สวัสดีคร้าบบบ กระทู้นี้ก็ช่วยๆอ่านกันหน่อยนะครับ แหะๆ อ่านตอนเข้าห้องน้ำก็ได้555 ผมว่าเรื่องนี้ก็มีข้อคิดเล็กๆน้อยๆอยู่บ้างนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจากประสบการณ์ของผมกับเพื่อนๆ ในช่วงชีวิตม.ปลายก่อนพวกเราจบการศึกษา มาเล่าให้อ่านเพลินๆรอมหาวิทยาลัยเปิด (ผมเพิ่งจบม.6 ครับ)
[รูปที่แปะ ผมเซนเซอร์หน้าไว้นะครับ เพราะไม่รู้กฎของพันทิปดีนัก]
ขอเท้าความก่อนนะครับ ผมเรียนอยู่รร.รัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีครับ ในช่วงม.6 (ปีการศึกษา 2557) ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนๆในชุมนุมภาษาอังกฤษที่ในตอนแรกก็จัดตั้งขึ้นมาเล่นๆเพื่อหาอะไรทำระหว่างคาบชุมนุมของรร. พวกเรากับครูที่ปรึกษาชุมนุมคิดกันว่าพวกผมกับเพื่อนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษพอสมควร(เราเรียน EP และหลายๆคนผ่านการแลกเปลี่ยนตปท.) จึงอยากจะ "ลอง" ทำอะไรสักอย่างที่อาจจะช่วยน้องๆรร.เล็กๆในชุมชนของเราได้บ้าง
เราคิดโครงการที่จะไป
สอนวิชาภาษาอังกฤษที่เราถนัดให้กับน้องๆนักเรียนในรร.ที่ไม่ไกลจากรร.ของพวกเรานักจะได้เดินทางสะดวก และพวกเราก็เลือกรร.หนึ่งซึ่งเป็นรร.วัด มีนักเรียนถึงแค่ป.6 มีนักเรียนทั้งรร.แค่ 50 กว่าคน โชคดีที่ผอ.รร.นั้นตอบรับโครงการของพวกผมทันที ^^
หลังจากนำเสนอโครงการต่อผอ.รร.ของผมผ่าน เราก็เริ่มดำเนินการทันที อย่างแรกที่เราทำคือออกแบบหลักสูตรการเรียน (ฟังดูดีใช่มั๊ยครับ) เราได้สอนนักเรียนระดับป.6 เราจึงเลือกที่จะสอนคำศัพท์รอบตัวก่อนแล้วขึ้นประโยคอย่างง่าย จนถึงแกรมม่าพื้นฐาน ซึ่งเรามีเวลาสอน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (10 สัปดาห์) เราก็หวังว่าก่อนเราจะหมดหน้าที่การสอน น้องๆจะเริ่มเข้าใจ Past Simple แล้ว
สัปดาห์แรก
ทันทีที่เราก้าวลงมาจากรถมีน้องๆหลายคนวิ่งเข้ามาหาเราแล้วพูดว่า "สวัสดีค่ะ/ครับ พี่" พร้อมยกมือไหว้ ซึ่งไม่ได้มีแค่คนสองคนนะครับ แต่มีเป็นสิบๆคนที่วิ่งเข้ามาต้อนรับเราพี่ๆม.6 ...เราเดินขึ้นห้องเรียนชั้นสองที่เก่าพอสมควร นักเรียนตัวดำๆ ผอมบ้าง จ้ำม่ำบ้าง นั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ 555 ด้วยความที่เราอาจเป็นลูกคุณหนู 55 เพื่อนบางคนก็รู้สึกสงสารน้องๆที่ต้องเรียนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ถึงขนาดน้ำตาคลอ (มันไม่ได้เลวร้ายมากนะครับ แค่เพื่อนผม sensitive มาก) คาบแรกเราเริ่มสอน Aa Bb Cc... ก่อน จะได้พอรู้พื้นฐานของน้อง น้องพอท่องได้แต่ก็มี
