การกำหนดค่าแรงงานขั้นต่ำ ที่หลายคนมองว่า เป็นลักษณะ “คุ้มครองและส่งเสริมผลประโยชน์โดยค่าทดแทนกับผู้ใช้แรงงาน” แต่ก็ยังมีน้อยคนที่มองว่าเป็นมาตราการทางการเมืองเพื่อ “กระตุ้นและส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศในภาพรวม โดยกำหนดค่าทดแทนขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงาน” สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้ใช้แรงงานเป็นกลุ่มชนพื้นฐานเศษฐกิจ (กำลังซื้อ) ส่วนใหญ่ในสังคมนั้นๆ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำจึงมิได้ขึ้นอยู่ที่กับ สภาพความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน แต่จะขึ้นอยู่ที่การบริหารสถานะภาพทางเศษฐกิจของประเทศ นั่นเอง ครับ
การคิดคำนวนค่าแรงงานขั้นต่ำ ในแง่ของการบริหารเศษฐกิจภายใน คือการสร้างเงือนใขให้กับกำลังซื้อ อันมาจากค่าทดแทนของผู้ใช้แรงงานโดยประมาณ จาก ๑๐๐ %
ทีแบ่งประเภทที่เป็นเศษฐกิจภายในประเทศออกได้ดังเช่น
๑.) ค่าที่พักอาศัยและค่าร่วมบริการ (น้ำ – ไฟ – ขยะ – บำรุงซ่อมแซม)
หรือเศษฐกิจด้าน บริหารที่ดิน - ก่อสร้าง – พลังงาน – น้ำใช้ – วงจรปฏิกูลแปรรูป – ช่างฝีมือ
๒.) ค่าอาหารและค่าสุขภาพ
หรือเศษฐกิจ อุตสาหกรรมโภชนาพัณฑ์สำเหร็จรูป - อุตสาหกรรมการแพทย์พยาบาล และเภสัชพัณฑ์หรือสารเคมีแปรสภาพ
๓.) ค่าเดินทางและค่าสื่อสาร
หรือเศษฐกิจ คมนาคมขนส่งสาธารณะ – อุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสาร – เศษฐกิจบริการ
๔.) ค่าเครื่องใช้ประจำตัวและค่าครัวเรือน
หรือเศษฐกิจ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับจำเป็นประจำตัว และเครื่องใช้สอย
๕.) ค่าประกันภัยและค่าผูกพันธ์
หรือเศษฐกิจ ธนาคารและประกันภัย ค่าเลี้ยงดูและให้การศึกษา
โดยไม่รวมถึง เศษฐกิจทั่วไป หรือก็หมายรวมถึงเศษฐกิจภายนอกประเทศ อย่างเช่น
๖.) ค่าพักผ่อนและค่าบันเทิง
๗.) ค่าสินตกแต่งและค่าฟุ่มเฟือย
๘.) ค่าเก็บออมและค่าลงทุน
การวางค่าแรงขั้นต่ำ อันจะแบ่งส่วนปันจากกำลังซื้อ (ค่าใช้จ่ายจำเป็น) ใน ๕ ส่วนจะมีผลให้สามารถกระตุ้น พยุง หรือชะลอตัว ของเศษฐกิจนั้นๆ ตามสถานะการณ์ต้องการ อย่างเช่น การยกเลิกกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเงื่อนใขสำคัญที่ให้เกิดสภาวะเศษฐกิจภายในพยุงตัวและภายนอกชะลอตัว (เศษฐกิจนำเข้า) อันรวมถึงด้วยกับการชะลอตัวของพลังเคลื่อนใหวทางการเมือง ส่วนการปรับขึ้นก็จะมีผลถึง การกระตุ้นวงจรเศษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อให้กับ ข้อ ๖ ถึง๘ อันที่มีส่วนของเศษฐกิจนำเข้า เป็นต้น ครับ
ผมตั้งกระทู้ ที่เป็น คห.แน๊ะนำ เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนถึงการใช้ดุลย์พินิจในกรณีย์ค่าแรงขั้นต่ำ ครับ
คำถามเรื่อง การคิดคำนวนค่าแรงงาน อีกด้านหนึ่ง
การคิดคำนวนค่าแรงงานขั้นต่ำ ในแง่ของการบริหารเศษฐกิจภายใน คือการสร้างเงือนใขให้กับกำลังซื้อ อันมาจากค่าทดแทนของผู้ใช้แรงงานโดยประมาณ จาก ๑๐๐ %
ทีแบ่งประเภทที่เป็นเศษฐกิจภายในประเทศออกได้ดังเช่น
๑.) ค่าที่พักอาศัยและค่าร่วมบริการ (น้ำ – ไฟ – ขยะ – บำรุงซ่อมแซม)
หรือเศษฐกิจด้าน บริหารที่ดิน - ก่อสร้าง – พลังงาน – น้ำใช้ – วงจรปฏิกูลแปรรูป – ช่างฝีมือ
๒.) ค่าอาหารและค่าสุขภาพ
หรือเศษฐกิจ อุตสาหกรรมโภชนาพัณฑ์สำเหร็จรูป - อุตสาหกรรมการแพทย์พยาบาล และเภสัชพัณฑ์หรือสารเคมีแปรสภาพ
๓.) ค่าเดินทางและค่าสื่อสาร
หรือเศษฐกิจ คมนาคมขนส่งสาธารณะ – อุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสาร – เศษฐกิจบริการ
๔.) ค่าเครื่องใช้ประจำตัวและค่าครัวเรือน
หรือเศษฐกิจ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับจำเป็นประจำตัว และเครื่องใช้สอย
๕.) ค่าประกันภัยและค่าผูกพันธ์
หรือเศษฐกิจ ธนาคารและประกันภัย ค่าเลี้ยงดูและให้การศึกษา
โดยไม่รวมถึง เศษฐกิจทั่วไป หรือก็หมายรวมถึงเศษฐกิจภายนอกประเทศ อย่างเช่น
๖.) ค่าพักผ่อนและค่าบันเทิง
๗.) ค่าสินตกแต่งและค่าฟุ่มเฟือย
๘.) ค่าเก็บออมและค่าลงทุน
การวางค่าแรงขั้นต่ำ อันจะแบ่งส่วนปันจากกำลังซื้อ (ค่าใช้จ่ายจำเป็น) ใน ๕ ส่วนจะมีผลให้สามารถกระตุ้น พยุง หรือชะลอตัว ของเศษฐกิจนั้นๆ ตามสถานะการณ์ต้องการ อย่างเช่น การยกเลิกกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเงื่อนใขสำคัญที่ให้เกิดสภาวะเศษฐกิจภายในพยุงตัวและภายนอกชะลอตัว (เศษฐกิจนำเข้า) อันรวมถึงด้วยกับการชะลอตัวของพลังเคลื่อนใหวทางการเมือง ส่วนการปรับขึ้นก็จะมีผลถึง การกระตุ้นวงจรเศษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อให้กับ ข้อ ๖ ถึง๘ อันที่มีส่วนของเศษฐกิจนำเข้า เป็นต้น ครับ
ผมตั้งกระทู้ ที่เป็น คห.แน๊ะนำ เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนถึงการใช้ดุลย์พินิจในกรณีย์ค่าแรงขั้นต่ำ ครับ