เท่าที่ผมสังเกตดูนะครับ ปรากฏว่าบรรดาท่านชาวพุทธทั้งหลาย ที่มักชอบทำตัวเป็นเจ้าของศาสนา และกล่าวหาผู้อื่น ขับไล่ไสส่งผู้อื่นออกไปจากพระพุทธศาสนา
เพียงเพราะมีความเห็นแตกต่างไปจากพวกเขา มักเป็นพวกที่ชอบ ดราม่า และ มโน มากเป็นพิเศษ
แต่ถ้าพิเคราะห์ดูเฉพาะประเด็น เหตุผล กลับปรากฏว่า ไม่มี หรือถ้ามี ก็ไม่ชัดเจน ไม่ตรงประเด็น แต่มีลักษณะของการกล่าววาจาโน้มน้าวให้เชื่อตาม เสียมากกว่า
และหากใคร ไม่เชื่อตาม หรือ กล่าวแย้งด้วยหลักเหตุผล ในขั้นแรก คนพวกนี้ จะเอานรกมาขู่ หากยังไม่กลัวอีก ก็จะกล่าวหาใส่ร้ายว่า เป็นคนนอกศาสนา ฯลฯ และดราม่า มโน ต่อไปว่า มีเจตนาเข้ามาทำร้ายพระศาสนา ทำลายศรัทธาชาวพุทธ
สำหรับผมแล้ว ผมเห็นว่าเป็นเรื่อง ตลก ครับท่าน ไร้สาระมากๆ
กรณีพระเวสสันดร ที่ผมเห็นว่า การกระทำหลายอย่างของท่าน เป็นความผิดบาปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การพูดลอยๆ นะครับท่าน
แต่เป็นการพิจารณาโดยอ้างอิงเทียบเคียงกับข้อความ ใน ตำราพุทธธรรม ของหลวงปู่ ต่างหาก
เท่าที่ผมเห็น ท่านชาวพุทธขาเล็กขาใหญ่ทั้งหลาย มักอ้างอยู่เพียงอย่างเดียวว่า พระโพธิสัตว์ ทรงมีเจตนาดี มีเจตนาเป็นกุศล ดังนั้น การกระทำของท่านจึงไม่ผิดบาป
ซึ่งผมบอกได้เลยว่า คำอธิบายแบบนี้ ผิดอย่างแน่นอน คือผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ผิดไปจากกฏแห่งกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับกัลยาณชน สัมมาทิฐิแบบสาสวะ น่ะครับท่าน
หลวงปู่บอกว่า การวินิจฉัยดีชั่ว ต้องใช้เรื่องกุศล อกุศล เป็นแกนกลางในการพิจารณา อันนี้ จริงครับท่าน
แต่ สิ่งที่ท่านชาวพุทธจะต้องระลึกเอาไว้ก็คือ หลายๆท่าน ยังมีปัญญาไม่กว้างขวางลึกซึ้งเพียงพอ ก็อาจมองเห็นภาวะที่เป็น กุศล อกุศล ได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงต้องมีเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อช่วยให้สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น น่ะครับ
เกณฑ์หลัก
ถ้าหาก เราพิจารณาเฉพาะ เจตนา อันเกิดจากจิต ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล เพียงอย่างเดียวแล้วตัดสินความผิดบาป บางครั้งอาจเกิดความสับสน ผิดพลาด ทั้งนี้ก็เพราะ กุศลจิต อกุศลจิต เป็นการพิจารณาทีละขณะจิต แปลว่า ถ้าอ้างแต่เหตุต้น ว่าเริ่มต้นด้วยความคิดที่เป็นกุศล แล้วสรุปว่า การกระทำนั้นไม่ผิดบาป ก็จะเป็นการสรุปที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะจิตดวงต่อๆมา เป็นกุศล หรือ อกุศล ท่านไม่ได้นำมาพิจารณาร่วมเลย นี่คือ ความผิดพลาดโง่เขลาของตัวท่านเอง นะครับ
และถ้าพิจารณาในแง่ที่ว่า สภาวะดังกล่าวเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจหรือไม่ ?