สับสนระหว่างพิมพ์ใหญ่และพิมเล็ก วันนั้นเราได้สอนคำศัพท์รอบๆตัวเช่น calendar, book, notebook, pen, pencil, watch, clock, water bottle เป็นต้น ซึ่งน้องจำได้เป๊ะมากกก จนเราพอมองเห็นทางในการสอน แต่ก่อนจะจบวันนั้นเราขอลอง dictation น้องๆ ซึ่งนั่นทำให้เราใจหายเพราะน้องๆ จำได้ว่า calendar แปลว่าปฏิทิน แต่น้องเขียนไม่ได้เลยยย เริ่มต้นเขียนอักษรตัวแรกก็ไม่ถูกแล้ว
สัปดาห์ที่สอง
ตัดมาที่การสอนเลยนะครับ คราวนี้เราทำป้ายชื่อมาให้น้องๆใส่ เราจะได้เรียกชื่อน้องถูก เราให้น้องๆลองเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษดูทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุล ซึ่งใช้เวลาเป็นชั่วโมง (น้องไม่ถึง20คน) น้อง
ไม่สามารถแยกสระกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษได้ และที่อึ้งที่สุดคนคือน้องคนนึง
เขียนตัว N แบบผิดฝั่ง!! คือเริ่มลากเส้นจากบนลงล้างแล้วเฉียงขึ้นแล้วลง ........ พวกผมเงิบสิครับ ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ หลังจากนั้นเราก็สอนการแปลประโยค ซึ่งเราเตรียม passage ระดับที่ง่ายกว่า onet ป.6 นิดหน่อยมาให้ ซึ่งแน่นอนว่า น้องเบื่อ น้องไม่เข้าใจ น้องงอแง เราก็ยิ่งเหนื่อยสิครับ เห็นแบบนี้แล้วถอดใจไปกว่าครึ่ง
(ประมาณ)สัปดาห์ที่สาม
เรากลับมาที่การสอนคำศัพท์ต่างๆโดยโฟกัสที่คำศัพท์อวัยวะภายในร่างกาย เรามีเพลงประกอปการจำ มีชีทรูปภาพแจก และโฟกัสการสะกดคำมากขึ้น มีเกมส์ประกอบการสอนไปด้วย การสอนในสัปดาห์นี้ก็เป็นไปด้วยดี น้องไม่ได้เบื่อแบบสัปดาห์ที่แล้ว แต่พอลอง dictation น้อง น้องก็ผิด (แบบให้อภัยไม่ได้) อยู่เช่นเคย (เศร้า)
* เรื่องอยากเล่ากลางทาง *
- มาถึงตอนนี้เราก็เริ่มเข้าใจครูสอนคณิตนะ ที่สอนแล้วทำไมนักเรียนถึงงงขนาดนี้ มันรู้สึกเฟล รู้สึกอยากเลิก ไม่อยากทำต่อแล้ว
รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ เราจึงมานั่งคิดกันใหม่
- น้องบอกผมว่าครูสอนอังกฤษที่รร.นี้สอน 2-3 วิชา !! และไม่ได้สอนแค่ป.6เท่านั้นด้วย
- น้องสามารถแปล CAT แมว DOG สุนัข HOME บ้าน ANT มด ได้นะครับ แต่!!ไม่สามารถเขียนได้ ไม่สามารถสะกด C-A-T ได้ และหลายๆคนเขินอายไม่กล้าตอบกลัวผิด (น้องไม่ได้ขี้อายนะครับ น้องคุยกับเราเก่งมาก)
- หลังจากสอนไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสนิทกับน้อง น้องเริ่มดื้อ เริ่มซน(มากก) เราก็อาจมีว้าก มีดุไปบ้างแต่ก็ทำเพื่อน้องๆน้า พอน้องเป็นเด็กดี เราก็เล่นด้วยตามปกติ
- ในห้องเรียนมีน้อง 2 คนที่เก่งกว่าเพื่อนมาก เราจึงแยกน้องทั้งสองออกมา เรามีพี่ติวเตอร์ให้แบบตัวต่อตัวครับ
