หากเราทุกคนหันมาปั่นจักรยาน จะทันช่วยโลกในอีก 50 นี้ไหม??
เคยสงสัยไหมว่า ตกลงโลกร้อนเป็นการสร้างกระแสเพื่อให้นายทุนใหญ่สามารถขายรถ hybrids หรือ สร้างตลาดขายแผง solar หรือ หันให้คนมาใช้พลังงานอย่างอื่นแทน การใช้น้ำมัน เนื่องจากน้ำมันของโลกจะหมดกันแล้ว
หากตัวเลขการใช้น้ำมันของทั้งโลกต่อวันคือ 85 ล้านบาร์เรลล์ (1 บาร์เรลล์ = 158.9 ลิตร์) คือ 13,506,500,000 ลิตร ต่อวัน จะทำให้เราๆสงสัยไหมว่าทำไมมีคนสร้างกระแสเพื่อให้ชาวโลกหันมาใช้พลังงานที่สะอาดกัน ปริมาณ CO2 ในอากาศปีนี้ 2015 วัดได้ 405 ppm,,,, มากน่ะ ในเมื่อสิ้นปี 2014 วัดได้ 395 ppm ซึ่งหมายถึง ยิ่งคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) มีมากเท่าไหร่ อุณหภึปกติของโลกก้อจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เหล่านี้คือผลกระทบเมื่อโลกมี CO2 มากในอากาศ,,,
เมื่อCO2 หรือคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ มีมากในอากาศเท่าใดทำให้อากาศร้อนมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าแม่น้ำ ต้นไม้ ดินและน้ำทะเล ทำหน้าที่ดูดซึมของเสียที่มนุษย์สร้าง และกักเก็บไว้บ้างแล้ว แต่ CO2 ในอากาศมีมากจนดินต้นไม้ใบหญ้าน้ำทะเลอาจจะกักเก็บได้ไม่ไหว จึงมีส่วนที่เหลือ และของเสียเห่านั้นจะลอยไปในชั้นบรรยากาศชั้นแรกของโลก เมื่อ CO2 รวมตัวกันมากขึ้นจะเป็นการเพิ่มความหนาทำให้ เกิดระบบ Greenhouse effect คือ....
ปกติเมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านมายังโลก แสงบางส่วนเมื่อกระทบผิวโลก เค้าก็จะสะท้อนกลับไปอวกาศ แต่บางส่วนจะถูกเก็บไว้โดยผิวของโลก เพื่อทำหน้าที่ให้โลกมีอุณหภูมิที่เหมาะสม เพราะถ้าหากโลกปล่อยความร้อนที่มาจากแสงอาทิตย์ออกจากโลกทั้งหมด อุณภูมิโลกจะอยู่ระหว่าง -19c ลงมา นั้นคืออะไรก้อไม่โตบนโลกนี้ เพราะอากาศหนาวเกินไป (ข้อมูลจาก CSIRO)
แต่หากเมื่อชั้นบรรยากาศชั้นแรกเต็มไปด้วย CO2 แสงที่เคยสะท้อนกลับไปชั้นบรรยากาศกลับถูกเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม CO2 ของโลก รวมกับแสงที่โลกเก็บไว้ เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างผิดปกติ นั้นน่ะเรียกว่า Global Warming
เมื่อโลกร้อนมากขึ้นทำให้น้ำแข็งจากที่สูง และ น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและโลกใต้ ละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นคาดการณ์ว่าภายในปี คศ 2035 (รายงานจาก CSIRO) จะไม่มีน้ำแข็งหรือหิมะหลงเหลือและระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 7-15 เมตร เมืองที่อยู่ติดกับทะเล จะกลายเป็นเมืองที่อยู่ใต้บาดาล เช่น London Shanghai ครึ่งประเทศBangladesh Washington California Maldives คือต่อไปเรื่อยๆสำหรับเมืองที่อยู่ใกล้ทะเล
สำหรับกรุงเทพ คุณ Dharmasaroja ให้สัมภาษณ์ กับหนังสือพิมพ์ TIME ว่าสมุทรปราการและส่วนหนึ่งของกรุงเทพจะเป็นเมืองบาดาลภายในปี คศ 2030
มีภาพประกอบ จุดสีแดงแสดงถึง พื้นที่ที่จะมีโอกาสได้รับผลกระทบของ GLOBAL WARMING ค่อนข้างรุนแรง จุดสีเหลืองและสีดำความรุนแรงจะลดหลั่นลงมา
