ประสบการณ์ตรงกับโรค "กระดูกสันหลังคด" ค่ะ

สวัสดีค่า เราเป็นคนหนึ่งที่เป็นโรคกระดูกสันหลังคด ตอนนี้อายุ 20 ปี ผ่าตัดมาจะครบปีแล้วค่ะ
ที่มาตั้งกระทู้ก็เพราะอยากแชร์ประสบการณ์ เพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเครียดกับโรคนี้อยู่และหาที่พึ่งไม่ได้ คงจะกังวลและเคว้งคว้าง ไม่เป็นไรค่ะ เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว เราเข้าใจ วันนี้จะมาเล่าเรื่องทั้งหมดของเราให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบเลยละกันเนอะ ใครมีคำถามอะไรเรายินดีตอบทุกอย่างค่ะ
คนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้คงรู้จักโรคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดไรมากและน๊า โอเค๊??
เรื่องมันอาจจะยาวหน่อยนะคะเพราะเราตั้งใจจะเขียนทุกรายละเอียด สำหรับคนที่ต้องการรู้จริงๆ ถ้าขี้เกียจอ่านก็อ่านข้ามๆเอาละกานเนอะ

เรื่องมีอยู่ว่า เราเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นกระดูกสันหลังคดตอนจะเข้ามหาลัยค่ะ
ก่อนหน้านี้ก็มีเอะใจบ้างว่าเอ๊ะ ทำไมเอวเราสองข้างมันไม่เท่ากัน หลังก็ไม่เรียบ จะมีที่นูนๆออกมา
ซึ่งเพื่อนเราก็เคยทักนะคะตั้งแต่สมัยม.ต้น แต่เราไม่ได้สนใจอะไร
แม่ก็บอกว่า คนเรามันไม่มีใครเพอร์เฟคหรอกลูก ร่างกายเราก็ไม่ได้เป๊ะไปซะทุกจุดหรอก
เราก็เอ้อ ก็จริงของแม่ คือตอนนั้นบ้านเราไม่มีใครรู้จักโรคนี้เลย
จนเวลาผ่านไป เราก็เริ่มรักสวยรักงามมากขึ้น บางทีใส่เสื้อรัดรูป ใส่ชุดว่ายน้ำ มันเห็นได้ชัด เราเริ่มขาดความมั่นใจ
เพราะว่ามันคดมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าเห้ยย!! นี่มันไม่ปกติแล้วมั้งงงง
จำได้เลยมีอยู่วันหนึ่งอยู่ดีๆ อะไรดลใจไม่รู้ให้ไปเซิดกูเกิ้ลว่า ทำไมเราเอวไม่เท่ากัน
เท่านั้นแหละ ใจเราวูบเลยค่ะ!! คิดว่าตัวเองเป็นไอโรคนี้แน่ๆ คือมันใช่แน่ๆอ่ะ เพราะอาการมันตรงทุกอย่าง
ตอนนั้นเราไม่รู้เลยจริงๆนะคะว่าการที่เอวไม่เท่ากัน มันจะไปเกี่ยวกับกระดูกสันหลังได้ยังไง??
เราเลยรีบบอกแม่ให้พาไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลแถวบ้านเลยค่ะ
วินาทีที่เห็นฟิล์มตัวเองคือ ตกใจมาก!! ไม่เชื่อเลยจริงๆค่ะว่าเป็นของตัวเอง
เพราะเราหาข้อมูลทางอินเตอร์เนตมาบ้างแล้ว ถ้าคดไม่เกิน 40 องศาก็ไม่ต้องผ่า
แต่ถ้าเกิน มีทางเดียวคือต้องผ่าตัด และดูจากฟิล์มของตัวเองแล้ว พระเจ้า! คดเป็นตัว S ไปแล้ว!!
ในใจนี่ภาวนาอย่างเดียวว่าขอให้อย่าเกิน 40 ขอให้เขาหยิบฟิล์มผิดหรืออะไรก็ได้ คือเรากลัวมากๆ
สุดท้าย หมอบอกว่า ของเราคดไปประมาณ 50 เห็นจะได้!! คุณพระ พูดจริงงงง ตอนนั้นตัวเราชาๆไปเลยค่ะ
หมอแนะนำให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลชื่อดังด่วน เพราะโรงบาลที่เราไปมันเล็ก ไม่มีหมอที่ผ่าตัดโรคนี้ได้

จากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตเราไม่เคยอยู่สุขอีกเลย เครียดกันทั้งแม่ทั้งลูก วันๆเราเอาแต่เซิ้ดกูเกิ้ล อ่านกระทู้ที่ก็ไม่ค่อยจะมี หาชื่อหมอดังๆ
ที่ไหนว่าดี เราไปมาหมดแล้วค่ะในกรุงเทพ ทั้งรัฐและเอกชน เรียกได้ว่าช่วงนั้นเข้าออกรพ.เป็นว่าเล่นเลย
และหมอทุกคนก็แนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า เราควรทำการผ่าตัดให้เร็วที่สุด
"การผ่าตัด" ฟังดูเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับเรา เพราะเราเป็นคนที่ไม่เคยนอนรพ.เลยและเกลียดรพ.มากค่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่การผ่าตัดธรรมดาๆ แต่เป็นการขันสกรูเข้าไปในกระดูกสันหลังเราสองข้าง แล้วเอาเหล็กแท่งยาวๆใส่เข้าไปดามไว้สองแท่ง
ใส่เข้าไปแล้วไว้อย่างนั้นตลอดชีวิตไม่ต้องเอาออก บรึ๋ยยย บอกได้คำเดียวว่าสยอง!
แล้วลองนึกภาพตามดูนะคะ เราจะมีเหล็กในร่างกายไปตลอดชีวิต มีแผลเป็นยาวกลางหลัง
เราจะไม่สามารถทำอะไรหนักๆได้แบบคนปกติซะทีเดียว แถมมันจะต้องเจ็บโครตๆ! แค่คิดเราก็ไม่เอาแล้วค่ะ!!
ช่วงนั้นเราจิตตกมาก ออกจากรพ.ทีไรจะรู้สึกเฟลสุดๆ บางทีนอนๆอยู่ คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ร้องไห้น้ำตาแตกจนหลับไปเลย555
ถ้าคนเป็นแบบเราจะเข้าใจ ไม่มีใครอยากเป็นโรคแบบนี้ ไม่มีใครที่อยากจะผ่าหรอกค่ะ
เราก็พยายามหาวิธีที่จะรักษามันได้โดยไม่ต้องผ่า ซึ่งเราก็หาได้เยอะนะ แต่มันสำหรับคนที่เป็นน้อยๆ เท่านั้น
แค่คิดก็ใจแป้วอีกแล้วคร่าาา น้อยใจในชะตาชีวิตตัวเองสุดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เอาวะ ยังไงมันก็เป็นแล้ว เราต้องสู้กับมันให้ได้
ในระหว่างที่ตัดสินใจว่าจะผ่าหรือไม่ผ่า เราก็ไปหาทางเลือกในการรักษามาเยอะมากๆ
เราเชื่อว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ไปหาหมอมาเยอะที่สุดแล้ว ทั้งหมอศัลหลายคน หมอกายภาพ
และบินไปถึงสิงคโปร์ด้วยค่ะ เพราะไปเซิ้ดเจอว่ามันมีวิธีรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดได้!!
ตอนนั้นเราค่อนข้างฝากความหวังไว้ที่นี่เลยแหละ มันเป็นโปรแกรมที่มีต้นกำเนิดอยู่อเมริกา แต่คลินิกที่อยู่ใกล้เราที่สุดก็คือสิงคโปร์ค่ะ
เราก็ทำการติดต่อเสร็จสรรพเรียบร้อยและขอแม่ว่าจะไปลองดู ญาติๆเราก็บอกว่าดูแล้วไม่น่าเวิร์ค
แต่เข้าใจความรู้สึกคนเป็นไหมคะ? ถ้าหากไม่ได้ลอง เราคงยอมไม่ได้ เพราะอะไรที่ทำให้เราดีขึ้นได้ เรายอมทำหมด ณ ตอนนั้น
หลังจากที่ไปหาหมอ ไปดูคลินิกและวิธีการรักษาแล้ว เราก็ยอมค่ะ 5555
เพราะหมอก็บอกเคสเรามันท้าทายมาก พูดง่ายๆคือ เราเป็นหนัก ไม่ว่ากายภาพล้ำสมัยแค่ไหนก็ยากค่ะ
แต่ถ้าสำหรับคนเป็นน้อยๆ ก็มีหวังอยู่นะคะ เราเห็นมีคนไปรักษาที่โน่นเยอะพอสมควร
ส่วนค่ารักษาหรือรายละเอียด หลังไมค์มาได้นะคะ ขอบอกไว้เลยว่าแพงมากกก จริงๆ
ที่สำคัญ เราต้องกลับไปทำที่สิงคโปร์ทุกๆเดือน หรือสองเดือน แล้วแต่ผลการรักษาค่ะ
และไม่รู้ว่าต้องทำไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะถึงจะดีขึ้นแล้ว แต่กระดูกมันก็มีโอกาสที่จะกลับมาคดได้เหมือนเดิม
พอกลับจากสิงคโปร์เราก็จิตตกเหมือนเดิม แต่เราไม่ยอมแพ้ ไปหาที่ทำกายภาพต่อ (ที่ไหนขอไม่เอ่ยละกันเนอะ อยากรู้หลังไมค์มานะคะ)
ซึ่งการทำกายภาพเนี่ย จากประสบการณ์เราเลยนะคะ ส่วนตัวคิดว่าไม่เวิร์คค่ะสำหรับคนที่เป็นเยอะ
ถ้าเป็นน้อย แล้วไปทำเรื่อยๆ ก็อาจจะป้องกันไม่ให้คดมากขึ้น
แต่อย่าลืมนะคะว่าการทำกายภาพเราต้องมีวินัยกับตัวเองมากกกกกก
เรียกได้ว่า ห้าม!!ขี้เกียจเลยค่ะ ต้องทำทุกวัน วันละกี่นาทีก็ว่ากันไป
แล้วลองคิดดูนะคะ ว่ากว่ากระดูกมันจะคดได้เนี่ย มันใช้เวลากี่ปี
การที่เราไปทำท่าออกกำลังยืดตัวนี่โน่นวันละไม่กี่นาทีเพื่อทำให้กระดูกมันตรง
อย่างมากมันก็ตรงได้แค่ ณ ตอนนั้นค่ะ พอเรากลับมาสู่อิริยาบทเดิม กระดูกเรามันก็อยู่ในรูปที่คดเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น ส่วนตัวเราคิดว่ายากค่ะ ที่กายภาพจะช่วยอะไรได้
แต่เราก็เอ็นจอยนะตอนไปทำ มันรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรบางอย่างให้มันดีขึ้นล่ะวะ มโนรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะอันนี้555

