ม็อกค่าปาท่องโก๋ : ทัศนะหนังไทย 'คุณชายอดัม' {ผีห่าอโยธยา เพชรพระอุมา และ pantip!}

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1198 ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2558


     “ม็อคค่าปาท่องโก๋” ในสัปดาห์นี้ ได้รับโอกาสสัมภาษณ์ผู้กำกับหนังแนวใหม่ล่าสุดของหนังไทย นั่นคือภาพยนตร์ “ซอมบี้พีเรียด” นั่นก็คือ “ผีห่าอโยธยา” ผลงานการกำกับของ “คุณชายอดัม” หรือ “หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล”

Mr. Coffee: อยากให้พูดถึงที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้

คุณชาย : ช่วงท้ายๆ หลังจากปิดกล้อง “สารวัตรหมาบ้า” แล้ว ผมกำลังคิดอยากทำหนังเรื่องต่อไป คือตอนนั้นคนกำลังฮิตพวก Warm Bodies มาก ผมจำได้เลยว่า Warm Bodies, Zombieland , Shaun of the dead หนังที่เป็นแนวแปลกใหม่ของซอมบี้ คือตอนนี้ฝรั่งรู้วิธีแล้วว่าจะทำให้หนังซอมบี้แตกต่างอย่างไร แต่ว่าคนไทยยังไม่รู้ เพราะคนไทยถ้าเกิดทำหนังซอมบี้ที่แตกต่าง ก็คือลอกฝรั่งนั่นเองนะครับ ทั้งแก๊งเพื่อนผม “ทอมมี่ เวอร์โกลา” ที่ทำ Hazel & Gretel: The Witch Hunter ทางฝั่งนั้นเขาก็ทำหนังของเขา แก๊งเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาเลยชื่อ Dead Snow เป็นนาซีซอมบี้ เมืองไทยก็มีพี่ๆ ที่ทำโพสต์เตติกพี่หมูวศิน สุจิตย์ ซึ่งเป็นคนทำ Hangover ทำหุ่นทำหมูระเบิดซึ่งพวกเขาก็ชวนผมตลอด

     ตัวผมเองนอกจากเป็นคนชอบแล้ว ก็ยังกลัวหนังซอมบี้มาก ก็นั่งอยู่กับพี่เต้งปรึกษากัน ทำซอมบี้พีเรียด สมัยอยุธยา เอาไอเดียตรงนี้จากพี่เต้งดีเจ สไปดาร์มังกี้ แล้วผมก็นำคิดต่อยอดออกมาเป็นเรื่องราว  ผมเองรู้จักประวัติศาสตร์ในช่วงสมเด็จพระนเรศวร เนื่องจากว่าเราทำรีเสิร์ชตรงนี้แล้ว ก็รู้ว่าโรคห่ามีในประวัติศาสตร์มาช้านาน ผมก็เลยเริ่มศึกษาว่าช่วงเวลาปีไหนที่เหมาะสม ช่วงที่เริ่มทำรีเสิร์ชคือช่วงสักประมาณปิดสารวัตรหมาบ้า ก.ค. ส.ค. 56 มาผมก็เริ่มเขียนบท ทำแคสติ้งซึ่งก็ไม่นานนะผมก็ได้ตัวละครครบทุกตัว จนได้เปิดกล้องจริงๆ ช่วงปี 57 ครับ

Mr. Coffee: ทำไมต้องชื่อผีห่าอโยธยา

คุณชาย  : ผีแทบจะทุกชนิดมีคนเคยสร้างเป็นหนังมาแล้ว  แต่ผีห่าเป็นผีชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในคำพูดของคนไทยมาตลอด “โรคห่า” ความจริงแล้วคือโรคระบาดชนิดหนึ่ง คือมันจะมี “โรคปัจจุบัน” เวลาได้ยินกับตำนานสมเด็จพระนเรศวรเป็น “โรคปัจจุบัน” พวกนี้คือเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจวาย ส่วน “โรคเรื้อรัง” อย่างเช่น เบาหวาน แต่ “โรคห่า” คือโรคที่เป็นโรคระบาด อย่างเช่น “อหิวาตกโรค” “ไข้ทรพิษ” หรือ “ซาร์” “อีโบล่า” พวกนี้

