้ทำการจองไว้ล่วงหน้า แต่เสียดายมากที่นั่งบริเวณริมหน้าต่าง ที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ เต็ม .. แต่เราก็บอกเค้าไว้ว่าถ้าเราขอเป็น waiting list เผื่อถ้ามีคนยกเลิกเราจะได้นั่งแทน แต่ก็แหม โอกาสคงยากที่จะได้ เพราะเราจองก่อนล่วงหน้าไปแค่1อาทิตย์เอง คิดว่าถ้าอยากได้ที่นั่งดีๆ ควรจองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ แบบ ล่วงหน้า 2 -3 อาทิตย์ น่าจะดีกว่า
ตั้งแต่ประตูลิฟท์เปิดออก จะมีเจ้าหน้าที่สาวสวยพุ่งตัวล้อฟรี มาต้อนรับเราทันที จะสอบถามว่าเราจองที่นั่งไว้แล้วหรือ ยัง แล้วเค้าก็พามายังโต๊ะ ที่เราได้จองไว้ แล้วส่งหน้าที่ต่อให้แก่ บริกรหนุ่มหน้าตาดีรับช่วงต่อไป
มาดูบรรยากาศบริเวณห้องอาหารกันก่อนเลยนะคะ
โรแมนติกไม๊…วิว โต๊ะริม นี่ดีสุดๆ ไปเลย เสียดายจองไม่ทัน เลยได้โต๊ะด้านในแทน --” แต่ก็มองเห็นวิวสวยๆ ได้เช่นกันค่ะ
ในส่วนของเมนู มีแบบเป็น คอร์ส กับแบบ a la carte'
-----เมนูแบบ คอร์ส สำหรับที่นี่ มี 2 คอร์ส แต่ละช่วงเวลา คอร์สเมนูอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนะคะ แต่ช่วงที่ไปจะเป็นเมนูนี้ค่ะ -----
1.Manhattan

2.Central Park
----- เมนูแบบ a la carte'-----
----- เมนู เครื่องดื่ม -----
ลืมถ่ายรูปเมนูมาค่ะ แต่นำภาพมาจากในเว็บให้ดูนะคะ
http://www.parkhyatttokyo.com/Facility/Restaurant/Menu/NYG_WineList.pdf
ครั้งนี้ เราเลือกทานแบบ คอร์สค่ะ ส่วนคุณผู้ชายนางเลือกแบบ a la carte' เราเลือกคอร์สแรก Manhattan เราชอบนะ มันเป็นการผสมผสานส่วนผสมได้อย่างลงตัว ค่อยๆ ละเลียดทาน เคล้าเสียงแจ๊ส โอ๊ยยยย… จานเล็กแค่ไหนก็อิ่ม เลยคร้า
พอสั่งอาหารเสร็จ พนักงานก็จะเสริฟ ขนมปังฝรั่งเศส กับเนย มาเป็นจานแรก ขนมปังไม่แข็งมาก เป็นขนมปังลูกเกดค่ะ เสริฟแบบอุ่นๆ ที่สำคัญหอมด้วยนี่สิ น้ำย่อยออกมารอกันเลยทีเดียว
มาดูหน้าตาของอาหารกันเลยนะคะ เริ่มที่จานแรก
Starters : Kegani Crab Tartar, Italian Caviar white asparagus Puree, Celery, Dill, Herb Salad
ชื่อย๊าวๆ ยาว presentation ก็สวย รสชาติลงตัว ด้วยรสชาติของปู หวาน นุ่ม ชุ่มลิ้น ตัดรสด้วยไข่ปลาคาเวียร์ และซอสที่แซมข้างๆ จาน ในส่วนของสลัด มีแซมกลีบของดอกไม้ด้วยหล่ะ ไม่คิดว่า มันจะเข้ากันแต่ เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

Starters : Kegani Crab Tartar, Italian Caviar white asparagus Puree, Celery, Dill, Herb Salad
อาหารจานหลัก เป็นเมนูอาหารทะเลค่ะ ชื่อยาวอีกแล้ว ตามสไตล์ เหอๆ
Pan Fried Butterfish, Nero do Sepia Sauce clams, Sauteed Leeks.