ในระหว่างนั้นเราก็ไปหาศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ท่านหนึ่งเรื่อยๆ ที่รพ.ชื่อดัง เป็นคนที่เราตัดสินใจแล้วค่ะว่าถ้าจะผ่าก็คนนี้แหละ
เพราะว่าก่อนหน้านี้มีเพื่อนเราคนหนึ่งผ่ามาแล้ว เขาแนะนำมา ทำให้เราเชื่อใจหมอท่านนี้พอสมควร
เราก็ไปเอกซเรย์ทุกเดือนว่าคดมากขึ้นไหม และรอที่จะตกลงหาเวลาผ่าตัดกัน
คือตอนนั้น เราก็เริ่มทำใจได้แล้วละค่ะ ว่ามันคงไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆสำหรับเคสเรา และการไปรพ.ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ทุกครั้งที่ไปหาหมอออกมา เราต้องกัดฟันไม่ให้น้ำตาไหลทุกครั้ง ปากบอกทำใจได้ แต่จริงๆข้างในมันไม่ใช่อ่ะTT
จนในที่สุด เวลาอันสมควรก็มาถึง ปีที่แล้วเราปิดเทอมนานถึง 6 เดือน!!
เราก็บอกหมอว่า ขอเป็นหลังสงกรานต์นะ เพราะเราขอไปเที่ยวกับเล่นสงกรานต์ก่อน555
หมอก็โอเค ตกลงวันกันเรียบร้อย เรานี่ก็นับวันถอยหลังเลยค่าาา
เพื่อนเรานี่ก็น่ารักมาก พาเราไปดรีมเวิล เล่นแม่มทุกเครื่องเล่น เหาะโหนตีลังกาให้พอ ก่อนที่เราจะเล่นอะไรไม่ได้อีก5555
น่ารักจริงจริ๊งง ขอบใจพวกเองมากน้าาา
แล้วเวลามันก็ผ่านไปเร็วมากๆค่ะ เรานั่งหาข้อมูลไปเรื่อยทุกวัน ดูคลิปตามยูทูปอยู่บ่อยๆ
กะว่าจะดูให้หายกลัว แต่กลายเป็นยิ่งดูมันยิ่งหดหู่ซะงั้น555 การทำใจมันไม่ง่ายเลยจริงๆค่ะ


เดี๋ยวมาต่อน๊าาา ขอตัวไปทำธุระก่อนนะครัช
นี่ยังแค่จุดเริ่มต้นเองน้าเดี๋ยวจุดพีคจะตามมาคร้าาาา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่