วีรพงษ์ รามางกูร : การส่งออกสำคัญอย่างไร .... มติชนออนไลน์ ... /sao..เหลือ..noi

กระทู้คำถาม
เราคงจะสังเกตกันได้ ทุกครั้งที่เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา
ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มักจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับภาวะการส่งออกชะลอตัวและตลาดการ
ท่องเที่ยวซบเซาไปด้วย ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็มาพร้อมๆ กับกำลังซื้อของครัว
เรือนภายในและการลงทุนภายในประเทศก็ชะลอตัวลงไปด้วย เกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่อย่างนี้

เมื่อเกิดสภาวการณ์ดังกล่าว ก็มักจะมีนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายรัฐบาลออกมาให้ความเห็นว่า
เป็นเพราะประเทศเราพึ่งพาการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวมากเกินไป เราควร
จะลดความสำคัญของรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวลง หันมาเพิ่มความต้องการ
ของตลาดภายในประเทศให้มากขึ้น จะได้พึ่งพาตลาดต่างประเทศน้อยลง เศรษฐกิจของเรา
จะได้ไม่ขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดต่างประเทศ เมื่อตลาดส่งออกดี ตลาดการท่อง
เที่ยวฟื้นตัว ความเห็นเหล่านี้ก็หายไป ไม่มีใครทำอะไรต่อจนเมื่อเกิดภาวะซบเซาหรือชะลอตัว
ก็จะได้ยินความเห็นดังกล่าวนี้กลับมาอีก วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ยิน
อย่างนี้อีกแล้ว

สำหรับประเทศที่มีขนาดเล็ก มีประชากรไม่มาก อีกซ้ำยังมีรายได้ต่อหัวหรือต่อครัวเรือนต่ำ
หรือปานกลางก็แล้วแต่ การลงทุนผลิตอะไร ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางด้านการเกษตร เช่น ข้าว
ยางพารา น้ำตาล มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สับปะรด ไก่ ไข่ กุ้ง ปลากระป๋อง หรืออื่นๆ ถ้า
ผลิตแล้วใช้บริโภคในประเทศเท่านั้นก็ไม่มีทางจะปลูกหรือผลิตเป็นจำนวนมากจนให้ราษฎร
ยึดถือเป็นอาชีพได้ เพราะขนาดของตลาดที่เล็กมากเมื่อเทียบกับความสามารถหรือศักยภาพ
การผลิต สินค้าเกษตรหลายอย่างหลายชนิดที่เราผลิตอยู่ต้องพึ่งตลาดต่างประเทศมากกว่า
ตลาดในประเทศด้วยซ้ำ ที่เราผลิตแล้วส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศได้ก็เพราะเรามี
"ความได้เปรียบเชิงเทียบ" หรือ "comparative advantage" ในการผลิตสินค้าเหล่านี้ ถ้าไม่มี
ตลาดต่างประเทศให้เราส่งออกเราก็คงผลิตได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่เราผลิตได้ในขณะนี้

สินค้าทางด้านอุตสาหกรรมก็เหมือนกัน ถ้าจะผลิตให้มีต้นทุนต่อหน่วยถูกลง ก็ต้องผลิตของ
เป็นจำนวนมาก และมากกว่าที่ตลาดภายในประเทศต้องการ และต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
ด้วย หากจะผลิตเท่าที่ "ทดแทนการนำเข้า" หรือ "import substitute" เท่านั้นก็จะไม่มีทางมี
อุตสาหกรรมที่แข็งแรง ที่สามารถผลิตของที่มีคุณภาพหรือราคาถูก เพราะขนาดของตลาดที่
เล็กทำให้ผลิตได้น้อยและในที่สุดก็ต้องล้มไป เพราะสู้สินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศที่
เข้ามาตีตลาดไม่ได้ ถ้าไม่มีกำแพงภาษีช่วยคุ้มกันเพื่อให้มีราคาแพง การส่งออกของสินค้า
อุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญเหมือนกับสินค้าเกษตรกรรม

สําหรับเศรษฐกิจภาคบริการ เช่น โรงแรม รีสอร์ต ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ชายหาดริมทะเล การขายส่งขายปลีกภายในประเทศ รวมทั้งการขนส่ง สายการบินภายในประเทศ
และระหว่างประเทศ หากจะลงทุนเพื่อซื้อกันเองภายในประทศก็คงจะทำได้ไม่ยาก แต่เมื่อมี
นักท่องเที่ยวนักเดินทางจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาพักมาซื้อมาใช้บ้าง การลงทุนใน
อุตสาหกรรมภาคบริการก็ย่อมจะเป็นไปได้

รายรับจากการส่งออกสินค้าและบริการ แต่ละปีจะเพิ่มขึ้นมากหรือน้อย ย่อมประกอบไปด้วย
องค์ประกอบสำคัญๆ 3 อย่างด้วยกัน กล่าวคือ ปริมาณการส่งออก ราคาสินค้าหรือบริการที่
ส่งออกที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร หยวน เยน เป็นต้น และอัตรา
แลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินตราต่างประเทศเหล่านั้น

ถ้าปีใดปริมาณการส่งออกดี ราคาดี ค่าเงินบาทไม่แข็ง รายได้ของประชาชนผู้ผลิตสินค้าหรือ
บริการส่งออกก็จะสูง ถ้าปริมาณส่งออกสูงแต่ราคาไม่ดี ค่าเงินบาทแข็ง รายได้ของผู้ส่งออก
ก็จะไม่ดีเท่าในกรณีแรก เป็นต้น ดังนั้น ถ้าจะส่งเสริมการส่งออกให้ได้ผล ก็ต้องผลักดันปริมาณ
การส่งออกให้ได้มาก ซึ่งคงจะขึ้นอยู่กับว่า ราคาและคุณภาพสินค้าส่งออกของเราแข่งขันกับ
ผู้อื่นได้หรือไม่ เป็นของที่คู่กัน

