ประสบการณ์เด็กโตสอนเด็กรร.วัด (ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน แต่ความคิดเปลี่ยนไป)

สวัสดีคร้าบบบ กระทู้นี้ก็ช่วยๆอ่านกันหน่อยนะครับ แหะๆ อ่านตอนเข้าห้องน้ำก็ได้555 ผมว่าเรื่องนี้ก็มีข้อคิดเล็กๆน้อยๆอยู่บ้างนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจากประสบการณ์ของผมกับเพื่อนๆ ในช่วงชีวิตม.ปลายก่อนพวกเราจบการศึกษา มาเล่าให้อ่านเพลินๆรอมหาวิทยาลัยเปิด (ผมเพิ่งจบม.6 ครับ)
[รูปที่แปะ ผมเซนเซอร์หน้าไว้นะครับ เพราะไม่รู้กฎของพันทิปดีนัก]



ขอเท้าความก่อนนะครับ ผมเรียนอยู่รร.รัฐบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานีครับ ในช่วงม.6 (ปีการศึกษา 2557) ที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนๆในชุมนุมภาษาอังกฤษที่ในตอนแรกก็จัดตั้งขึ้นมาเล่นๆเพื่อหาอะไรทำระหว่างคาบชุมนุมของรร. พวกเรากับครูที่ปรึกษาชุมนุมคิดกันว่าพวกผมกับเพื่อนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษพอสมควร(เราเรียน EP และหลายๆคนผ่านการแลกเปลี่ยนตปท.) จึงอยากจะ "ลอง" ทำอะไรสักอย่างที่อาจจะช่วยน้องๆรร.เล็กๆในชุมชนของเราได้บ้าง

เราคิดโครงการที่จะไปสอนวิชาภาษาอังกฤษที่เราถนัดให้กับน้องๆนักเรียนในรร.ที่ไม่ไกลจากรร.ของพวกเรานักจะได้เดินทางสะดวก และพวกเราก็เลือกรร.หนึ่งซึ่งเป็นรร.วัด มีนักเรียนถึงแค่ป.6 มีนักเรียนทั้งรร.แค่ 50 กว่าคน โชคดีที่ผอ.รร.นั้นตอบรับโครงการของพวกผมทันที ^^

หลังจากนำเสนอโครงการต่อผอ.รร.ของผมผ่าน เราก็เริ่มดำเนินการทันที อย่างแรกที่เราทำคือออกแบบหลักสูตรการเรียน (ฟังดูดีใช่มั๊ยครับ) เราได้สอนนักเรียนระดับป.6 เราจึงเลือกที่จะสอนคำศัพท์รอบตัวก่อนแล้วขึ้นประโยคอย่างง่าย จนถึงแกรมม่าพื้นฐาน ซึ่งเรามีเวลาสอน 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (10 สัปดาห์) เราก็หวังว่าก่อนเราจะหมดหน้าที่การสอน น้องๆจะเริ่มเข้าใจ Past Simple แล้ว

สัปดาห์แรก
ทันทีที่เราก้าวลงมาจากรถมีน้องๆหลายคนวิ่งเข้ามาหาเราแล้วพูดว่า "สวัสดีค่ะ/ครับ พี่" พร้อมยกมือไหว้ ซึ่งไม่ได้มีแค่คนสองคนนะครับ แต่มีเป็นสิบๆคนที่วิ่งเข้ามาต้อนรับเราพี่ๆม.6  ...เราเดินขึ้นห้องเรียนชั้นสองที่เก่าพอสมควร นักเรียนตัวดำๆ ผอมบ้าง จ้ำม่ำบ้าง นั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ 555 ด้วยความที่เราอาจเป็นลูกคุณหนู 55 เพื่อนบางคนก็รู้สึกสงสารน้องๆที่ต้องเรียนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ถึงขนาดน้ำตาคลอ (มันไม่ได้เลวร้ายมากนะครับ แค่เพื่อนผม sensitive มาก) คาบแรกเราเริ่มสอน Aa Bb Cc... ก่อน จะได้พอรู้พื้นฐานของน้อง น้องพอท่องได้แต่ก็มีสับสนระหว่างพิมพ์ใหญ่และพิมเล็ก วันนั้นเราได้สอนคำศัพท์รอบๆตัวเช่น calendar, book, notebook, pen, pencil, watch, clock, water bottle เป็นต้น ซึ่งน้องจำได้เป๊ะมากกก จนเราพอมองเห็นทางในการสอน แต่ก่อนจะจบวันนั้นเราขอลอง dictation น้องๆ ซึ่งนั่นทำให้เราใจหายเพราะน้องๆ จำได้ว่า calendar แปลว่าปฏิทิน แต่น้องเขียนไม่ได้เลยยย เริ่มต้นเขียนอักษรตัวแรกก็ไม่ถูกแล้ว



