สิ่งต่างๆมีอยู่ ไม่งั้นถ้าเตะไปที่หินก็จะไม่เลือดไหล แนวคิดปรัชญาจากนักปราชญ์คนหนึ่งในยุคก่อน แสดงให้เห็นถึงคำถามที่ว่าสิ่งต่างๆมีอยู่จริงๆหรือไม่
คำถามดังกล่าวครอบคลุมถึงศาสตร์หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา แต่ละศาสตร์มีมุมมองต่อคำถามแตกต่างกัน
ในขณะที่คณิตศาสตร์ซึ่งได้ปะทะปัญหาต่อคำถามดังกล่าวเช่นกัน นักคณิตศาสตร์จะพอใจที่หลบไม่ตอบและวกเข้าไปสู่ความสวยงามของสมการที่อย่างไรก็จะมีความจริงแท้ที่สุด
ในทางวิทยาศาสตร์ สิ่งต่างๆกินความไปถึง กาลอวกาศ มวลสาร คลื่น และอนุภาค พลังงานและแรง เพิ่งจะมาระยะหลังเริ่มตระหนักถึงแนวคิดทางจิตหลังจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ทำให้เห็นถึงความสลับซับซ้อนที่มีอยู่ในธรรมชาติ รวมถึงความสามารถในการเข้าไปสังเกตวัดธรรมชาติว่าแท้จริงแล้วก็มีขีดจำกัดอยู่ระดับหนึ่ง
ในขณะที่ปรัชญานั้นแตกแยกไปหลายแนวทาง ส่วนมากจะเป็นการครุ่นคิด การใช้ตรรกระศาสตร์มาเป็นเครื่องมือบ้าง ใช้สุนทรีย์,อารมณ์และความเชื่อในการมองโลกบ้าง
ส่วนพุทธศาสตร์มีการแสดงถึง"สิ่งต่างๆ"หลากหลายแนวทาง ในคริสต์และอิสลามท่านว่าว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า
คำถามดังกล่าว คนส่วนมากตั้งแต่เกิดจนตายก็มักไม่เคยตอบ และไม่ต้องการจะถามซะด้วย ในขณะที่คนส่วนน้อยส่วนหนึ่งจะให้ความสนใจ
การแสดงธรรมชาติของสิ่งต่างๆให้เห็นไปครบสำหรับคนทุกภาคส่วนเป็นเรื่องยาก สำหรับวิทยาศาสตร์วิธีการเข้าไปอธิบายสิ่งต่างๆนั้นใช้ทักษะการเข้าไปหาสิ่งที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพราะแกติดว่า "ขนาด" และ"โลกสี่มิติ"เป็นจริง
ในขณะที่ทางพุทธใช้เทคนิคในการศึกษา"อายตนะ"บ้าง ซึ่งได้แก่"สิ่งที่ใช้สังเกตการณ์"ในวิทยาศาสตร์ การนับว่านามธรรมก็คือ"สิ่งต่างๆ"ที่ต้องสนใจมากกว่าบ้าง และท้ายที่สุดแท้จริงๆแล้วพุทธศาสตร์ดันไปเจอเรื่องดังกล่าวเพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย มากกว่าจะตอบคำถามเชิงปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์
การถักทอของ"สิ่งต่างๆ"
คำถามดังกล่าวครอบคลุมถึงศาสตร์หลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา แต่ละศาสตร์มีมุมมองต่อคำถามแตกต่างกัน
ในขณะที่คณิตศาสตร์ซึ่งได้ปะทะปัญหาต่อคำถามดังกล่าวเช่นกัน นักคณิตศาสตร์จะพอใจที่หลบไม่ตอบและวกเข้าไปสู่ความสวยงามของสมการที่อย่างไรก็จะมีความจริงแท้ที่สุด
ในทางวิทยาศาสตร์ สิ่งต่างๆกินความไปถึง กาลอวกาศ มวลสาร คลื่น และอนุภาค พลังงานและแรง เพิ่งจะมาระยะหลังเริ่มตระหนักถึงแนวคิดทางจิตหลังจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ทำให้เห็นถึงความสลับซับซ้อนที่มีอยู่ในธรรมชาติ รวมถึงความสามารถในการเข้าไปสังเกตวัดธรรมชาติว่าแท้จริงแล้วก็มีขีดจำกัดอยู่ระดับหนึ่ง
ในขณะที่ปรัชญานั้นแตกแยกไปหลายแนวทาง ส่วนมากจะเป็นการครุ่นคิด การใช้ตรรกระศาสตร์มาเป็นเครื่องมือบ้าง ใช้สุนทรีย์,อารมณ์และความเชื่อในการมองโลกบ้าง
ส่วนพุทธศาสตร์มีการแสดงถึง"สิ่งต่างๆ"หลากหลายแนวทาง ในคริสต์และอิสลามท่านว่าว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า
คำถามดังกล่าว คนส่วนมากตั้งแต่เกิดจนตายก็มักไม่เคยตอบ และไม่ต้องการจะถามซะด้วย ในขณะที่คนส่วนน้อยส่วนหนึ่งจะให้ความสนใจ
การแสดงธรรมชาติของสิ่งต่างๆให้เห็นไปครบสำหรับคนทุกภาคส่วนเป็นเรื่องยาก สำหรับวิทยาศาสตร์วิธีการเข้าไปอธิบายสิ่งต่างๆนั้นใช้ทักษะการเข้าไปหาสิ่งที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพราะแกติดว่า "ขนาด" และ"โลกสี่มิติ"เป็นจริง
ในขณะที่ทางพุทธใช้เทคนิคในการศึกษา"อายตนะ"บ้าง ซึ่งได้แก่"สิ่งที่ใช้สังเกตการณ์"ในวิทยาศาสตร์ การนับว่านามธรรมก็คือ"สิ่งต่างๆ"ที่ต้องสนใจมากกว่าบ้าง และท้ายที่สุดแท้จริงๆแล้วพุทธศาสตร์ดันไปเจอเรื่องดังกล่าวเพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย มากกว่าจะตอบคำถามเชิงปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์