บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-20/49 ชีวิตดั่งบทละครซ่อนปม



ปี 2523 เป็นปีที่น่าจดจำและน่าตื่นเต้นสำหรับเราอยู่อย่าง ทั้งยังเป็นปีที่เราเฝ้าจดจ่อรอคอยอย่างปลากระดี่รอน้ำนั่นเชียว เพราะว่าเราจะบรรลุอะไรบางอย่างที่มีความหมาย นิติภาวะไงเล่า ทีนี้เราก็ทำธุรกรรมทางกฎหมายบางอย่างได้แล้ว และหนึ่งในนั้นคือ การขจัดชื่อ " เอ็งฟาย" ออกไปจากสารบบชื่อน่าล้อแห่งจักรวาล

เราเปิดหาชื่อที่จะเปลี่ยนอยู่นานพอดูทีเดียว สุดท้ายก็มาลงเอยที่ชื่อ " นรินทร์" เราว่ามันไม่ค่อยโหลดี แถมพระเอกละครในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีใครใช้ชื่อนี้ซะด้วย ที่แน่ ๆ ความหมายก็ไม่เบาเลย เพราะมาจากคำสองคำคือ " นร" แปลว่าคน หรือชาย " อินทร์" แปลว่าใหญ่ ความหมายโดยรวมจึงเป็น " ผู้ยิ่งใหญ่" 555 ผ่านไปหลายปี ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้ยิ่งเล็กมากขึ้นทุกวันซะล่ะมากกว่า นับวันก็จะเป็นที่ลืมเลือนของผู้คนมากขึ้นทุกที สงสัยต้องลุกขึ้นมาสร้างสถิติโลกพิศดารอะไรซักอย่างซะแล้วสิเรา แบบว่าเอาหัวถูบ้าน 20 หลังภายในสองชั่วโมง หรือไม่ก็ลงทุนสร้างไม้แคะหูที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือว่า.......... ชักจะเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว อ้อ มีครูผู้ชายคนนึงอุตส่าห์ตามมาแซวชื่อใหม่เราอีกจนได้นะ เค้าบอกว่า "นิร" แปลว่าไม่มี บวกกับอินทร์ที่แปลว่าใหญ่ เลยแปลรวม ๆ ได้ว่า " ไม่มีอะไรใหญ่" ดุดู๊ดู ดูครูทำ ดูซิครูทำกับเราได้ มันน่านักเชียว

เอาเป็นว่า ท้ายที่สุดเราก็ได้ชื่อ" นรินทร์" มาไว้ในครอบครอง ทีนี้ใครถามว่าชื่ออะไร ก็ยืดอกตอบอย่างภาคภูมิได้เลยว่า " นรินทร์ครับผม" ไม่ต้องอ้อม ๆ แอ้ม ๆ กระมิดกระเมี้ยนตอบ แล้วให้อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเห็นแมวกำลังยืนทอดปลาทูอยู่ในครัวก็มิปาน แล้วร้องถามอีกทีว่า " หา อะไรนะ" พูดถึงเรื่องชื่อแล้วก็นึกถึงวัฒนธรรมการล้อชื่อพ่อชื่อแม่กัน นิตยสารสารคดีน่าจะทำสำรวจซักหน่อยนะว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง ชาติพันธุ์อื่นเค้าเป็นแบบเราบ้างมั้ย เพื่อนในห้องคนนึงมันชื่อ " สมทัย" พ่อมันชื่อ " ฟงหนี" ตอนนั้นเพลงชาตรีเพลงนึงกำลังดังพอดิบพอดี มันมีท่อนนึงที่ร้องว่า " สมใจก็บินหนี" ช่วงพักก็มักจะมีคนชงมาก่อนด้วยการร้องท่อนอื่นมาเรื่อย ๆ พอมาถึงท่อนนี้ ทุกคนในห้อง ( ยกเว้นเหยื่อผู้น่าสงสาร )ก็จะพร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องว่า " สมทัยลูกฟงหนี สมทัยลูกฟงหนี" จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารมันเหมือนกันนะ แต่ถ้าจะโทษก็ต้องโทษวงชาตรีนั่นแหละ ดั๊นแต่งเนื้อมาคล้องจองโชะเด๊ะซะขนาดนั้น แล้วใครมันจะอดใจไหวล่ะครับ จริงมั้ยท่านผู้ชม