     ดังนั้นคนไทยจึงมีความเชื่อโบราณ ว่าเวลาเกิดโรคระบาดแต่ละครั้งมันเกิดจากผี ผมก็เลยคิดในใจว่าถ้าโรคห่าเกิดจากผี รูปร่างของผีชนิดนี้จะทำหน้าที่อย่างไร ก็ออกมาเป็นคนที่ติดเชื้อโรคแล้วก็ไปฆ่าคนอื่นมีการกัด พอกัดปุ๊บมันก็จะเป็นเชื้อโรคติดต่อ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นในสมัยที่อยู่อยุธยาละ ในสมัยนั้นตามพงศาวดารเปิดอ่านดูมันมีโรคห่าเกิดขึ้นตลอด  สิ่งที่เห็นในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ทำงานฆ่าคนอย่างไรในการแพร่โรคระบาดเหล่านี้  ก็เลยลองจินตนาการขึ้นมาเราลองคิดถึง Post-apocalyptic ใช่ไหมฮะ แต่นี่เป็น Pre-apocalyptic  มันเป็นยุคสมัยโบราณแล้วก็เหมือนวันสิ้นโลกในสมัยโบราณ ก็คิดออกมาเป็นตัวหนัง

Mr. Coffee: ข้ามไปถามถึงเพชรพระอุมา

คุณชาย : เราอยากทำครับ ทำน่ะ ไม่ยาก แต่มันมีค่าใช้จ่าย จริงๆ เงินทุนมันไม่ได้มหาศาล แต่ทุกคนคิดว่ามันมหาศาล เลยไม่มีใครกล้าลงทุนไงครับ เทคโนโลยีในปัจจุบันมันสร้างความเป็นไปได้ในงบที่โอเคมันมากกว่าหนังเรื่องอื่นแน่นอน แต่มันแค่ตัวละคร 12 ตัวในเรื่อง แต่ทุกคนกลัว กลัวว่าเป็นหนังท่านมุ้ยแล้วมันจะเยอะ  ซึ่งมันจะเป็นไปได้ไง เพราะหนังมันจะต้องเคารพในความเป็น “พนมเทียน” ดังนั้นมันจะไปทำเกินกว่านั้น ไปเขียนบทเพิ่ม มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องมีอยู่เท่านั้น ดังนั้นงบมันไม่ได้เยอะอย่างที่คิด แต่ก็ยังไม่มีใครให้งบ ถ้ามีคนให้ ก็ทำได้เลยครับ แค่นั้นเอง แต่ก็คงต้องเป็นร้อยล้านอยู่นะ แต่ไม่ใช่เป็นพันล้าน หรือเจ็ดแปดร้อยล้าน ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก งานหล่อโฟม งานฉีดโฟม พวกนี้ทำได้จริงหมดแล้ว แต่ทุกอย่างมันเป็นค่าใช้จ่ายหมด ทุกอย่างที่เห็นในหนังคือค่าใช้จ่าย แต่พวกเราอยากทำครับ เป็นเรื่องหนึ่งที่พ่ออยากทำเสมอ ผมก็อ่านเพชรพระอุมาเหมือนกัน อ่านแล้วก็ไม่ได้นอน (หัวเราะ)

     เราเห็นภาพเดียวกับพ่อเห็น แต่มันไม่ง่ายที่จะ Convince ทุกคน และการอยู่กับนักแสดงเป็นปีๆ นั้น ต้องหาคนที่ใช่จริงๆ 12 คน และใช้เวลาในการถ่ายทำนานมาก ไม่ง่ายที่จะหานักแสดงที่ใช่ที่สุด พระเอกทุกคนบอกว่าอยากเล่นหนังท่านมุ้ย ถึงเวลาจริงจะเล่นหรือเปล่า นักแสดงสมัยนี้มีมากน้อยแค่ไหนที่จะให้คิวเจ็ดเดือน ไม่ทำอย่างอื่น ซ้อมอย่างเดียว ผมไม่เห็น ดังนั้น ผมมองไม่เห็นนักแสดงคนไหนในปัจจุบันจะเป็น “รพินทร์ ไพรวัลย์” ได้ นอกจากปั้นดาราใหม่ รวมถึง “ดาริน วราฤทธิ์” ด้วย และแต่ละคนก็ต้องทุ่มเทนะ ชีวิตของคุณอาจจะหายไปอีก 7-8 ปี เหมือนนเรศวร นั่นล่ะครับ เพชรพระอุมาจึงเป็นงานที่เราพร้อมทำ แต่ปัจจัยภายนอกนั้นพร้อมหรือยัง ก็เท่านั้นเอง อันที่จริงการถ่ายทำมันก็เป็นแค่นักแสดง 12 คน ถ่ายทำในโรงรถ แล้วก็กาง Green Screen ในป่าจริงมันก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ต้อง Set ขึ้นมา พอทำแบบนี้ ส่วนใหญ่ ก็เป็น CG มันก็จะไปเหนื่อยที่ทีม CG งบที่จะต้องจ่ายให้ทีม CG เป็น Man-hour เพชรพระอุมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่อ่านปุ๊บ ใครๆ ก็บอกว่ามันน่าทำ แต่มีใครกล้าทำจริงๆ บ้าง