- ช่วงหลังๆเราเปลี่ยนห้องเรียนครับ เพราะผอ.รร.ท่านอยากให้เราสอนสบายๆ จึงให้เรามาสอนห้องประชุมซึ่งเป็นห้องแอร์
สัปดาห์กลางๆ
ล้มเลิกหลักสูตรเก่าทิ้ง! เรากลับไปคิดกันว่า อยากให้สอนตามเดิมแต่ก็ไม่รู้ว่าน้องจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือจะเอาใหม่ เอาความรู้ที่น้องอาจจะนำไปสานต่อเองในทางภาษาอังกฤษได้ เรารู้ว่าน้องอ่านไม่ได้ น้องสะกดไม่ได้ น้องเขียนไม่ได้
เราจึงเริ่มสอน A-Z ครับแต่เราเน้นจริงๆที่การออกเสียงครับ เราพยายามให้น้องรู้ว่า B เทียบกับพยัญชนะไทยว่าอะไร อ่านว่าอะไร A,E,I,O,U คืออะไร ใช้ยังไง เทียบเป็นสระไทยเป็นตัวอะไร พอน้องจำได้แล้ว เราก็เริ่มประสมคำง่ายๆ ให้น้องอ่านออก และก็เริ่มสอนคำจริงๆพร้อมคำอ่านและความหมาย ซึ่งจากการ Dictation น้องๆทำได้ดีขึ้นมาก ทั้งๆที่บางคำไม่ได้สอนแต่น้องก็พอสะกดคำออกมาได้ถูกบ้างเกือบถูกบ้าง ซึ่งทำให้เรามองเห็นทางสว่างอยู่นิดๆ 555
สัปดาห์ท้ายๆ (ในที่สุดด)
หลังจากน้องพอมีความรู้เรื่องการอ่านเขียนแล้ว เราก็เริ่มสอนประโยคสั้นๆ ที่ใช้บ่อยๆ เช่น May I go to the restroom? ประโยคที่เราใช้ในรร. (เพราะครูเขารีเควสมา) น้องก็งงแหละครับ แต่เราก็พยายามจนน้องจำได้ และ! เขียน+ตอบโต้ประโยคนี้ได้ แต่ผมคิดว่าเดี๋ยวน้องก็คงลืมนะ 555 แต่สิ่งที่พวกผมต้องการให้น้องเข้าใจและจำได้มากที่สุดคือการอ่าน+การเขียนที่ได้สอนน้องไป เพราะนั่นจะเป็นพื้นฐานให้น้องพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
วันสุดท้าย (ถึงเวลาจาก)
วันสุดท้ายเราไม่มีการเรียนการสอนครับ น้องๆที่รร.จัดปาร์ตี้เล็กๆของคุณเรา เราก็ซึ้งแหละครับ รู้สึกเป็นครั้งแรกๆในชีวิตเลยที่ได้ทำอะไรแบบนี้ น้องเขาร้องเพลงให้ มอบดอกกุหลาบให้ เราก็บูมให้น้องฟัง กินขนมกันสนุกสนานครับวันนั้น ถึงรร.เราจะอยู๋ห่างกันไม่ถึง 5 กม. แต่เราก็จะเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย และน้องต้องย้ายรร.ขึ้นม.1 เราก็พอรู้ว่ามีโอกาสได้เจอกันอีกน้อย ก่อนจากผมก็หวังว่าน้องๆจะนำความรู้ที่พี่ๆได้ถ่ายทอดให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ไปสานต่อในการเรียนรู้วาภาษาอังกฤษต่อไป เมื่อโตขึ้นก็กลับมาพัฒนาโรงเรียนนี้ต่อไป
จากประสบการณ์นี้ผมคิดว่าการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดี (มั้ง) เราควรเริ่มเรียนด้วย การฟัง พูด อ่าน และจบที่การเขียน แน่นอนว่าพวกผมพร้อมผ้องเพื่อนไม่ได้ยกระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษให้กับน้องๆมากนัก แต่ก็อาจจะทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนเห็นถึงปัญหากับสังคมไทย ทำไมโรงเรียนขนาดเล็กถึงไม่เจริญก้าวหน้าสักที ทำไมครูถึงได้ขาดแคลนทั้งจำนวนและคุณภาพขนาดนี้ นักเรียนเหล่านี้ที่เก่งๆไม่กล้าเข้ารร.รัฐใหญ่ๆดีๆอันดับต้นของจังหวัด เพราะพ่อแม่ไม่สนับสนุน ไม่มีใครคอบแนะแนวการศึกษาก่อนขึ้นชั้นมัธยมให้
ผมอยากจะเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา หรือใครๆก็ตาม ที่มีเวลา มีจิตอาสา จับกลุ่มกันหันมาสนใจกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกไปถึงต่างจังหวัดก็มีโรงเรียนแบบนี้ อาจจะไปทำการสอนเป็นครั้งคราว หรือไปพัฒนาสร้างหรือซ่อมแซมอาคาร เพียงแค่นี้นอกจากคนในชุมชนจะดีใจแล้ว เราก็ยังจะอิ่มบุญ และอิ่มใจ เป็นอย่างมากกกกกกกอีกด้วย
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณครูที่ปรึกษาชุมนุม ครูหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และท่านผู้อำนวยการรร.ของผม ที่อนุญาตให้เราทำโครงการนี้ คอยให้คำแนะนำรวมถึงคอยรับส่งเราไปดำเนินกิจกรรมมาโดยตลอด และคุณแม่ผมที่ช่วยระดมทุนมาสร้างทางเดินเทปูนและสนามหญ้าเล็กๆให้กับรร.นี้ ขอบคุณเพื่อนๆที่รวมด้วยช่วยกันทำงานนี้ทั้งๆที่เหนื่อยท้อและเสียเวลาอ่านหนังสือเข้ามหาลัยมาทำงานนี้ มันสนุกมากๆ
และรวมถึงทุกคนชาวพันทิปที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาอ่านประสบการณ์จากเด็กอายุ 17 คนนี้นะครับ
หากมีสิ่งใดของเนื้อหาในกระทู้นี้ที่ไม่สมควรหรือไม่เหมาะสม ผมขอยอมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ
ประสบการณ์เด็กโตสอนเด็กรร.วัด (ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน แต่ความคิดเปลี่ยนไป)
ขอเท้าความก่อนนะครับ ผมเรียนอยู่รร.รัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีครับ ในช่วงม.6 (ปีการศึกษา 2557) ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนๆในชุมนุมภาษาอังกฤษที่ในตอนแรกก็จัดตั้งขึ้นมาเล่นๆเพื่อหาอะไรทำระหว่างคาบชุมนุมของรร. พวกเรากับครูที่ปรึกษาชุมนุมคิดกันว่าพวกผมกับเพื่อนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษพอสมควร(เราเรียน EP และหลายๆคนผ่านการแลกเปลี่ยนตปท.) จึงอยากจะ "ลอง" ทำอะไรสักอย่างที่อาจจะช่วยน้องๆรร.เล็กๆในชุมชนของเราได้บ้าง
เราคิดโครงการที่จะไปสอนวิชาภาษาอังกฤษที่เราถนัดให้กับน้องๆนักเรียนในรร.ที่ไม่ไกลจากรร.ของพวกเรานักจะได้เดินทางสะดวก และพวกเราก็เลือกรร.หนึ่งซึ่งเป็นรร.วัด มีนักเรียนถึงแค่ป.6 มีนักเรียนทั้งรร.แค่ 50 กว่าคน โชคดีที่ผอ.รร.นั้นตอบรับโครงการของพวกผมทันที ^^