มีปลา มีหอย ซอส ครีม และซอสปลาสีดำ วัตถุดิบสด อร่อย ส่วนตัวเราชอบซอสสีดำ อร่อยมากๆ เข้ากันได้ดีกับปลาค่า Presentation เราชอบจานแรกมากกว่า แต่รสชาติจานนี้ เด็ด และ คม

Main dish : Pan Fried Butterfish, Nero do Sepia Sauce clams, Sauteed Leeks.
มาต่อที่เมนูของหวานกันบ้างค่ะ เป็นเค้กชอคโกแลตราดด้วยซอสราสเบอรี่ กับไอศครีมเชอเบท สำหรับส่วนตัว ชอบรสเปรี้ยวอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าอร่อยไม่หวานเลี่ยนเมื่อทานกับเค้กชอคโกแลต
Dessert Menu : Chocolate Marquise, Mixed Berry Compote, Raspberry Sherbet

Dessert Menu : Chocolate Marquise, Mixed Berry Compote, Raspberry Sherbet
ตบท้ายปิดคอร์สเมนู คือเป็น เช็ตชา หรือ กาแฟ ซึ่งเค้าจะให้เราเลือกว่าจะรับแบบไหน ซึ่งก็อยู่ในคอร์สด้วยนะคะ เราเลือกเป็น Herb Tea ค่ะ ก็รสชาติไม่ได้พิเศษอะไร ก็ชาปกติอะเน๊อะ กินบรรยากาศแทน เหอๆ
ฟิ๊นน์ ฟินน์ กับร้านอาหารสุดโรแมนติก บนตึกสูงปรี๊ด กลางกรุงโตเกียว แม้แผ่นดินไหว จะเขย่าแค่ไหน ก็ยังชิลล์ ได้อยู่
คือแบบ ดีงาม และ เอ็กซ์คลูซีฟ สไตล์ญี่ปุ่น สำหรับรสชาติอาหารส่วนตัวก็คิดว่ารสชาติอร่อยดีนะคะ ไม่ถึงกับต้องปักธงแบบมาแล้วไม่ทานไม่ได้ มันก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น ประกอบกับดนตรีแจ๊ส เล่นสด สุดคลาสสิค จิบไวน์ไป ชมวิวไป ฟังแจ๊สไป … อาจจะมีอาการเคล้ิมๆ เพ้อๆ ได้บ้างในบางวินาที ชีวิตจะดีเกินไปไหม แต่มันฟินน์ จริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อต้องมาลองดู !!
ตึกสูงปรี๊ดดด ...ถ้ามีแผ่นดินไหว ต๊กใจไหม พูดดด!!!
บางคนอาจจะกังวลในเรื่องความสูงของตึก เพราะโรงแรมนี้สร้างมานานหลายปีอยู่ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่นแผ่นดินไหว ตึกจะรองรับได้ไหม ...บอกเลยว่าไม่ต้องกังวลไปคร้า ตึกนี้เคยกรำศึกใหญ่ในปี 2011มาแล้ว และก็ยังผ่านพ้นมันมาได้ ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัย แน่นอน ขอคอนเฟิร์ม… เพราะอะไร อะเหรอ ก็ในวันที่เราไป หลังจากที่เรา กำลัง enjoy กับการกินอาหาร และ ฟังเพลงอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่ชวนให้ตื่นเต้นขึ้น จริงๆ คือถ้ามาญี่ปุ่นแล้วไม่ได้สัมผัสกับ “แผ่นดินไหว” นี่เหมือนมาไม่ถึงนะคะ อิอิ ล้อเล่นนะ คือ จริงๆ เราอยู่ที่ญี่ปุ่นมา 4 ปีกว่า ปกติก็เรียกว่าเคยชินกับแผ่นดินไหวบ้างแล้วนะ แต่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับแผ่นดินไหวบนตึกสูงขนาดนี้ ชั้นที่ 52มาก่อนเลย ตึกสูงสุดที่เคยสัมผัสตอนเกิดแผ่นดินไหวอย่างมากก็ตึกสูงแค่ 8ชั้นเอง แต่นี่คือครั้งแรก บอกกงๆ ตอนแรกก็แอบกลัวอยู่บ้าง แต่เชื่อไหมว่า การบริการที่นี่ล้ำจริงๆ ขณะที่ตึกกำลังโยกไปมานั้น ภายในห้องอาหารที่ทุกคนกำลัง ชิลล์ ๆ เพลินๆ กับการทานอาหารและฟังเพลง บางคนก็เตรียมเป่าเทียนตัดเค้ก บางคนก็กำลังเม้าท์มอยหอยสังข์ บางคนก็กำลังฟินน์กับอาหารรสชาติเลิศ แต่พนักงานของที่นี่ แข็งขันและพร้อมเสมอเสมือนหนึ่งว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พนักงานรีบวิ่งไปยังโต๊ะของลูกค้า และประจำอยู่โต๊ะละ1คน ช่วยจับโต๊ะเพื่อป้องกันไม่ให้แก้วตก หรืออาหารหล่นจากโต๊ะ พร้อมกับคำพูดอันแสนสุภาพ เพื่อแจ้งเตือนให้ลูกค้ารู้ว่า ตอนนี้เกิดแผ่นดินไหวอยู่ ไม่ต้องตกใจนะครับ คุณกลัวไหม? คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่ต้องกังวลนะครับ เหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ปกติในอีกไม่นาน
ซึ่งเราก็แอบประทับใจในบริการของเค้า ณ.จุดนี้เหมือนกัน เพราะในร้านส่วนใหญ่ เป็นคนต่างชาติค่อนข้างเยอะ แล้วก็ตกใจ panic กันด้วยเลยคิดว่า การที่พนักงานเข้าไปยังโต๊ะ แล้วแจ้งให้ทราบ สอบถามลูกค้าเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกนี่ทำให้ลูกค้าหายตกใจ และไม่โกลาหลได้ดีเลยทีเดียว เพราะถ้าเป็นเรามาญี่ปุ่นครั้งแรกแล้วเจอตึกเขย่าแบบนี้ เราคงสติแตกไม่น้อย อีกด้านของห้องอาหาร วงดนตรีแจ๊สก็ยังคงบรรเลงเพลงต่อไปเหมือนเป็นจังหวะให้ตึก ค่อยๆโยกไป แหม...มันช่าง ชิลล์จริง อะไรจริง
และแน่นอน หลังเกิดแผ่นดินไหว ระบบความปลอดภัยของโรงแรมก็ต้องทำงานกันอย่างหนักหน่วง ลิฟท์ ใช้ไม่ได้ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นั่นหมายความว่า ถ้าเราจะกลับบ้านเราต้อง “เดิน” คร้า !!! ไม่นะ ฉันเพิ่งกินอาหารล้ำมาซะเต็มพุง ต้องมาเบิร์นด้วยการเดินลงบันได้อีกหลายสิบชั้น จะไหวไม๊ นี่คือสิ่งที่เรากังวล แต่โชคยังเข้าข้างอยู่ เพราะ ลิฟท์ใช้การไม่ได้ตั้งแต่ชั้น 41 -52 เท่านั้น เดินลงแค่10ชั้น ค่อยยังชั่ว แล้วค่อยเปลี่ยนไปใช้ลิฟท์อีกตัวที่ ชั้นที่41 เดินแค่นี้ยังได้อยู่ จิ๊บ จิ๊บ….
ทำไม New York Grill Bar ถึงได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จัก ??
หากจะย้อนไปยังปี 2004 มีหนังเรื่องหนึ่งชื่อ Lost in Translation นำแสดงโดย Scarlett Johansson และ Bill Murray ซึ่ง 60% ถ่ายทำ ณ.โรงแรม Park Hyatt Tokyo และแน่นอน New York Gril lBar ก็เป็นฉากหนึ่งที่สำคัญในเรื่องที่นักแสดงนำทั้งสองเจอกัน และหลายๆฉากหลักดำเนินเรื่องก็ถ่ายที่นั่น ซึ่งตอนที่ไป ภายในห้องอาหารก็ยังคงมีการตกแต่งเหมือนเดิม เช่นในหนังเลยค่ะ แม้เวลาจะล่วงเลยมา11 ปีแล้ว เราคิดว่า น่าจะมีแฟนหนังเรื่องนี้ตามรอยมาที่นี่ เช่นกัน
.. บริการระดับเทพ Exclusive แบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ..