สัปดาห์ที่สอง
ตัดมาที่การสอนเลยนะครับ คราวนี้เราทำป้ายชื่อมาให้น้องๆใส่ เราจะได้เรียกชื่อน้องถูก เราให้น้องๆลองเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษดูทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุล ซึ่งใช้เวลาเป็นชั่วโมง (น้องไม่ถึง20คน) น้องไม่สามารถแยกสระกับพยัญชนะในภาษาอังกฤษได้ และที่อึ้งที่สุดคนคือน้องคนนึง เขียนตัว N แบบผิดฝั่ง!! คือเริ่มลากเส้นจากบนลงล้างแล้วเฉียงขึ้นแล้วลง ........ พวกผมเงิบสิครับ ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ หลังจากนั้นเราก็สอนการแปลประโยค ซึ่งเราเตรียม passage ระดับที่ง่ายกว่า onet ป.6 นิดหน่อยมาให้ ซึ่งแน่นอนว่า น้องเบื่อ น้องไม่เข้าใจ น้องงอแง เราก็ยิ่งเหนื่อยสิครับ เห็นแบบนี้แล้วถอดใจไปกว่าครึ่ง


(ประมาณ)สัปดาห์ที่สาม
เรากลับมาที่การสอนคำศัพท์ต่างๆโดยโฟกัสที่คำศัพท์อวัยวะภายในร่างกาย เรามีเพลงประกอปการจำ มีชีทรูปภาพแจก และโฟกัสการสะกดคำมากขึ้น มีเกมส์ประกอบการสอนไปด้วย การสอนในสัปดาห์นี้ก็เป็นไปด้วยดี น้องไม่ได้เบื่อแบบสัปดาห์ที่แล้ว แต่พอลอง dictation น้อง น้องก็ผิด (แบบให้อภัยไม่ได้) อยู่เช่นเคย (เศร้า)



* เรื่องอยากเล่ากลางทาง *
- มาถึงตอนนี้เราก็เริ่มเข้าใจครูสอนคณิตนะ ที่สอนแล้วทำไมนักเรียนถึงงงขนาดนี้ มันรู้สึกเฟล รู้สึกอยากเลิก ไม่อยากทำต่อแล้ว ร้องไห้ รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ เราจึงมานั่งคิดกันใหม่
- น้องบอกผมว่าครูสอนอังกฤษที่รร.นี้สอน 2-3 วิชา !! และไม่ได้สอนแค่ป.6เท่านั้นด้วย
- น้องสามารถแปล CAT แมว DOG สุนัข HOME บ้าน ANT มด ได้นะครับ แต่!!ไม่สามารถเขียนได้ ไม่สามารถสะกด C-A-T ได้ และหลายๆคนเขินอายไม่กล้าตอบกลัวผิด (น้องไม่ได้ขี้อายนะครับ น้องคุยกับเราเก่งมาก)
- หลังจากสอนไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสนิทกับน้อง น้องเริ่มดื้อ เริ่มซน(มากก) เราก็อาจมีว้าก มีดุไปบ้างแต่ก็ทำเพื่อน้องๆน้า พอน้องเป็นเด็กดี เราก็เล่นด้วยตามปกติ
- ในห้องเรียนมีน้อง 2 คนที่เก่งกว่าเพื่อนมาก เราจึงแยกน้องทั้งสองออกมา เรามีพี่ติวเตอร์ให้แบบตัวต่อตัวครับ
- ช่วงหลังๆเราเปลี่ยนห้องเรียนครับ เพราะผอ.รร.ท่านอยากให้เราสอนสบายๆ จึงให้เรามาสอนห้องประชุมซึ่งเป็นห้องแอร์


สัปดาห์กลางๆ
ล้มเลิกหลักสูตรเก่าทิ้ง! เรากลับไปคิดกันว่า อยากให้สอนตามเดิมแต่ก็ไม่รู้ว่าน้องจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือจะเอาใหม่ เอาความรู้ที่น้องอาจจะนำไปสานต่อเองในทางภาษาอังกฤษได้ เรารู้ว่าน้องอ่านไม่ได้ น้องสะกดไม่ได้ น้องเขียนไม่ได้ เราจึงเริ่มสอน A-Z ครับแต่เราเน้นจริงๆที่การออกเสียงครับ เราพยายามให้น้องรู้ว่า B เทียบกับพยัญชนะไทยว่าอะไร อ่านว่าอะไร A,E,I,O,U คืออะไร ใช้ยังไง เทียบเป็นสระไทยเป็นตัวอะไร พอน้องจำได้แล้ว เราก็เริ่มประสมคำง่ายๆ ให้น้องอ่านออก และก็เริ่มสอนคำจริงๆพร้อมคำอ่านและความหมาย ซึ่งจากการ Dictation น้องๆทำได้ดีขึ้นมาก ทั้งๆที่บางคำไม่ได้สอนแต่น้องก็พอสะกดคำออกมาได้ถูกบ้างเกือบถูกบ้าง ซึ่งทำให้เรามองเห็นทางสว่างอยู่นิดๆ 555