หลังจากนำเสนอโครงการต่อผอ.รร.ของผมผ่าน เราก็เริ่มดำเนินการทันที อย่างแรกที่เราทำคือออกแบบหลักสูตรการเรียน (ฟังดูดีใช่มั๊ยครับ) เราได้สอนนักเรียนระดับป.6 เราจึงเลือกที่จะสอนคำศัพท์รอบตัวก่อนแล้วขึ้นประโยคอย่างง่าย จนถึงแกรมม่าพื้นฐาน ซึ่งเรามีเวลาสอน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (10 สัปดาห์) เราก็หวังว่าก่อนเราจะหมดหน้าที่การสอน น้องๆจะเริ่มเข้าใจ Past Simple แล้ว
สัปดาห์แรก
ทันทีที่เราก้าวลงมาจากรถมีน้องๆหลายคนวิ่งเข้ามาหาเราแล้วพูดว่า "สวัสดีค่ะ/ครับ พี่" พร้อมยกมือไหว้ ซึ่งไม่ได้มีแค่คนสองคนนะครับ แต่มีเป็นสิบๆคนที่วิ่งเข้ามาต้อนรับเราพี่ๆม.6 ...เราเดินขึ้นห้องเรียนชั้นสองที่เก่าพอสมควร นักเรียนตัวดำๆ ผอมบ้าง จ้ำม่ำบ้าง นั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ 555 ด้วยความที่เราอาจเป็นลูกคุณหนู 55 เพื่อนบางคนก็รู้สึกสงสารน้องๆที่ต้องเรียนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ถึงขนาดน้ำตาคลอ (มันไม่ได้เลวร้ายมากนะครับ แค่เพื่อนผม sensitive มาก) คาบแรกเราเริ่มสอน Aa Bb Cc... ก่อน จะได้พอรู้พื้นฐานของน้อง น้องพอท่องได้แต่ก็มีสับสนระหว่างพิมพ์ใหญ่และพิมเล็ก วันนั้นเราได้สอนคำศัพท์รอบๆตัวเช่น calendar, book, notebook, pen, pencil, watch, clock, water bottle เป็นต้น ซึ่งน้องจำได้เป๊ะมากกก จนเราพอมองเห็นทางในการสอน แต่ก่อนจะจบวันนั้นเราขอลอง dictation น้องๆ ซึ่งนั่นทำให้เราใจหายเพราะน้องๆ จำได้ว่า calendar แปลว่าปฏิทิน แต่น้องเขียนไม่ได้เลยยย เริ่มต้นเขียนอักษรตัวแรกก็ไม่ถูกแล้ว
สัปดาห์ที่สอง
ตัดมาที่การสอนเลยนะครับ คราวนี้เราทำป้ายชื่อมาให้น้องๆใส่ เราจะได้เรียกชื่อน้องถูก เราให้น้องๆลองเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษดูทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุล ซึ่งใช้เวลาเป็นชั่วโมง (น้องไม่ถึง20คน) น้องไม่สามารถแยกสระกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษได้ และที่อึ้งที่สุดคนคือน้องคนนึง เขียนตัว N แบบผิดฝั่ง!! คือเริ่มลากเส้นจากบนลงล้างแล้วเฉียงขึ้นแล้วลง ........ พวกผมเงิบสิครับ ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ หลังจากนั้นเราก็สอนการแปลประโยค ซึ่งเราเตรียม passage ระดับที่ง่ายกว่า onet ป.6 นิดหน่อยมาให้ ซึ่งแน่นอนว่า น้องเบื่อ น้องไม่เข้าใจ น้องงอแง เราก็ยิ่งเหนื่อยสิครับ เห็นแบบนี้แล้วถอดใจไปกว่าครึ่ง
(ประมาณ)สัปดาห์ที่สาม