ก็พบว่า ในกรณีพระเวสสันดร มีทั้งที่เกื้อกูลให้กุศลเจริญงอกงามขึ้น รวมไปทั้ง ทำให้อกุศลงอกงามเจริญขึ้นก็มี ตรงนี้ จึงชัดเจนว่า การกระทำของพระเวสสันดร มีทั้งกรรมขาวกรรมดำ เป็น ธรรมขาวเจือธรรมดำ ดังนั้น การด่วนสรุปว่า การกระทำของพระเวสสันดร ไม่ผิดบาป เพียงด้วยการอ้างว่า ทำไปโดยจิตเป็นกุศล(จิตแรก) จึงเป็นการ อ้างผิด สรุปผิด ครับท่าน
เกณฑ์ร่วม
ทีนี้ ถ้าหากบางท่าน(หรืออาจหมายถึงหลายๆท่าน) เป็นผู้มีปัญญาน้อย มีสติสัมปชัญญะพร่าเลือน เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์หลักแล้ว
อาจรู้สึกว่า ยังมองเห็นไม่ชัดเจน ไม่ทะลุปรุโปร่ง ก็ยังมีเกณฑ์ร่วม เพื่อเสริมการพิจารณาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับท่าน
ประการแรก ให้พิจารณาดูว่า เมื่อทำกรรมนั้นไปแล้ว สูญเสียความเคารพตนเองไปบ้างหรือไม่ ?
กรณีของพระเวสสันดร ท่านก็ลองพิจารณาดูเถิดว่า พระเวสสันดรรู้สึกอย่างไรในฐานะพ่อ และในฐานะสามี
ความรู้สึกตรงนั้นนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า สิ่งที่พระเวสสันดรทำลงไป เป็นกรรมขาวล้วนๆ หรือว่า ปนกรรมดำ ความผิดบาปอยู่ด้วย
ประการที่สอง พิจารณาในแง่ของความยอมรับ จาก วิญญูชน นักปราชญ์ หรือบัณฑิต ซึ่งในโลกที่มาตรฐานทางสังคมสูง อย่างเช่นในปัจจุบัน
ไม่มีใครยอมรับการกระทำของพระเวสสันดรได้หรอกครับ นอกจากชาวพุทธป่าเถื่อนล้าหลังบางกลุ่มเท่านั้น
และต่อให้เป็นการใช้มาตรฐานทางสังคมยุคโบราณ เช่นในสังคมยุคทาส ก็ไม่แน่ว่า วิญญูชน นักปราชญ์ หรือบัณฑิต จะให้การยอมรับ
อย่างน้อยที่สุด ชาวพุทธก็ทราบว่า พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระชนม์ชีพอยู่ในยุคทาส ก็ไม่ทรงเห็นดีเห็นงามกับการกดขี่คนลงไปเป็นทาส น่ะครับ
ประการสุดท้าย ให้พิจารณาที่ผลของการกระทำ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ว่าสร้างความเดือดร้อน โทษทุกข์ บ้างหรือไม่ ?
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผมพิจารณาดูแล้ว ก็ตลก นะครับ เพราะพบว่า ผู้ที่พยายามโต้แย้ง มักกล่าวในทำนองว่า ลูกเมียของพระเวสสันดร ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน
หรือบางคน ก็ใช้วิธี กล่าวข้าม พูดข้าม เหตุผลข้อเท็จจริงไปว่า ถึงจะทุกข์ ก็ทุกข์น้อย เมื่อเทียบกับทุกข์โทษในวัฏสงสาร
เพราะสุดท้าย จะได้พ้นทุกข์ ด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผมขอให้ท่านชาวพุทธ กรุณาตั้งสติ แล้วทบทวนดูว่า ในพระพุทธศาสนา ไม่มีการล้างบาป นะครับท่าน
กฏแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา ก็คือ การกระทำกรรมทุกอย่างย่อมมีผล ดังนั้น อยู่ดีๆ ท่านจะมาพูดว่า การเบียดเบียนลูกเมียของพระเวสสันดร ไม่ผิดบาป เพราะจะได้ผลดียิ่งกว่าในชาติหน้า ได้อย่างไร ?
ข้อแรก การดับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายเกิดจากการปฏิบัติของตน ไม่ใช่การดลบันดาลจากผู้อื่น
อีกทั้ง ผู้บรรลุธรรม ก็เกิดจากการฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมจากพระเวสสันดร แล้วจะเอามาผูกโยงได้ไงครับท่าน
ข้อสอง การพิจารณาความผิดบาป นี้หมายถึงการพิจารณาการกระทำของพระเวสสันดร ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แล้วเอาพระพุทธเจ้ามาอ้างแบบนี้ มันจะถูกเรื่องหรือครับ ?
เมื่อพิจารณาเรื่องของพระเวสสันดร เราก็ต้องพิจารณาแค่ว่า พระเวสสันดร ทำอะไร ? และส่งผลดีร้ายต่อผู้อื่นอย่างไร ?
หมายความว่า ในหนึ่งการกระทำ อาจเกิดผลกระทบมากมายทั้งดีและร้าย เพราะเป็นการกระทำของปุถุชน เราก็แค่พิจารณาว่า ผลดีมีอะไรบ้าง ? ผลร้ายมีอะไรบ้าง ?