เรื่องนี้ยังมีภาคสองด้วยนะเออ วันนึงให้มีเหตุต้องโทรไปหาคุณสมทัยที่บ้าน และความที่ล้อชื่อพ่อมันจนติดปาก พอปลายสายรับปั๊บ เราก็ทันทีเลย " ขอสายฟงหนีด้วยครับ"
" เอ่อ ( ท่าทางอึ้ง ๆ) ผมฟงหนีกำลังพูดครับ"
" เอ่อ ( ท่าทางงานจะเข้า ) อ่า คือ จะขอพูดสายกับสมทัยน่ะครับ "
เตี่ยเราสิเด็ด ชื่อ " ฮกจู" มันเลยล้อกันลำบาก เพราะล้อยังไงก็ไม่มันปาก " บุญนาง" ชื่อแม่เราก็ไม่ติดอันดับชื่อชวนล้อซะด้วยสิ เราเลยได้กำไรบานเบอะเลยในตลาดการล้อเลียนชื่อบุพการีแห่งสยามประเทศนี้

ตอนปลายเทอม ม.ศ. 3 ที่โรงเรียนจัดงานนิทรรศการครั้งใหญ่ใช้ชื่อว่า " รำเพยสร้างสรรค์" เป็นงานแสดงผลงานด้านวิชาการ โครงงานวิทยาศาสตร์" ของเด็กเทพฯ งานนี้จะมีนักเรียนแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศทีเดียวเชียว เราเองก็อยู่ประจำที่โครงงานนึงเหมือนกัน เจอชื่อปักหน้าอกแปลก ๆ ก็จะคอยถามตลอดว่ามาจากที่ไหนกันบ้าง และแล้วก็ไปเจอ " ว.ว." สีน้ำเงิน ได้คำตอบกลับมาว่า " วัดสังเวชวิศยาราม" พอเด็กพวกนั้นเดินไปถึงจุดระยะนินทาลับหลังได้แล้ว เราก็หันไปพูดกับเพื่อนว่า " เฮ้ย ฟังชื่อโรงเรียนมันดิ โคตรตลกเลยว่ะ ใครจะอยากไปเรียนวะ วัดสังเวช"

ราวกับมีคนเขียนบทให้มันพลิกผันชวนอึ้งยังไงยังงั้นเลย เพราะเปิดเทอม ม.ศ.4 ปีนั้น หน้าอกข้างซ้ายของเราไม่ได้ปัก ท.ศ.ซะแล้ว แต่เปลี่ยนเป็น ว.ว. วัดสังเวชวิศยาราม แทน ( เอ้า พักอึ้งได้ 10 วินาที 10 ...9..8...7...6..5...4...3...2...1...) ที่มาที่ไปมีดังนี้ ช่วงอีกราวเดือนนึงจะเปิดเทอมใหม่ เราก็ไปที่โรงเรียนเพื่อดูประกาศว่า ม.ศ.4 เราจะได้เรียนห้องไหน ดูกี่รอบ ๆ กี่รอบก็ไม่ยักกะมีชื่อเราแฮะ สุดท้ายเลยขึ้นตึกไปถามอาจารย์ประจำชั้นเดิม เค้าเลยบอกข่าวช็อคซีนีม่าว่า เราโดนจำหน่ายชื่อออกจากโรงเรียนไปแล้วเรียบร้อย คำตอบที่ได้คือ เพราะว่าเรามาสายบ่อย เลยอยากให้ไปปรับตัวที่อื่น อืมมมมมม เหตุผลฟังเข้าท่ามาาาาาาาาาาาาาาาาาาากกกกกกกกกกกกกกกกกกเลยนะครับ เด็กห้องคิงที่เรียนได้ระดับแปดสิบเปอร์เซ็นต์โดนไล่ออกจากโรงเรียนแบบไม่ รู้เหนือรู้ใต้ด้วยเหตุผลแมว ๆ เนี่ยนะ

