
ไม่น่าเชื่อว่านักทำหนังซามูไรฮอลิวูดตะวันออกอย่างคุโรซาว่าจะสนใจประเด็นการ Modernization ในญี่ปุ่นด้วย เขาเล่าถึงวาตานาเบ้ ข้าราชการชั้นสูงที่ทำงานอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องมากแทบทั้งชีวิต เขาแทบไม่ลางานเลย งานของเขาน่าเบื่อจนกระทั่งหญิงสาวหนึ่งซึ่งน่าจะเพิ่งมาทำงานถึงกับทนไม่ไหวแล้วลาออกไป โดยให้เหตุผลว่ามันไม่มีอะไรแปลกใหม่ พรุ่งนี้ วันนี้ เมื่อวานนี้ ชีวิตเราก็เหมือนเดิม หนังเริ่มด้วยเรื่องราชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มาร้องทุกข์ว่าแหล่งน้ำใกล้ชุมชนของเขามันกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างดี ชาวบ้านเจ็บป่วยกันมาก เขาต้องการให้ทางราชการจัดการอะไรบางอย่างกับมัน ฉากที่เด็ดก็คงหนีไม่พ้น การเสียดสีการปฏิบัติงานของราชการที่ล้าช้า ส่งความรับผิดชอบให้ฝ่ายโน้นนี้ไปเรื่อยๆ จนพวกเขาทนไม่ไหวจึงเดินกลับไปอย่างสิ้นหวัง
วาตานาเบ้ เขาดูไม่มีความสุขเลย แม้ว่าที่บ้านจะเต็มไปด้านประกาศนียบัตรชื่นชมความซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน แต่สิ่งที่เขาได้จากความมุ่งมั่นตลอดเวลาหลายปี คือลูกชายสุดที่รักที่ตีตัวออกห่าง ไม่สนใจรับฟังความเห็นพ่อ ภรรยาของวาตานาเบ้เสียตั้งแต่ยังสาว นั่นแปลว่าถ้าไม่มีลูกชาย เขาก็เหลือใครอีก

วันหนึ่งเขาไปตรวจร่างกาย หมอไม่อยากบอกเขาตรงๆ ว่าเขาเป็นมะเร็งและจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือน แต่เขาก็รู้ตัว เพราะชายคนหนึ่งแอบบอกเขา หลังจากนั้น ชายที่ทุกวันเขาก็เรียกได้ว่าชีวิตผ่านเลยไปอย่างไร้ความหวังและความหมายอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องร้าย รู้ว่าเขาเองเหลือเวลาอีกไม่นาน เขาเลือกที่เมาเหล้า ไปเที่ยวผับบาร์ ตรงนี้เสียดสีสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัยหลังสงครามที่กำลังเดินตามตะวันตก เขารู้ตัวว่ามันไม่ได้มอบความสุขสงบอย่างแท้จริง และตัดสินใจกลับบ้าน (ที่ไม่อบอุ่น)
ระหว่างทางเขาพบโตโย่ หญิงสาวที่ตัดสินใจลาออกจาก ทั้งคู่เที่ยวเล่นด้วยกัน ราวกับว่าวาตานาเบ้ในย้อนวัยหนุ่มที่ขาดภรรยา ชิ้นส่วนในชีวิตนี้ที่ตกหล่นไป เขาได้พลังในการดำเนินชีวิต โตโย่คือความหวังของเขา เขาถึงกับออกปากว่า ตอนนี้เขาไม่มีใคร แม้แต่ลูกชาย โตโย่เริ่มรู้สึกถีงความผิดปกติในความสัมพันธ์ระหว่างเธอและวาตานาเบ้ เธอเริ่มตีตัวออกห่าง วาตานาเบ้พยายามเข้าพบเธอบอกว่า คืนนี้ขอเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน

หลังจากลาออกโตโย่ทำงานที่โรงงานทำของเล่น เธอมีความสุขกับวัยทำงาน ล้นเปี่ยมไปด้วยพลังในการดำเนินชีวิต วาตานาเบ้ชายที่อาวุโสกว่าถามเธออย่างสิ้นหวังงว่า เธอมีเคร็ดลับอย่างไรในการใช้ชีวิต เขาอยากมีความสุขในชีวิตแบบเธอ นั่นสะท้อนถึงปมในใจ ชีวิตของเขาหมดไปกับการทำงานอันหน้าเบื่อ ขาดความสร้างสรรค์ เขาควาทรงจำตลอดหลายปีการทำงาน เขาจำได้แค่ว่า “เขายุ่งมาก” เท่านั้นเอง
ห้องตรงข้ามกับโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารเย็นจัดงานวันเกิด (ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมงานของโตโย่) เราเคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่ว่า คนวัยหนุ่มสาวจะดีใจเมื่อถึงวันเกิดเพราะพวกเขาจะได้โตขึ้นมีวุฒิภาวะ แต่สำหรับคนแก่ พวกเขาจะเกลียดวันเกิด เพราะนั่นหมายถึงเวลาของพวกเขาเหลือน้อยลง วาตานาเบ้เช่นกัน

โตโย่ถามว่าวาตานาเบ้ว่า ทำไมคุณไม่ลองทำอะไรแปลกใหม่ หาเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลับไปทำงาน (หลังจากการขาดงานไปหลายสัปดาห์) เขาจัดการเรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียน ตามเรื่องดำเนินการให้ แม้ว่าหัวหน้าเขาจะไม่เห็นด้วย ปฏิเสธ หรือแม้กระทั่งข่มขู่ (โดยชาวที่มีแผลเป็นด้านขวา หมายถึงแนวคิดเอียงขวา) แต่ท้ายที่สุดเขาก็สร้างสนามเด็กเล่นบนแหล่งน้ำยุงลาย และเขาก็เสียชีวิตที่นั่นอย่างเดียวดาย แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำตามเป้าหมาย เขาคงมีความสุขไม่ใช่น้อย
หนังเองวิพากย์วิจารณ์นอกการจัดการที่ล้าช้าของรัฐบาล แล้วประเด็น Post-War คุโรซาว่าก็เล่าได้อย่างเผ็ดมัน วัฒนธรรมญี่ปุ่นถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมต่างชาติ (เพลงที่วาตานาเบ้ร้องถูกบรรเลงด้วยเปียโน, โสภเณี, ไนท์คลับ) ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวที่นับวันยิ่งแต่ห่างเหินเพราะต่างคนต่างต้องดิ้นรนในสังคมที่มีแต่การแข่งขัน เห็นเงิน ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าคนในครอบครัว (ลูกวาตานาเบ้คุยแต่เรื่องสมบัติของพ่อ ไม่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งจนกระทั่งท่านเสียชีวิต ทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน) พาร์ทหลังจากที่วาตานาเบ้ตายไปแล้ว คุโรซาว่าก็ใช้เทคนิค เล่าแบบแฟลชแบคผ่านการสนทนาของเหล่าเพื่อนร่วมที่วิพากย์วิจารณ์ถึงการกระทำของวาตานาเบ้

วาตานาเบ้บอกว่า “ผมจะบอกอะไรกับคุณนะ ผมไม่เคยบอกใครมาก่อน ทั้งชีวิตที่ผมทำงานอย่างหนัก ผมก็ทำเพื่อลูกนั่นแหละ ให้ลูกมันได้สบาย แต่ดูที่มันทำกับผมสิ มันไม่สนใจผมเลย” โตโย่ตอบว่า “คุณก็ไปโทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก เขาไม่เคยขอให้คุณทำงานหนักเลยน่ะ” บางทีเด็กเขาก็ต้องการแค่ความรักจากหัวใจของพ่อแม่เท่านั้นเอง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: To Live {Akira Kurosawa} [Japan], 1952
