จ่อจะกลายเป็นแดนสนธยาแล้วกับความพยายามในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการทีโอที ที่นับวันยิ่งมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ด้วยปัจจัยรุมล้อมรอบด้าน โดยเฉพาะผู้คนในองค์กรที่ยังไม่ยอมปรับตัว
กลางสัปดาห์ที่แล้วเหลือบไปเห็นข่าวเห็นประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ออกมาแถลงผลงานในรอบ 9 เดือนนับจากเข้ามารับตำแหน่งประธานบอร์ด และผลงานในรอบ 6 เดือนของทีโอทีไปสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้แต่ปลงในอนาคตองค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งนี้จริงๆ
ขณะที่ทีโอทียังคงลุ้นระทึกกับแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องรายงานความคืบหน้าต่อ “คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ” หรือ “ซูเปอร์บอร์ด” เป็นรายเดือน โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าอนาคตจะเดินไปทางไหนหลังจาก “กินบุญเก่า” จากค่าต๋งสัมปทานมานับทศวรรษ และกำลังจะหมดลงในเดือนกันยายนนี้ หรืออีกไม่ถึง 3 เดือนจากนี้
แต่เมื่อฟังผลงานในรอบ 9 เดือนของท่านประธานบอร์ดทีโอทีที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นว่า แม้จะไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนให้ได้ โดยที่ผ่านมาได้พยายามที่จะทำให้ทีโอทีเข้มแข็ง เน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ
ส่วนผลประกอบการ 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.58) ทีโอทีมีรายได้ 12,243 ล้านบาท กำไร 152 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันแล้วยอมรับว่าลดลง โดยมีรายได้ 15,283 ล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 33,334 ล้านบาท ขาดทุน 10,000 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทานอีกต่อไปแล้ว ส่วนการแสวงหาพันธมิตรธุรกิจทีโอทีนั้นยืนยันว่าจะต้องเร่งดำเนินการเพราะถือเป็นอนาคตขององค์กรทีโอที
ฟังแล้วก็ได้แต่ “อึ้งกิมกี่” นั่งหายใจรวยรินมาจะร่วมปี ยังไม่มีผลงานอะไรโดดเด่น แต่กลับมานั่งแถลงเป็นวรรคเป็นเวรที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ แถมผลพวงจากการปรับโครงสร้างองค์กรที่อ้างเป็นความสำเร็จอันยิ่งยวดนั้น จนป่านนี้พนักงานและฝ่ายบริหารยังเปิดศึกเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอยู่เลย บางฝ่ายบางแผนกที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดยังหางานทำไม่เจอ ทำเอาพนักงาน-ฝ่ายบริหารแตกเป็นฝักเป็นฝ่ายปั่นป่วนกันไปหมด
ขณะที่การแสวงหาพันธมิตรธุรกิจที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจร่วมกับองค์กรทีโอที จนป่านนี้ก็ยัง “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” ทั้งที่ยืนยันเป็นความจำเป็นและความอยู่รอดขององค์กรทีโอที และเห็นตั้งแท่นจะพิจารณากันมาตั้งแต่ปลายปี 2557 แต่จนป่านนี้กลับยังไม่มีความคืบหน้า
บริษัทสื่อสาร 4-5 รายที่เสนอตัวขอร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจกับทีโอที ที่ประกอบด้วยค่ายเอไอเอส/สามารถ/ทรูคอร์ปอเรชั่น/ล็อกซ์เล่ย์ และบริษัทโนเนมอย่างโมบายล์ แอลทีอีนั้น ใครเป็นใคร? มีความจริงใจที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจหรือร่วมพัฒนาธุรกิจให้กับทีโอทีอย่างไร
รายไหนมีความจริงใจ รายไหนแค่อยากฮุบเอาเสาโทรคมนาคมไปเพิ่มมูลค่าธุรกิจของตนหรือรายไหน “ดีแต่เปลือก” ของเก่าเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรยังล้มเหลวไม่เป็นท่ายังกล้าเสนอหน้ามาอีก หรือรายไหนแค่ต้องการเข้ามาเป็น “นายหน้า” ให้ทีโอทีเลือกข้อเสนอกลุ่มตนที่มีแค่กระดาษแผ่นเดียวกับลายเซ็นสุดบิ๊กบึ้มของผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช.ด้วยหวังจะ “เซ็งลี้โปรเจ็กต์” ออกไปนั้น ก็ใช่ว่าบอร์ดและผู้บริหารทีโอทีจะไม่ล่วงรู้
แต่ก็ให้น่าแปลกใจที่ทั้งฝ่ายบริหารและบอร์ดทีโอทีกลับอยู่ในสภาวะ “น้ำท่วมปาก” ปล่อยให้อนาคตขององค์กรถูกปู้ย่ำปู้ยีกันไปอย่างไร้อนาคต และได้แต่ซื้อเวลาทอดหายใจกันไปวันๆ เท่านั้น
ก็คงได้แต่ฝากข้อคิดไปยังท่านประธานซูเปอร์บอร์ด และท่านประธานบอร์ดทีโอทีไว้ตรงนี้ บทเรียนของการทำอะไรตาม “ใบสั่ง” เป็นอย่างไรนั้น ก็ลองย้อนดูกรณีระบบบิลลิ่งของทีโอที และกรณีการดึงเอาบริษัทสามารถเข้ามาทำตลาดมือถือ 3 จี 2100 MHz แบบ MVNO ในรัฐบาลชุดก่อนนั่นปะไรได้ทำให้มือถือ 3 จี 2100 ของทีโอทีกระหึ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำปีละนับพันล้านบาทตามแผนและเป้าหมายที่ตีปี๊บแถลงกันใหญ่โตหรือไม่หละ วันนี้คืบหน้ากันไปถึงไหนบ้างหล่ะท่านประธาน ทำไมถึงไม่แถลงให้พนักงานและประชาชนคนไทยได้ชื่นสะดือ-ันบ้าง!!!
เพราะที่เห็นนั้นหากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ ทีโอทีคงไม่มานั่ง “กุมขมับ” จะต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจ ร่วมพัฒนาทรัพย์สิน หรือร่วมหาแนวทางในการบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นแสนล้านนี้เป็นแน่
จึงได้แต่หวังว่าบอร์ดและฝ่ายบริหารทีโอทีคงจะไม่เจริญรอยตามใบสั่งแบบเดิมกันเอาอีก หาไม่แล้วชาตินี้ก็คงไม่มีวันที่องค์กรทีโอทีนี้จะก้าวข้าม “แดนสนธยา” ไปได้!!!
แดนสนธยา...ทีโอที
กลางสัปดาห์ที่แล้วเหลือบไปเห็นข่าวเห็นประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ออกมาแถลงผลงานในรอบ 9 เดือนนับจากเข้ามารับตำแหน่งประธานบอร์ด และผลงานในรอบ 6 เดือนของทีโอทีไปสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้แต่ปลงในอนาคตองค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งนี้จริงๆ
ขณะที่ทีโอทียังคงลุ้นระทึกกับแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องรายงานความคืบหน้าต่อ “คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ” หรือ “ซูเปอร์บอร์ด” เป็นรายเดือน โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าอนาคตจะเดินไปทางไหนหลังจาก “กินบุญเก่า” จากค่าต๋งสัมปทานมานับทศวรรษ และกำลังจะหมดลงในเดือนกันยายนนี้ หรืออีกไม่ถึง 3 เดือนจากนี้
แต่เมื่อฟังผลงานในรอบ 9 เดือนของท่านประธานบอร์ดทีโอทีที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นว่า แม้จะไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนให้ได้ โดยที่ผ่านมาได้พยายามที่จะทำให้ทีโอทีเข้มแข็ง เน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ
ส่วนผลประกอบการ 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.58) ทีโอทีมีรายได้ 12,243 ล้านบาท กำไร 152 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันแล้วยอมรับว่าลดลง โดยมีรายได้ 15,283 ล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 33,334 ล้านบาท ขาดทุน 10,000 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทานอีกต่อไปแล้ว ส่วนการแสวงหาพันธมิตรธุรกิจทีโอทีนั้นยืนยันว่าจะต้องเร่งดำเนินการเพราะถือเป็นอนาคตขององค์กรทีโอที