ส่วนที่ดี ก็เป็นบุญ เป็นกุศลไป ส่วนที่ร้าย ก็เป็นความผิดบาปไป เราชาวพุทธควรพิจารณาเพียงเท่านี้ ครับท่าน
ในเมื่อผลร้ายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างมีอยู่ เราก็ต้องยอมรับว่า การกระทำนั้นเป็นความผิดบาป หรืออย่างน้อยควรยอมรับว่า มีความผิดบาปเจือปนอยู่
จะมาดื้อดึง กล่าวว่าไม่ผิด ไม่บาป ได้ไงครับท่าน กฏแห่งกรรม ยกเว้นให้แก่พระโพธิสัตว์ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชน ตั้งแต่เมื่อไรกันครับ ?
หรือที่จริง ผมควรย้อนถามด้วยซ้ำไปว่า ความคิด ความเชื่อ ความเห็นแบบนั้น เป็นคำสอนในลัทธิศาสนาใดกัน ?
เพราะว่ามันไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนาแน่ๆ ครับท่าน
การวินิจฉัย พิจารณาความผิดบาป เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณา ไม่ใช่อาศัยแต่ ความเชื่อ นะครับท่าน
ดังนั้น สำหรับท่านชาวพุทธ ผมก็หวังว่า ท่านจะสามารถพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้องแยบคาย และสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า นะครับท่าน
ยังมีหลักเกณฑ์ หรือวิธีพิจารณาอีกแบบหนึ่ง นะครับ หลวงปู่ท่านสรุปความเอาไว้ให้ ท่านชาวพุทธทั้งหลาย ก็พิจารณากันเอาเอง นะครับท่าน
เกณฑ์ในการตัดสินความผิดบาป(ของพระเวสสันดร) ; อ้างจากตำราพุทธธรรมของหลวงปู่ปยุตโต
เพียงเพราะมีความเห็นแตกต่างไปจากพวกเขา มักเป็นพวกที่ชอบ ดราม่า และ มโน มากเป็นพิเศษ
แต่ถ้าพิเคราะห์ดูเฉพาะประเด็น เหตุผล กลับปรากฏว่า ไม่มี หรือถ้ามี ก็ไม่ชัดเจน ไม่ตรงประเด็น แต่มีลักษณะของการกล่าววาจาโน้มน้าวให้เชื่อตาม เสียมากกว่า
และหากใคร ไม่เชื่อตาม หรือ กล่าวแย้งด้วยหลักเหตุผล ในขั้นแรก คนพวกนี้ จะเอานรกมาขู่ หากยังไม่กลัวอีก ก็จะกล่าวหาใส่ร้ายว่า เป็นคนนอกศาสนา ฯลฯ และดราม่า มโน ต่อไปว่า มีเจตนาเข้ามาทำร้ายพระศาสนา ทำลายศรัทธาชาวพุทธ
สำหรับผมแล้ว ผมเห็นว่าเป็นเรื่อง ตลก ครับท่าน ไร้สาระมากๆ
กรณีพระเวสสันดร ที่ผมเห็นว่า การกระทำหลายอย่างของท่าน เป็นความผิดบาปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การพูดลอยๆ นะครับท่าน
แต่เป็นการพิจารณาโดยอ้างอิงเทียบเคียงกับข้อความ ใน ตำราพุทธธรรม ของหลวงปู่ ต่างหาก
เท่าที่ผมเห็น ท่านชาวพุทธขาเล็กขาใหญ่ทั้งหลาย มักอ้างอยู่เพียงอย่างเดียวว่า พระโพธิสัตว์ ทรงมีเจตนาดี มีเจตนาเป็นกุศล ดังนั้น การกระทำของท่านจึงไม่ผิดบาป
ซึ่งผมบอกได้เลยว่า คำอธิบายแบบนี้ ผิดอย่างแน่นอน คือผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ผิดไปจากกฏแห่งกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับกัลยาณชน สัมมาทิฐิแบบสาสวะ น่ะครับท่าน
หลวงปู่บอกว่า การวินิจฉัยดีชั่ว ต้องใช้เรื่องกุศล อกุศล เป็นแกนกลางในการพิจารณา อันนี้ จริงครับท่าน
แต่ สิ่งที่ท่านชาวพุทธจะต้องระลึกเอาไว้ก็คือ หลายๆท่าน ยังมีปัญญาไม่กว้างขวางลึกซึ้งเพียงพอ ก็อาจมองเห็นภาวะที่เป็น กุศล อกุศล ได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงต้องมีเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อช่วยให้สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น น่ะครับ
เกณฑ์หลัก
ถ้าหาก เราพิจารณาเฉพาะ เจตนา อันเกิดจากจิต ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล เพียงอย่างเดียวแล้วตัดสินความผิดบาป บางครั้งอาจเกิดความสับสน ผิดพลาด ทั้งนี้ก็เพราะ กุศลจิต อกุศลจิต เป็นการพิจารณาทีละขณะจิต แปลว่า ถ้าอ้างแต่เหตุต้น ว่าเริ่มต้นด้วยความคิดที่เป็นกุศล แล้วสรุปว่า การกระทำนั้นไม่ผิดบาป ก็จะเป็นการสรุปที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะจิตดวงต่อๆมา เป็นกุศล หรือ อกุศล ท่านไม่ได้นำมาพิจารณาร่วมเลย นี่คือ ความผิดพลาดโง่เขลาของตัวท่านเอง นะครับ
และถ้าพิจารณาในแง่ที่ว่า สภาวะดังกล่าวเกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจหรือไม่ ?