ไม่น่าเชื่อว่านักทำหนังซามูไรฮอลิวูดตะวันออกอย่างคุโรซาว่าจะสนใจประเด็นการ Modernization ในญี่ปุ่นด้วย เขาเล่าถึงวาตานาเบ้ ข้าราชการชั้นสูงที่ทำงานอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่องมากแทบทั้งชีวิต เขาแทบไม่ลางานเลย งานของเขาน่าเบื่อจนกระทั่งหญิงสาวหนึ่งซึ่งน่าจะเพิ่งมาทำงานถึงกับทนไม่ไหวแล้วลาออกไป โดยให้เหตุผลว่ามันไม่มีอะไรแปลกใหม่ พรุ่งนี้ วันนี้ เมื่อวานนี้ ชีวิตเราก็เหมือนเดิม หนังเริ่มด้วยเรื่องราชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มาร้องทุกข์ว่าแหล่งน้ำใกล้ชุมชนของเขามันกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างดี ชาวบ้านเจ็บป่วยกันมาก เขาต้องการให้ทางราชการจัดการอะไรบางอย่างกับมัน ฉากที่เด็ดก็คงหนีไม่พ้น การเสียดสีการปฏิบัติงานของราชการที่ล้าช้า ส่งความรับผิดชอบให้ฝ่ายโน้นนี้ไปเรื่อยๆ จนพวกเขาทนไม่ไหวจึงเดินกลับไปอย่างสิ้นหวัง
วาตานาเบ้ เขาดูไม่มีความสุขเลย แม้ว่าที่บ้านจะเต็มไปด้านประกาศนียบัตรชื่นชมความซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน แต่สิ่งที่เขาได้จากความมุ่งมั่นตลอดเวลาหลายปี คือลูกชายสุดที่รักที่ตีตัวออกห่าง ไม่สนใจรับฟังความเห็นพ่อ ภรรยาของวาตานาเบ้เสียตั้งแต่ยังสาว นั่นแปลว่าถ้าไม่มีลูกชาย เขาก็เหลือใครอีก
วันหนึ่งเขาไปตรวจร่างกาย หมอไม่อยากบอกเขาตรงๆ ว่าเขาเป็นมะเร็งและจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือน แต่เขาก็รู้ตัว เพราะชายคนหนึ่งแอบบอกเขา หลังจากนั้น ชายที่ทุกวันเขาก็เรียกได้ว่าชีวิตผ่านเลยไปอย่างไร้ความหวังและความหมายอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องร้าย รู้ว่าเขาเองเหลือเวลาอีกไม่นาน เขาเลือกที่เมาเหล้า ไปเที่ยวผับบาร์ ตรงนี้เสียดสีสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัยหลังสงครามที่กำลังเดินตามตะวันตก เขารู้ตัวว่ามันไม่ได้มอบความสุขสงบอย่างแท้จริง และตัดสินใจกลับบ้าน (ที่ไม่อบอุ่น)
ระหว่างทางเขาพบโตโย่ หญิงสาวที่ตัดสินใจลาออกจาก ทั้งคู่เที่ยวเล่นด้วยกัน ราวกับว่าวาตานาเบ้ในย้อนวัยหนุ่มที่ขาดภรรยา ชิ้นส่วนในชีวิตนี้ที่ตกหล่นไป เขาได้พลังในการดำเนินชีวิต โตโย่คือความหวังของเขา เขาถึงกับออกปากว่า ตอนนี้เขาไม่มีใคร แม้แต่ลูกชาย โตโย่เริ่มรู้สึกถีงความผิดปกติในความสัมพันธ์ระหว่างเธอและวาตานาเบ้ เธอเริ่มตีตัวออกห่าง วาตานาเบ้พยายามเข้าพบเธอบอกว่า คืนนี้ขอเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน
หลังจากลาออกโตโย่ทำงานที่โรงงานทำของเล่น เธอมีความสุขกับวัยทำงาน ล้นเปี่ยมไปด้วยพลังในการดำเนินชีวิต วาตานาเบ้ชายที่อาวุโสกว่าถามเธออย่างสิ้นหวังงว่า เธอมีเคร็ดลับอย่างไรในการใช้ชีวิต เขาอยากมีความสุขในชีวิตแบบเธอ นั่นสะท้อนถึงปมในใจ ชีวิตของเขาหมดไปกับการทำงานอันหน้าเบื่อ ขาดความสร้างสรรค์ เขาควาทรงจำตลอดหลายปีการทำงาน เขาจำได้แค่ว่า “เขายุ่งมาก” เท่านั้นเอง
ห้องตรงข้ามกับโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารเย็นจัดงานวันเกิด (ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมงานของโตโย่) เราเคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่ว่า คนวัยหนุ่มสาวจะดีใจเมื่อถึงวันเกิดเพราะพวกเขาจะได้โตขึ้นมีวุฒิภาวะ แต่สำหรับคนแก่ พวกเขาจะเกลียดวันเกิด เพราะนั่นหมายถึงเวลาของพวกเขาเหลือน้อยลง วาตานาเบ้เช่นกัน
โตโย่ถามว่าวาตานาเบ้ว่า ทำไมคุณไม่ลองทำอะไรแปลกใหม่ หาเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลับไปทำงาน (หลังจากการขาดงานไปหลายสัปดาห์) เขาจัดการเรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียน ตามเรื่องดำเนินการให้ แม้ว่าหัวหน้าเขาจะไม่เห็นด้วย ปฏิเสธ หรือแม้กระทั่งข่มขู่ (โดยชาวที่มีแผลเป็นด้านขวา หมายถึงแนวคิดเอียงขวา) แต่ท้ายที่สุดเขาก็สร้างสนามเด็กเล่นบนแหล่งน้ำยุงลาย และเขาก็เสียชีวิตที่นั่นอย่างเดียวดาย แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ทำตามเป้าหมาย เขาคงมีความสุขไม่ใช่น้อย
หนังเองวิพากย์วิจารณ์นอกการจัดการที่ล้าช้าของรัฐบาล แล้วประเด็น Post-War คุโรซาว่าก็เล่าได้อย่างเผ็ดมัน วัฒนธรรมญี่ปุ่นถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมต่างชาติ (เพลงที่วาตานาเบ้ร้องถูกบรรเลงด้วยเปียโน, โสภเณี, ไนท์คลับ) ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวที่นับวันยิ่งแต่ห่างเหินเพราะต่างคนต่างต้องดิ้นรนในสังคมที่มีแต่การแข่งขัน เห็นเงิน ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าคนในครอบครัว (ลูกวาตานาเบ้คุยแต่เรื่องสมบัติของพ่อ ไม่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งจนกระทั่งท่านเสียชีวิต ทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน) พาร์ทหลังจากที่วาตานาเบ้ตายไปแล้ว คุโรซาว่าก็ใช้เทคนิค เล่าแบบแฟลชแบคผ่านการสนทนาของเหล่าเพื่อนร่วมที่วิพากย์วิจารณ์ถึงการกระทำของวาตานาเบ้
วาตานาเบ้บอกว่า “ผมจะบอกอะไรกับคุณนะ ผมไม่เคยบอกใครมาก่อน ทั้งชีวิตที่ผมทำงานอย่างหนัก ผมก็ทำเพื่อลูกนั่นแหละ ให้ลูกมันได้สบาย แต่ดูที่มันทำกับผมสิ มันไม่สนใจผมเลย” โตโย่ตอบว่า “คุณก็ไปโทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก เขาไม่เคยขอให้คุณทำงานหนักเลยน่ะ” บางทีเด็กเขาก็ต้องการแค่ความรักจากหัวใจของพ่อแม่เท่านั้นเอง
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ https://www.facebook.com/survival.king