สัปดาห์ท้ายๆ (ในที่สุดด)
หลังจากน้องพอมีความรู้เรื่องการอ่านเขียนแล้ว เราก็เริ่มสอนประโยคสั้นๆ ที่ใช้บ่อยๆ เช่น May I go to the restroom? ประโยคที่เราใช้ในรร. (เพราะครูเขารีเควสมา) น้องก็งงแหละครับ แต่เราก็พยายามจนน้องจำได้ และ! เขียน+ตอบโต้ประโยคนี้ได้ แต่ผมคิดว่าเดี๋ยวน้องก็คงลืมนะ 555 แต่สิ่งที่พวกผมต้องการให้น้องเข้าใจและจำได้มากที่สุดคือการอ่าน+การเขียนที่ได้สอนน้องไป เพราะนั่นจะเป็นพื้นฐานให้น้องพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

วันสุดท้าย (ถึงเวลาจาก)
วันสุดท้ายเราไม่มีการเรียนการสอนครับ น้องๆที่รร.จัดปาร์ตี้เล็กๆของคุณเรา เราก็ซึ้งแหละครับ รู้สึกเป็นครั้งแรกๆในชีวิตเลยที่ได้ทำอะไรแบบนี้ น้องเขาร้องเพลงให้ มอบดอกกุหลาบให้ เราก็บูมให้น้องฟัง กินขนมกันสนุกสนานครับวันนั้น ถึงรร.เราจะอยู๋ห่างกันไม่ถึง 5 กม. แต่เราก็จะเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย และน้องต้องย้ายรร.ขึ้นม.1 เราก็พอรู้ว่ามีโอกาสได้เจอกันอีกน้อย ก่อนจากผมก็หวังว่าน้องๆจะนำความรู้ที่พี่ๆได้ถ่ายทอดให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ไปสานต่อในการเรียนรู้วาภาษาอังกฤษต่อไป เมื่อโตขึ้นก็กลับมาพัฒนาโรงเรียนนี้ต่อไป



จากประสบการณ์นี้ผมคิดว่าการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดี (มั้ง) เราควรเริ่มเรียนด้วย การฟัง พูด อ่าน และจบที่การเขียน แน่นอนว่าพวกผมพร้อมผ้องเพื่อนไม่ได้ยกระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษให้กับน้องๆมากนัก แต่ก็อาจจะทำให้ผู้ใหญ่หลายๆคนเห็นถึงปัญหากับสังคมไทย ทำไมโรงเรียนขนาดเล็กถึงไม่เจริญก้าวหน้าสักที ทำไมครูถึงได้ขาดแคลนทั้งจำนวนและคุณภาพขนาดนี้ นักเรียนเหล่านี้ที่เก่งๆไม่กล้าเข้ารร.รัฐใหญ่ๆดีๆอันดับต้นของจังหวัด เพราะพ่อแม่ไม่สนับสนุน ไม่มีใครคอบแนะแนวการศึกษาก่อนขึ้นชั้นมัธยมให้
ผมอยากจะเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา หรือใครๆก็ตาม ที่มีเวลา มีจิตอาสา จับกลุ่มกันหันมาสนใจกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกไปถึงต่างจังหวัดก็มีโรงเรียนแบบนี้ อาจจะไปทำการสอนเป็นครั้งคราว หรือไปพัฒนาสร้างหรือซ่อมแซมอาคาร เพียงแค่นี้นอกจากคนในชุมชนจะดีใจแล้ว เราก็ยังจะอิ่มบุญ และอิ่มใจ เป็นอย่างมากกกกกกกอีกด้วย

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณครูที่ปรึกษาชุมนุม ครูหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และท่านผู้อำนวยการรร.ของผม ที่อนุญาตให้เราทำโครงการนี้ คอยให้คำแนะนำรวมถึงคอยรับส่งเราไปดำเนินกิจกรรมมาโดยตลอด และคุณแม่ผมที่ช่วยระดมทุนมาสร้างทางเดินเทปูนและสนามหญ้าเล็กๆให้กับรร.นี้ ขอบคุณเพื่อนๆที่รวมด้วยช่วยกันทำงานนี้ทั้งๆที่เหนื่อยท้อและเสียเวลาอ่านหนังสือเข้ามหาลัยมาทำงานนี้ มันสนุกมากๆ และรวมถึงทุกคนชาวพันทิปที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาอ่านประสบการณ์จากเด็กอายุ 17 คนนี้นะครับ



หากมีสิ่งใดของเนื้อหาในกระทู้นี้ที่ไม่สมควรหรือไม่เหมาะสม ผมขอยอมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่