เหมือนโลกถล่มทลายลงตรงหน้าเลยในนาทีนั้น เรารู้เลยว่าอาการเดินคอตกเป็นยังไง ทว่าในน้ำเน่ายังเห็นเงาจันทร์อำไพ ฉันใดก็ฉันเพล ในเรื่องร้ายก็มีเรื่องดีแซมแทรกอยู่เช่นกัน เย็นวันนั้น เรานั่งร้องไห้หัวใจสลายอยู่ที่โต๊ะกินข้าวที่บ้าน พี่ชายที่มีเรื่องเคืองใจและไม่พูดคุยกันมาหลายเดือนแล้วเปิดประตูเข้ามา พอเห็นน้ำตานองโต๊ะ เค้าก็รีบเข้ามาพูดปลอบโยนถามไถ่เรื่องราวทันที นี่ก็เป็นอีกช็อตที่ติดตรึงในความทรงจำเช่นกัน

ด้วยแรงถีบส่งจากเหตุการณ์ ทำให้เรามุ่งเป้าไปที่การสอบเข้าเตรียมอุดมในที่สุด แม้ว่าจะมีเวลาเตรียมตัวอ่านหนังสือไม่ถึงเดือนก็ตาม แต่ส่วนที่ยากอีกอย่างในตอนนั้นคือ ตอนหลังพี่ ๆ น้อง ๆ ของเรากลับบ้านที่สกลฯกันหมด ทิ้งให้เราต้องอยู่อ่านหนังสือสอบที่บ้านคนเดียว มันทั้งอ้างว้าง เปลี่ยวเหงา โหยหากำลังใจอย่างบอกไม่ถูก และช่วงนั้นเอง เราเลือกทำสิ่งที่เหลือเชื่อมาก นั่นคือนั่งรถไฟกลับบ้านที่สกลเป็นว่าเล่นทีเดียว ประเภทสองสามวันกลับที ไปอยู่ได้สองสามวันก็ต้องกลับมาอีกแล้ว ทำไมเราถึงไม่เอาหนังสือไปอ่านที่นั่นก็จำไม่ได้แล้ว คงจะมีเหตุผลบางอย่างนั่นแหละที่ทำให้เราทำแบบนั้น

ผลปรากฏว่า เราสอบไม่ติด ทีนี้ก็งานเข้าสิครับ แล้วจะไปเรียนที่ไหนล่ะทีนี้ พอดี๊พอดี พี่ชายอีกคนของเรามีเพื่อน แล้วเพื่อนของเค้าก็มีแฟน แล้วแฟนของเค้าก็เป็นครูสอนวิชาชีววิทยาอยู่ที่โรงเรียนวัดสังเวช เค้าเลยบอกว่าจะใช้เส้นเอาเข้าให้ แต่ว่าลองไปสอบรอบสองด้วยแล้วกัน เพราะว่าน่าจะติดได้ไม่ยากหรอก แหม ระดับเด็กเทพศิรินทร์ เอาไว้ไม่ติดจริง ๆแล้วค่อยงัดเส้นออกมาใช้แล้วกัน สุดท้ายเราก็สอบเข้าได้คะแนนเป็นที่สองของโรงเรียน และพลิกผันมาสวมเสื้อปักชื่อย่อสถาบันที่เราเคยปรามาสไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน เราว่าเวลาดูหนัง บางครั้งเราอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า โหย อะไรมันจะบังเอิญประจวบเหมาะได้ขนาดนั้น เขียนบทเว่อร์ไป ไม่เนียนเลย แต่เราว่า บางครั้ง ชีวิตเราอาจจะกำลังเล่นไปตามบทที่มีใครบางคนเขียนกำกับเอาไว้ก็ได้นะ ใครจะไปรู้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่