ฟังแล้วก็ได้แต่ “อึ้งกิมกี่” นั่งหายใจรวยรินมาจะร่วมปี ยังไม่มีผลงานอะไรโดดเด่น แต่กลับมานั่งแถลงเป็นวรรคเป็นเวรที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ แถมผลพวงจากการปรับโครงสร้างองค์กรที่อ้างเป็นความสำเร็จอันยิ่งยวดนั้น จนป่านนี้พนักงานและฝ่ายบริหารยังเปิดศึกเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอยู่เลย บางฝ่ายบางแผนกที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดยังหางานทำไม่เจอ ทำเอาพนักงาน-ฝ่ายบริหารแตกเป็นฝักเป็นฝ่ายปั่นป่วนกันไปหมด
ขณะที่การแสวงหาพันธมิตรธุรกิจที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจร่วมกับองค์กรทีโอที จนป่านนี้ก็ยัง “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” ทั้งที่ยืนยันเป็นความจำเป็นและความอยู่รอดขององค์กรทีโอที และเห็นตั้งแท่นจะพิจารณากันมาตั้งแต่ปลายปี 2557 แต่จนป่านนี้กลับยังไม่มีความคืบหน้า
บริษัทสื่อสาร 4-5 รายที่เสนอตัวขอร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจกับทีโอที ที่ประกอบด้วยค่ายเอไอเอส/สามารถ/ทรูคอร์ปอเรชั่น/ล็อกซ์เล่ย์ และบริษัทโนเนมอย่างโมบายล์ แอลทีอีนั้น ใครเป็นใคร? มีความจริงใจที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจหรือร่วมพัฒนาธุรกิจให้กับทีโอทีอย่างไร
รายไหนมีความจริงใจ รายไหนแค่อยากฮุบเอาเสาโทรคมนาคมไปเพิ่มมูลค่าธุรกิจของตนหรือรายไหน “ดีแต่เปลือก” ของเก่าเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรยังล้มเหลวไม่เป็นท่ายังกล้าเสนอหน้ามาอีก หรือรายไหนแค่ต้องการเข้ามาเป็น “นายหน้า” ให้ทีโอทีเลือกข้อเสนอกลุ่มตนที่มีแค่กระดาษแผ่นเดียวกับลายเซ็นสุดบิ๊กบึ้มของผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช.ด้วยหวังจะ “เซ็งลี้โปรเจ็กต์” ออกไปนั้น ก็ใช่ว่าบอร์ดและผู้บริหารทีโอทีจะไม่ล่วงรู้
แต่ก็ให้น่าแปลกใจที่ทั้งฝ่ายบริหารและบอร์ดทีโอทีกลับอยู่ในสภาวะ “น้ำท่วมปาก” ปล่อยให้อนาคตขององค์กรถูกปู้ย่ำปู้ยีกันไปอย่างไร้อนาคต และได้แต่ซื้อเวลาทอดหายใจกันไปวันๆ เท่านั้น
ก็คงได้แต่ฝากข้อคิดไปยังท่านประธานซูเปอร์บอร์ด และท่านประธานบอร์ดทีโอทีไว้ตรงนี้ บทเรียนของการทำอะไรตาม “ใบสั่ง” เป็นอย่างไรนั้น ก็ลองย้อนดูกรณีระบบบิลลิ่งของทีโอที และกรณีการดึงเอาบริษัทสามารถเข้ามาทำตลาดมือถือ 3 จี 2100 MHz แบบ MVNO ในรัฐบาลชุดก่อนนั่นปะไรได้ทำให้มือถือ 3 จี 2100 ของทีโอทีกระหึ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำปีละนับพันล้านบาทตามแผนและเป้าหมายที่ตีปี๊บแถลงกันใหญ่โตหรือไม่หละ วันนี้คืบหน้ากันไปถึงไหนบ้างหล่ะท่านประธาน ทำไมถึงไม่แถลงให้พนักงานและประชาชนคนไทยได้ชื่นสะดือ-ันบ้าง!!!
เพราะที่เห็นนั้นหากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ ทีโอทีคงไม่มานั่ง “กุมขมับ” จะต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจ ร่วมพัฒนาทรัพย์สิน หรือร่วมหาแนวทางในการบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นแสนล้านนี้เป็นแน่
จึงได้แต่หวังว่าบอร์ดและฝ่ายบริหารทีโอทีคงจะไม่เจริญรอยตามใบสั่งแบบเดิมกันเอาอีก หาไม่แล้วชาตินี้ก็คงไม่มีวันที่องค์กรทีโอทีนี้จะก้าวข้าม “แดนสนธยา” ไปได้!!!