Mr. Coffee: ถามถึง Pantip.com

คุณชาย : ผมอยู่ Pantip ตั้งแต่รุ่นแรกเลยครับ ก่อนจะมีคลับเฉลิมไทยเสียอีก ผมคิดว่า Pantip เป็นพื้นที่กลางครับ ถ้าเราเห็นว่าประชาธิปไตย สามารถนำพาไปสู่ความเละเทะได้แค่ไหน Pantip ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือการไร้ระเบียบ ไร้กฎเกณฑ์ มันมีกฎอยู่ครับ แต่ครอบคลุมกว้างมาก คือการที่ทุกคนมีความคิดเห็น มีอิสรภาพในการด่า การชม การพูดคุยในระดับหนึ่ง ถ้าคุณใช้คำสุภาพ คุณก็สามารถโจมตีใครก็ได้บนโลก ก็แต่อย่ากักขฬะเกินมาตรฐาน จนเสียชื่อ Pantip ก็แค่นั้นเอง แต่ในส่วนที่มีสาระมันก็มี หรือเล่าเรื่องหนังโป๊ของตัวเองมันก็มี มีทุกแบบ เป็นพื้นที่อิสระที่ต้องพัฒนาเนื้อหาตัวเองให้มีอย่างต่อเนื่องด้วยถ้ามันมีเนื้อหาทุกรูปแบบ มันก็จะแพ้การแชร์บน Facebook

Mr. Coffee: Pantip มีอิทธิพลต่อหนังมากน้อยแค่ไหน

คุณชาย : ดูเป็นกรณีไป แต่ในด้านเศรษฐศาสตร์ ค่ายหนังทุกค่ายเห็นตรงกันว่า Pantip มีอิทธิพลต่อหนังในด้านลบเท่านั้นครับ ไม่มีอิทธิพลในด้านบวก คือมีอิทธิพลเบรกไม่ให้คนไม่ดูได้ แต่ไม่สามารถส่งเสริมให้คนที่ไม่ได้อยากดูไปดูหนัง กรณีที่ผมเคยเห็นว่ามันส่งเสริมได้คือกรณี “โหมโรง” นะ แต่ “โหมโรง” ก็ไม่ได้เกิดจาก Pantip ที่เดียว แต่เกิดจากหลายสื่อๆ หลายๆ หน่วยงานช่วยกันโปรโมท เพราะเสียดาย แต่คนที่พูดว่า “เป็นเพราะฉัน” ผมเห็นมีแต่ที่ห้อง “เฉลิมไทย” ใน Pantip

Mr. Coffee: ชอบดูหนังแนวไหน

คุณชาย : The Last Emperor / Thomas Crown Affair  / The Fifth Element หนังประเภทนี้ครับ หนังไทยในยุคหลังๆ ก็อย่าง “สยิว” ซึ่งมีความลงตัวของตัวละครนะ มีทิศทาง และท้ายที่สุดตัวละครต้องกลับมามองตัวเองจริงๆ “เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล” ผมก็ชอบ เป็นหนังที่ประดิษฐ์น้อย งานตกผลึกทางอารมณ์ แต่จริงผมก็ชอบหนังง่ายนะ ดูหนังง่ายด้วย แต่ชอบจริงๆ ก็คงเป็น “เสียดาย” เพราะหนังมีความลงตัวมาก อยู่ระหว่างหนังอาร์ทกับหนังตลาด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่