เรากลับมาที่การสอนคำศัพท์ต่างๆโดยโฟกัสที่คำศัพท์อวัยวะภายในร่างกาย เรามีเพลงประกอปการจำ มีชีทรูปภาพแจก และโฟกัสการสะกดคำมากขึ้น มีเกมส์ประกอบการสอนไปด้วย การสอนในสัปดาห์นี้ก็เป็นไปด้วยดี น้องไม่ได้เบื่อแบบสัปดาห์ที่แล้ว แต่พอลอง dictation น้อง น้องก็ผิด (แบบให้อภัยไม่ได้) อยู่เช่นเคย (เศร้า)
* เรื่องอยากเล่ากลางทาง *
- มาถึงตอนนี้เราก็เริ่มเข้าใจครูสอนคณิตนะ ที่สอนแล้วทำไมนักเรียนถึงงงขนาดนี้ มันรู้สึกเฟล รู้สึกอยากเลิก ไม่อยากทำต่อแล้ว
- น้องบอกผมว่าครูสอนอังกฤษที่รร.นี้สอน 2-3 วิชา !! และไม่ได้สอนแค่ป.6เท่านั้นด้วย
- น้องสามารถแปล CAT แมว DOG สุนัข HOME บ้าน ANT มด ได้นะครับ แต่!!ไม่สามารถเขียนได้ ไม่สามารถสะกด C-A-T ได้ และหลายๆคนเขินอายไม่กล้าตอบกลัวผิด (น้องไม่ได้ขี้อายนะครับ น้องคุยกับเราเก่งมาก)
- หลังจากสอนไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสนิทกับน้อง น้องเริ่มดื้อ เริ่มซน(มากก) เราก็อาจมีว้าก มีดุไปบ้างแต่ก็ทำเพื่อน้องๆน้า พอน้องเป็นเด็กดี เราก็เล่นด้วยตามปกติ
- ในห้องเรียนมีน้อง 2 คนที่เก่งกว่าเพื่อนมาก เราจึงแยกน้องทั้งสองออกมา เรามีพี่ติวเตอร์ให้แบบตัวต่อตัวครับ
- ช่วงหลังๆเราเปลี่ยนห้องเรียนครับ เพราะผอ.รร.ท่านอยากให้เราสอนสบายๆ จึงให้เรามาสอนห้องประชุมซึ่งเป็นห้องแอร์
สัปดาห์กลางๆ
ล้มเลิกหลักสูตรเก่าทิ้ง! เรากลับไปคิดกันว่า อยากให้สอนตามเดิมแต่ก็ไม่รู้ว่าน้องจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือจะเอาใหม่ เอาความรู้ที่น้องอาจจะนำไปสานต่อเองในทางภาษาอังกฤษได้ เรารู้ว่าน้องอ่านไม่ได้ น้องสะกดไม่ได้ น้องเขียนไม่ได้ เราจึงเริ่มสอน A-Z ครับแต่เราเน้นจริงๆที่การออกเสียงครับ เราพยายามให้น้องรู้ว่า B เทียบกับพยัญชนะไทยว่าอะไร อ่านว่าอะไร A,E,I,O,U คืออะไร ใช้ยังไง เทียบเป็นสระไทยเป็นตัวอะไร พอน้องจำได้แล้ว เราก็เริ่มประสมคำง่ายๆ ให้น้องอ่านออก และก็เริ่มสอนคำจริงๆพร้อมคำอ่านและความหมาย ซึ่งจากการ Dictation น้องๆทำได้ดีขึ้นมาก ทั้งๆที่บางคำไม่ได้สอนแต่น้องก็พอสะกดคำออกมาได้ถูกบ้างเกือบถูกบ้าง ซึ่งทำให้เรามองเห็นทางสว่างอยู่นิดๆ 555
สัปดาห์ท้ายๆ (ในที่สุดด)
หลังจากน้องพอมีความรู้เรื่องการอ่านเขียนแล้ว เราก็เริ่มสอนประโยคสั้นๆ ที่ใช้บ่อยๆ เช่น May I go to the restroom? ประโยคที่เราใช้ในรร. (เพราะครูเขารีเควสมา) น้องก็งงแหละครับ แต่เราก็พยายามจนน้องจำได้ และ! เขียน+ตอบโต้ประโยคนี้ได้ แต่ผมคิดว่าเดี๋ยวน้องก็คงลืมนะ 555 แต่สิ่งที่พวกผมต้องการให้น้องเข้าใจและจำได้มากที่สุดคือการอ่าน+การเขียนที่ได้สอนน้องไป เพราะนั่นจะเป็นพื้นฐานให้น้องพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