ทีนี้ลองมาดูภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศบ้าง ถ้าปีใดราคาสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของเรา
เป็นต้นว่า ข้าว ยางพารา น้ำตาล มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม ไก่ กุ้ง อาหาร และอื่นๆ ส่งออกได้
ในปริมาณมาก ราคาดี ต่างประเทศมีความต้องการสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจ
ในบ้านเขาขยายตัวดี คนมีงานทำ อัตราการว่างงานมีน้อยลง ราคาสินค้าเกษตรและการประมง
เหล่านี้ดีขึ้นก็ทำให้รายได้ของครัวเรือนในชนบทซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมของ
เราเองสูงขึ้น ก็จะพลอยดึงภาคอุตสาหกรรมของเราให้ขยายตัวขึ้น แต่ถ้าปีใดการส่งออกของสินค้า
ภาคเกษตรซบเซา ทั้งปริมาณและราคา รวมทั้งค่าเงินบาทก็แข็งตัวด้วย รายรับของครัวเรือนใน
ภาคเกษตรก็จะซบเซา รายได้ของครัวเรือนก็จะชะลอตัว การบริโภคของครัวเรือนก็จะชะลอตัวลง
ไปด้วย

สำหรับภาคเกษตรนั้น ขณะที่ทำการผลิตเกษตรกรจะยังไม่ทราบว่าราคาที่ตนจะขายได้เป็นเท่าไหร่
ดังนั้น ราคาสินค้าเกษตรในฤดูเก็บเกี่ยวครั้งที่แล้วจึงมีความสำคัญมาก อย่างไรก็ตาม เกษตรกรมัก
ทำการผลิตอย่างเต็มที่เต็มกำลังอยู่เสมอ ไม่ว่าราคาสินค้าเกษตรจะออกมาอย่างไร อย่างมากก็
อาจจะมีการปลูกทดแทนกันบ้างระหว่างอ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ส่วนยางพาราซึ่งเป็นไม้
ยืนต้น การสับเปลี่ยนกันระหว่างปาล์มน้ำมันกับยางพาราต้องใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง

ภาคอุตสาหกรรม การตอบสนองต่อราคาและตลาดส่งออกจะไม่เหมือนภาคเกษตร ที่ผลิตใกล้
ระดับเต็มกำลังความสามารถหรือศักยภาพเสมอ ราคาที่ชาวไร่ชาวนาได้รับจึงเป็นตัวหลักในการ
ปรับขึ้นลง เช่นเดียวกันกับภาคบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคารที่พักผ่อนหย่อนใจ บริการการบิน
และอื่นๆ ส่วนภาคอุตสาหกรรมตัวที่เป็นตัวปรับขึ้นลงตามภาวะตลาดก็คือปริมาณการผลิต ซึ่งมัก
จะวัดด้วยสัดส่วนของการใช้กำลังการผลิตหรือ "capacity utilization" ว่าอุตสาหกรรมใช้กำลัง
การผลิตเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิต โดยเพิ่มหรือลดจำนวนแรงงานที่ใช้ในการผลิต
ซึ่งจะมีผลต่ออัตราการว่างงานที่มีการประกาศเสมอในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะจำนวนของ
ผู้รับจ้างกว่าร้อยละ 95 อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ

ปี 2558 เป็นปีที่โชคไม่ดี เพราะราคาสินค้าทุกชนิดตกหมด ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกประสบกับ
ปัญหาเศรษฐกิจชะงักงันซบเซา สืบเนื่องมาจากปี 2557 ที่ผ่านมาและคงจะต่อเนื่องมาปีนี้ด้วย

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าขั้นปฐม ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้าสำเร็จรูปต่างๆ ตั้งแต่
น้ำมันดิบ แร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งสินค้าเกษตรต่างๆ พากันลดราคาพร้อมๆ กันหมดทุกตัว ในที่สุด
ราคาน้ำมันก็พังทลายลง พร้อมๆ กับเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ประเทศรัสเซีย และอาจจะ
ลามต่อไปยังประเทศอื่น

รายได้ของครัวเรือนที่เป็นฐานสำคัญ สำหรับรองรับการขยายตัวของตลาดสินค้าภาคอุตสาหกรรม
บริการ รวมทั้งอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากการเกษตรต่างพากันหดตัวลงเพราะรายได้จากการส่งออก
ของเรา นอกจากไม่ขยายตัวแล้วยังหดตัวด้วยซ้ำไป

การจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐบาล ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ
เมื่อเทียบกับการส่งออกซึ่งมีสัดส่วนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และใน 18 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นงบประจำ
อันได้แก่ งบเงินเดือน ค่าจ้าง ครุภัณฑ์ ค่าใช้จ่ายประจำอื่นๆ เสีย 75 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง
25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่อาจจะใช้เพื่อนโยบายในการลงทุน การลงทุนสมัยนี้ก็ใช้เครื่องมือเครื่องจักร
และพลังงานเป็นส่วนใหญ่ และไม่มากพอที่จะไปชดเชยภาวะตกต่ำของราคาและปริมาณของการ
ส่งออก และยิ่งถ้าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งขึ้นไม่อ่อนลง ก็ยิ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อลดความซบเซาเศรษฐกิจได้เลย

การกระตุ้นผลักดันการส่งออกในปี 2558 นี้จึงจำเป็น

(ที่มา:มติชนรายวัน 15 ม.ค.2558)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1421314253


ผู้ส่งออกไทยวิ่งสู้ฟัดอียูตัดจีเอสพี ...ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/473179

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่