ความแปรปรวนในอากาศที่คาดคะเนไม่ได้ เช่น อากาศจะร้อนขึ้นในเมืองหนาวจะร้อนอบอ้าว เช่น แถบอังกฤษในปี คศ 2050 จะต้องมีการระวังไฟป่ากัน ????? และเมืองที่ร้อนอยู่แล้วจะร้อนขึ้นไปอีก บางพื้นที่กลายเป็นทะเลทราย และบางพื้นที่ฝกตกชุกพายุรุนแรง ก่อความเสียหายหลายด้าน ทั้งขาดน้ำบริสุทธิ์ อากาศร้อนขึ้นเชื้อแบคทีเรียก็จะเยอะขึ้น !!!! ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะก่อความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสภาวะของอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเนื่องด้วย ปริมาณของ CO2 มีมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่โลกต้องทำคือการกำจัดของเสีย -คำพูดนี้มาจากคำอธิบายของ David Suzuki นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชาวแคนนาดา- โลกจะมีกลไกในการปรับตัวของโลกเมื่อมีของเสียมากจนทำให้สภาวะโลกเกิดความไม่สมดุลย์ โลกจะปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ต้องปรับไปด้วย ส่วนที่ปรับไม่ได้คงจะสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ ในยุคไดโนเสาร์เองโลกก็ปรับตัวจนทำให้เหล่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป นั้นเคยเกิดมาแล้ว
Dr. Stephen Schneider เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปี คศ 2010 หลังจากการต่อสู้กับคนทั้งโลก เพื่อให้หันมาสนใจโลกเราบ้าง รักษาโลกใบนี้ให้ถึงมือลูกหลานเหลนของเรา เพราะหากเราไม่ทำในปี คศ 2100 โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะทำให้เราๆชาวมนุษย์อาจสูญพันธุ์ไป เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของ IPCC แต่เลือกที่จะเปิดเผยความจริง จึงเลือกที่จะออกมาบรรยายเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของ CO2 ที่มนุษย์เราเป็นผู้สร้างและก่อให้เกิด Climate Change
สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันสายไปเสียแล้วที่จะนั่งโทษฝ่ายนู้นนี้ 'ผิด' มันคงไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ ต้องเริ่มปรับนิสัยความฟุ้มเฟื้อของมนุษย์ให้ลดการทิ้งขยะให้กับโลกบ้าง หันมาปูลกต้นไม้ดูแลรักษาโลกบ้าง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้กินได้ใช้ธรรมชาติเหมือนรุ่นเราๆ และถือโอกาสนี้สอนให้รุ่นหลังอย่าทำผิดซ้ำซ้อนอย่างที่เราๆทำ
หากนักวิทยาศาสตร์ บอกว่า 50% ของ CO2 ที่มนุษย์เป็นผู้ปล่อยนั้นทำลายโลก เราจะต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์รับรองว่า 98% ก่อนหรือ? ซึ่งปัจจุบัน หลายฝ่ายยอมรับว่า CO2 ที่อยู่ในอากาสตอนนี้ 98% เป็นฝีมือมนุษย์
จะสายไปไหม หากเราเปลี่ยนและปรับนิสัยความฟุ้มเฟื้อของเราตอนนี้ หรือ จะรอจนต้องให้น้ำท่วมถึงคอแล้วค่อยหาที่หลบภัยและวิธีแก้ไขปัญหากัน
ความเสียหายที่มนุษย์ได้ก่อมันเกิดขึ้นแล้วและเราเข้าไปแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจุบันได้โดยเริ่มต้นที่เรา หากหันมาปั่นจักรยานแทนการใช้รถหรือจะใช้รถโดยสารประจำทางหรือนั่งรถไฟฟ้า แทนการใช้รถส่วนตัว เพื่อโลก ,,,, ทำไมเราไม่ลองทำกัน ?