พูดถึงความ Exclusive ของที่นี่ เราก็คิดว่าร้านอาหารระดับเดียวกันก็คงจะให้บริการไม่ต่างกันค่ะ แต่ด้วยความที่ผู้ให้บริการเป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งขอเรียกว่าเป็นเจ้าแห่งความพิถีพิถัน ใส่ใจ สุภาพนอบน้อม มารยาทดีและบริการเลิศล้ำเกินบรรยายเลยหล่ะ
เริ่มตั้งแต่ก้าวขาเข้าในส่วนของอาคาร ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนของอาคารสำนักงานก็เป็นที่ทำการของบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำ อย่างเช่น L'Oréal, Yves Saint laurent ฯลฯ และ ก็ส่วนของโรงแรม ส่วนทางเดิน หรือ ลิฟท์ ก็จะดูงงๆ หน่อยถ้าเดินเข้ามาในส่วนของอาคารสำนักงานนะคะ แต่ถ้าเข้ามาทางด้านโรงแรมก็สบายเลยไม่ได้เกิดอาการ งง แบบเราแน่นอน แต่ คือเราเดินเข้าทางอาคารสำนักงานค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ เผื่อถ้าใครมาแล้ว งง ๆ มึนๆกับเส้นทางภายในอาคาร ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตึก หรือ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในตึกนั้นได้เลยค่ะ เค้าช่วยเราได้จริงๆ นะก๊ะ ถึงแม้ภาษาอังกฤษเค้าจะอ่อนแอเพียงได้ แต่เซ้นต์ในการเข้าใจภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาเค้า แม่นยำเหมือนมีวุ้นแปลภาษาละลายอยู่ในตัว เค้าไม่เพียงแต่อธิบายบอกทางให้กับเราในภาษาอังกฤษคำ ญี่ปุ่นคำ แต่เค้ายังเดินนำเราไปสู่ปลายทางได้อย่างปลอดภัย ตอนแรกก็แปลกใจนะ คิดว่า อืมม.. คงไม่ใจดีทุกคนหรอกนะ คงเป็นเฉพาะเจ้าหน้าที่คนนี้ที่ใจดีจริงๆเดินไปส่งเลย แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนในโรงแรมนี่ บริการ สุดพลัง วังซากุระมากคะ คือ ถ้าเค้าเห็นเรา ดูเหมือน งงๆ มึนๆ เค้าจะรีบพุ่งตัวเข้ามาสอบถามทันทีและ พาเราไปยังสู่จุดหมายปลายทาง ไม่เว้นแต่เวลาไปห้องน้ำ เดินมาส่งยันประตูห้องน้ำกันเลยทีเดียวค่ะ
พอเข้ามาถึงในส่วนของโรงแรม ซึ่งเราต้องขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น41 แล้วเปลี่ยนลิฟท์ เพื่อขึ้นต่อไปยังชั้น 52 อีกทีหนึ่ง ระหว่างทางก็จะเดินผ่านในส่วนของล็อบบี้ ต่างๆ แล้วก็ส่วนที่เป็นห้องสมุด เค้าตกแต่งได้ดีเลยทีเดียว
-----ภาพห้องสมุดระหว่างทางเดินไปขึ้นลิฟท์-----
ด้วยความที่เป็นโรงแรม ห้าดาว เลยจำเป็นต้องจองที่นั่งสำหรับร้านอาหาร เราก็ได้ทำการจองไว้ล่วงหน้า แต่เสียดายมากที่นั่งบริเวณริมหน้าต่าง ที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ เต็ม .. แต่เราก็บอกเค้าไว้ว่าถ้าเราขอเป็น waiting list เผื่อถ้ามีคนยกเลิกเราจะได้นั่งแทน แต่ก็แหม โอกาสคงยากที่จะได้ เพราะเราจองก่อนล่วงหน้าไปแค่1อาทิตย์เอง คิดว่าถ้าอยากได้ที่นั่งดีๆ ควรจองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ แบบ ล่วงหน้า 2 -3 อาทิตย์ น่าจะดีกว่า