วันสุดท้าย (ถึงเวลาจาก)
วันสุดท้ายเราไม่มีการเรียนการสอนครับ น้องๆที่รร.จัดปาร์ตี้เล็กๆของคุณเรา เราก็ซึ้งแหละครับ รู้สึกเป็นครั้งแรกๆในชีวิตเลยที่ได้ทำอะไรแบบนี้ น้องเขาร้องเพลงให้ มอบดอกกุหลาบให้ เราก็บูมให้น้องฟัง กินขนมกันสนุกสนานครับวันนั้น ถึงรร.เราจะอยู๋ห่างกันไม่ถึง 5 กม. แต่เราก็จะเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย และน้องต้องย้ายรร.ขึ้นม.1 เราก็พอรู้ว่ามีโอกาสได้เจอกันอีกน้อย ก่อนจากผมก็หวังว่าน้องๆจะนำความรู้ที่พี่ๆได้ถ่ายทอดให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ไปสานต่อในการเรียนรู้วาภาษาอังกฤษต่อไป เมื่อโตขึ้นก็กลับมาพัฒนาโรงเรียนนี้ต่อไป
จากประสบการณ์นี้ผมคิดว่าการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดี (มั้ง) เราควรเริ่มเรียนด้วย การฟัง พูด อ่าน และจบที่การเขียน แน่นอนว่าพวกผมพร้อมผ้องเพื่อนไม่ได้ยกระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษให้กับน้องๆมากนัก แต่ก็อาจจะทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนเห็นถึงปัญหากับสังคมไทย ทำไมโรงเรียนขนาดเล็กถึงไม่เจริญก้าวหน้าสักที ทำไมครูถึงได้ขาดแคลนทั้งจำนวนและคุณภาพขนาดนี้ นักเรียนเหล่านี้ที่เก่งๆไม่กล้าเข้ารร.รัฐใหญ่ๆดีๆอันดับต้นของจังหวัด เพราะพ่อแม่ไม่สนับสนุน ไม่มีใครคอบแนะแนวการศึกษาก่อนขึ้นชั้นมัธยมให้
ผมอยากจะเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา หรือใครๆก็ตาม ที่มีเวลา มีจิตอาสา จับกลุ่มกันหันมาสนใจกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกไปถึงต่างจังหวัดก็มีโรงเรียนแบบนี้ อาจจะไปทำการสอนเป็นครั้งคราว หรือไปพัฒนาสร้างหรือซ่อมแซมอาคาร เพียงแค่นี้นอกจากคนในชุมชนจะดีใจแล้ว เราก็ยังจะอิ่มบุญ และอิ่มใจ เป็นอย่างมากกกกกกกอีกด้วย
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณครูที่ปรึกษาชุมนุม ครูหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และท่านผู้อำนวยการรร.ของผม ที่อนุญาตให้เราทำโครงการนี้ คอยให้คำแนะนำรวมถึงคอยรับส่งเราไปดำเนินกิจกรรมมาโดยตลอด และคุณแม่ผมที่ช่วยระดมทุนมาสร้างทางเดินเทปูนและสนามหญ้าเล็กๆให้กับรร.นี้ ขอบคุณเพื่อนๆที่รวมด้วยช่วยกันทำงานนี้ทั้งๆที่เหนื่อยท้อและเสียเวลาอ่านหนังสือเข้ามหาลัยมาทำงานนี้ มันสนุกมากๆ และรวมถึงทุกคนชาวพันทิปที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาอ่านประสบการณ์จากเด็กอายุ 17 คนนี้นะครับ