ปั่นจักรยานแล้วจะทันช่วยโลกไหม,,,!
เคยสงสัยไหมว่า ตกลงโลกร้อนเป็นการสร้างกระแสเพื่อให้นายทุนใหญ่สามารถขายรถ hybrids หรือ สร้างตลาดขายแผง solar หรือ หันให้คนมาใช้พลังงานอย่างอื่นแทน การใช้น้ำมัน เนื่องจากน้ำมันของโลกจะหมดกันแล้ว
หากตัวเลขการใช้น้ำมันของทั้งโลกต่อวันคือ 85 ล้านบาร์เรลล์ (1 บาร์เรลล์ = 158.9 ลิตร์) คือ 13,506,500,000 ลิตร ต่อวัน จะทำให้เราๆสงสัยไหมว่าทำไมมีคนสร้างกระแสเพื่อให้ชาวโลกหันมาใช้พลังงานที่สะอาดกัน ปริมาณ CO2 ในอากาศปีนี้ 2015 วัดได้ 405 ppm,,,, มากน่ะ ในเมื่อสิ้นปี 2014 วัดได้ 395 ppm ซึ่งหมายถึง ยิ่งคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) มีมากเท่าไหร่ อุณหภึปกติของโลกก้อจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เหล่านี้คือผลกระทบเมื่อโลกมี CO2 มากในอากาศ,,,
เมื่อCO2 หรือคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ มีมากในอากาศเท่าใดทำให้อากาศร้อนมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าแม่น้ำ ต้นไม้ ดินและน้ำทะเล ทำหน้าที่ดูดซึมของเสียที่มนุษย์สร้าง และกักเก็บไว้บ้างแล้ว แต่ CO2 ในอากาศมีมากจนดินต้นไม้ใบหญ้าน้ำทะเลอาจจะกักเก็บได้ไม่ไหว จึงมีส่วนที่เหลือ และของเสียเห่านั้นจะลอยไปในชั้นบรรยากาศชั้นแรกของโลก เมื่อ CO2 รวมตัวกันมากขึ้นจะเป็นการเพิ่มความหนาทำให้ เกิดระบบ Greenhouse effect คือ....
ปกติเมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านมายังโลก แสงบางส่วนเมื่อกระทบผิวโลก เค้าก็จะสะท้อนกลับไปอวกาศ แต่บางส่วนจะถูกเก็บไว้โดยผิวของโลก เพื่อทำหน้าที่ให้โลกมีอุณหภูมิที่เหมาะสม เพราะถ้าหากโลกปล่อยความร้อนที่มาจากแสงอาทิตย์ออกจากโลกทั้งหมด อุณภูมิโลกจะอยู่ระหว่าง -19c ลงมา นั้นคืออะไรก้อไม่โตบนโลกนี้ เพราะอากาศหนาวเกินไป (ข้อมูลจาก CSIRO)
แต่หากเมื่อชั้นบรรยากาศชั้นแรกเต็มไปด้วย CO2 แสงที่เคยสะท้อนกลับไปชั้นบรรยากาศกลับถูกเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม CO2 ของโลก รวมกับแสงที่โลกเก็บไว้ เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างผิดปกติ นั้นน่ะเรียกว่า Global Warming
เมื่อโลกร้อนมากขึ้นทำให้น้ำแข็งจากที่สูง และ น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและโลกใต้ ละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นคาดการณ์ว่าภายในปี คศ 2035 (รายงานจาก CSIRO) จะไม่มีน้ำแข็งหรือหิมะหลงเหลือและระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 7-15 เมตร เมืองที่อยู่ติดกับทะเล จะกลายเป็นเมืองที่อยู่ใต้บาดาล เช่น London Shanghai ครึ่งประเทศBangladesh Washington California Maldives คือต่อไปเรื่อยๆสำหรับเมืองที่อยู่ใกล้ทะเล
สำหรับกรุงเทพ คุณ Dharmasaroja ให้สัมภาษณ์ กับหนังสือพิมพ์ TIME ว่าสมุทรปราการและส่วนหนึ่งของกรุงเทพจะเป็นเมืองบาดาลภายในปี คศ 2030
มีภาพประกอบ จุดสีแดงแสดงถึง พื้นที่ที่จะมีโอกาสได้รับผลกระทบของ GLOBAL WARMING ค่อนข้างรุนแรง จุดสีเหลืองและสีดำความรุนแรงจะลดหลั่นลงมา