ตั้งแต่ประตูลิฟท์เปิดออก จะมีเจ้าหน้าที่สาวสวยพุ่งตัวล้อฟรี มาต้อนรับเราทันที จะสอบถามว่าเราจองที่นั่งไว้แล้วหรือ ยัง แล้วเค้าก็พามายังโต๊ะ ที่เราได้จองไว้ แล้วส่งหน้าที่ต่อให้แก่ บริกรหนุ่มหน้าตาดีรับช่วงต่อไป
มาดูบรรยากาศบริเวณห้องอาหารกันก่อนเลยนะคะ
โรแมนติกไม๊…วิว โต๊ะริม นี่ดีสุดๆ ไปเลย เสียดายจองไม่ทัน เลยได้โต๊ะด้านในแทน --” แต่ก็มองเห็นวิวสวยๆ ได้เช่นกันค่ะ
ในส่วนของเมนู มีแบบเป็น คอร์ส กับแบบ a la carte'
-----เมนูแบบ คอร์ส สำหรับที่นี่ มี 2 คอร์ส แต่ละช่วงเวลา คอร์สเมนูอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนะคะ แต่ช่วงที่ไปจะเป็นเมนูนี้ค่ะ -----
1.Manhattan
2.Central Park
----- เมนูแบบ a la carte'-----
----- เมนู เครื่องดื่ม -----
ลืมถ่ายรูปเมนูมาค่ะ แต่นำภาพมาจากในเว็บให้ดูนะคะ
http://www.parkhyatttokyo.com/Facility/Restaurant/Menu/NYG_WineList.pdf
ครั้งนี้ เราเลือกทานแบบ คอร์สค่ะ ส่วนคุณผู้ชายนางเลือกแบบ a la carte' เราเลือกคอร์สแรก Manhattan เราชอบนะ มันเป็นการผสมผสานส่วนผสมได้อย่างลงตัว ค่อยๆ ละเลียดทาน เคล้าเสียงแจ๊ส โอ๊ยยยย… จานเล็กแค่ไหนก็อิ่ม เลยคร้า
พอสั่งอาหารเสร็จ พนักงานก็จะเสริฟ ขนมปังฝรั่งเศส กับเนย มาเป็นจานแรก ขนมปังไม่แข็งมาก เป็นขนมปังลูกเกดค่ะ เสริฟแบบอุ่นๆ ที่สำคัญหอมด้วยนี่สิ น้ำย่อยออกมารอกันเลยทีเดียว
มาดูหน้าตาของอาหารกันเลยนะคะ เริ่มที่จานแรก
Starters : Kegani Crab Tartar, Italian Caviar white asparagus Puree, Celery, Dill, Herb Salad
ชื่อย๊าวๆ ยาว presentation ก็สวย รสชาติลงตัว ด้วยรสชาติของปู หวาน นุ่ม ชุ่มลิ้น ตัดรสด้วยไข่ปลาคาเวียร์ และซอสที่แซมข้างๆ จาน ในส่วนของสลัด มีแซมกลีบของดอกไม้ด้วยหล่ะ ไม่คิดว่า มันจะเข้ากันแต่ เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
Starters : Kegani Crab Tartar, Italian Caviar white asparagus Puree, Celery, Dill, Herb Salad
อาหารจานหลัก เป็นเมนูอาหารทะเลค่ะ ชื่อยาวอีกแล้ว ตามสไตล์ เหอๆ
Pan Fried Butterfish, Nero do Sepia Sauce clams, Sauteed Leeks.
มีปลา มีหอย ซอส ครีม และซอสปลาสีดำ วัตถุดิบสด อร่อย ส่วนตัวเราชอบซอสสีดำ อร่อยมากๆ เข้ากันได้ดีกับปลาค่า Presentation เราชอบจานแรกมากกว่า แต่รสชาติจานนี้ เด็ด และ คม
Main dish : Pan Fried Butterfish, Nero do Sepia Sauce clams, Sauteed Leeks.
มาต่อที่เมนูของหวานกันบ้างค่ะ เป็นเค้กชอคโกแลตราดด้วยซอสราสเบอรี่ กับไอศครีมเชอเบท สำหรับส่วนตัว ชอบรสเปรี้ยวอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าอร่อยไม่หวานเลี่ยนเมื่อทานกับเค้กชอคโกแลต
Dessert Menu : Chocolate Marquise, Mixed Berry Compote, Raspberry Sherbet
Dessert Menu : Chocolate Marquise, Mixed Berry Compote, Raspberry Sherbet
ตบท้ายปิดคอร์สเมนู คือเป็น เช็ตชา หรือ กาแฟ ซึ่งเค้าจะให้เราเลือกว่าจะรับแบบไหน ซึ่งก็อยู่ในคอร์สด้วยนะคะ เราเลือกเป็น Herb Tea ค่ะ ก็รสชาติไม่ได้พิเศษอะไร ก็ชาปกติอะเน๊อะ กินบรรยากาศแทน เหอๆ