ความแปรปรวนในอากาศที่คาดคะเนไม่ได้ เช่น อากาศจะร้อนขึ้นในเมืองหนาวจะร้อนอบอ้าว เช่น แถบอังกฤษในปี คศ 2050 จะต้องมีการระวังไฟป่ากัน ????? และเมืองที่ร้อนอยู่แล้วจะร้อนขึ้นไปอีก บางพื้นที่กลายเป็นทะเลทราย และบางพื้นที่ฝกตกชุกพายุรุนแรง ก่อความเสียหายหลายด้าน ทั้งขาดน้ำบริสุทธิ์ อากาศร้อนขึ้นเชื้อแบคทีเรียก็จะเยอะขึ้น !!!! ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะก่อความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสภาวะของอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเนื่องด้วย ปริมาณของ CO2 มีมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่โลกต้องทำคือการกำจัดของเสีย -คำพูดนี้มาจากคำอธิบายของ David Suzuki นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชาวแคนนาดา- โลกจะมีกลไกในการปรับตัวของโลกเมื่อมีของเสียมากจนทำให้สภาวะโลกเกิดความไม่สมดุลย์ โลกจะปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ต้องปรับไปด้วย ส่วนที่ปรับไม่ได้คงจะสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ ในยุคไดโนเสาร์เองโลกก็ปรับตัวจนทำให้เหล่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป นั้นเคยเกิดมาแล้ว
Dr. Stephen Schneider เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปี คศ 2010 หลังจากการต่อสู้กับคนทั้งโลก เพื่อให้หันมาสนใจโลกเราบ้าง รักษาโลกใบนี้ให้ถึงมือลูกหลานเหลนของเรา เพราะหากเราไม่ทำในปี คศ 2100 โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะทำให้เราๆชาวมนุษย์อาจสูญพันธุ์ไป เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของ IPCC แต่เลือกที่จะเปิดเผยความจริง จึงเลือกที่จะออกมาบรรยายเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของ CO2 ที่มนุษย์เราเป็นผู้สร้างและก่อให้เกิด Climate Change
สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันสายไปเสียแล้วที่จะนั่งโทษฝ่ายนู้นนี้ 'ผิด' มันคงไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ ต้องเริ่มปรับนิสัยความฟุ้มเฟื้อของมนุษย์ให้ลดการทิ้งขยะให้กับโลกบ้าง หันมาปูลกต้นไม้ดูแลรักษาโลกบ้าง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้กินได้ใช้ธรรมชาติเหมือนรุ่นเราๆ และถือโอกาสนี้สอนให้รุ่นหลังอย่าทำผิดซ้ำซ้อนอย่างที่เราๆทำ
หากนักวิทยาศาสตร์ บอกว่า 50% ของ CO2 ที่มนุษย์เป็นผู้ปล่อยนั้นทำลายโลก เราจะต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์รับรองว่า 98% ก่อนหรือ? ซึ่งปัจจุบัน หลายฝ่ายยอมรับว่า CO2 ที่อยู่ในอากาสตอนนี้ 98% เป็นฝีมือมนุษย์
จะสายไปไหม หากเราเปลี่ยนและปรับนิสัยความฟุ้มเฟื้อของเราตอนนี้ หรือ จะรอจนต้องให้น้ำท่วมถึงคอแล้วค่อยหาที่หลบภัยและวิธีแก้ไขปัญหากัน
ความเสียหายที่มนุษย์ได้ก่อมันเกิดขึ้นแล้วและเราเข้าไปแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจุบันได้โดยเริ่มต้นที่เรา หากหันมาปั่นจักรยานแทนการใช้รถหรือจะใช้รถโดยสารประจำทางหรือนั่งรถไฟฟ้า แทนการใช้รถส่วนตัว เพื่อโลก ,,,, ทำไมเราไม่ลองทำกัน ?