ก็พบว่า ในกรณีพระเวสสันดร มีทั้งที่เกื้อกูลให้กุศลเจริญงอกงามขึ้น รวมไปทั้ง ทำให้อกุศลงอกงามเจริญขึ้นก็มี ตรงนี้ จึงชัดเจนว่า การกระทำของพระเวสสันดร มีทั้งกรรมขาวกรรมดำ เป็น ธรรมขาวเจือธรรมดำ ดังนั้น การด่วนสรุปว่า การกระทำของพระเวสสันดร ไม่ผิดบาป เพียงด้วยการอ้างว่า ทำไปโดยจิตเป็นกุศล(จิตแรก) จึงเป็นการ อ้างผิด สรุปผิด ครับท่าน
เกณฑ์ร่วม
ทีนี้ ถ้าหากบางท่าน(หรืออาจหมายถึงหลายๆท่าน) เป็นผู้มีปัญญาน้อย มีสติสัมปชัญญะพร่าเลือน เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์หลักแล้ว
อาจรู้สึกว่า ยังมองเห็นไม่ชัดเจน ไม่ทะลุปรุโปร่ง ก็ยังมีเกณฑ์ร่วม เพื่อเสริมการพิจารณาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับท่าน
ประการแรก ให้พิจารณาดูว่า เมื่อทำกรรมนั้นไปแล้ว สูญเสียความเคารพตนเองไปบ้างหรือไม่ ?
กรณีของพระเวสสันดร ท่านก็ลองพิจารณาดูเถิดว่า พระเวสสันดรรู้สึกอย่างไรในฐานะพ่อ และในฐานะสามี
ความรู้สึกตรงนั้นนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า สิ่งที่พระเวสสันดรทำลงไป เป็นกรรมขาวล้วนๆ หรือว่า ปนกรรมดำ ความผิดบาปอยู่ด้วย
ประการที่สอง พิจารณาในแง่ของความยอมรับ จาก วิญญูชน นักปราชญ์ หรือบัณฑิต ซึ่งในโลกที่มาตรฐานทางสังคมสูง อย่างเช่นในปัจจุบัน
ไม่มีใครยอมรับการกระทำของพระเวสสันดรได้หรอกครับ นอกจากชาวพุทธป่าเถื่อนล้าหลังบางกลุ่มเท่านั้น
และต่อให้เป็นการใช้มาตรฐานทางสังคมยุคโบราณ เช่นในสังคมยุคทาส ก็ไม่แน่ว่า วิญญูชน นักปราชญ์ หรือบัณฑิต จะให้การยอมรับ
อย่างน้อยที่สุด ชาวพุทธก็ทราบว่า พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระชนม์ชีพอยู่ในยุคทาส ก็ไม่ทรงเห็นดีเห็นงามกับการกดขี่คนลงไปเป็นทาส น่ะครับ
ประการสุดท้าย ให้พิจารณาที่ผลของการกระทำ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ว่าสร้างความเดือดร้อน โทษทุกข์ บ้างหรือไม่ ?
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผมพิจารณาดูแล้ว ก็ตลก นะครับ เพราะพบว่า ผู้ที่พยายามโต้แย้ง มักกล่าวในทำนองว่า ลูกเมียของพระเวสสันดร ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน
หรือบางคน ก็ใช้วิธี กล่าวข้าม พูดข้าม เหตุผลข้อเท็จจริงไปว่า ถึงจะทุกข์ ก็ทุกข์น้อย เมื่อเทียบกับทุกข์โทษในวัฏสงสาร
เพราะสุดท้าย จะได้พ้นทุกข์ ด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผมขอให้ท่านชาวพุทธ กรุณาตั้งสติ แล้วทบทวนดูว่า ในพระพุทธศาสนา ไม่มีการล้างบาป นะครับท่าน
กฏแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา ก็คือ การกระทำกรรมทุกอย่างย่อมมีผล ดังนั้น อยู่ดีๆ ท่านจะมาพูดว่า การเบียดเบียนลูกเมียของพระเวสสันดร ไม่ผิดบาป เพราะจะได้ผลดียิ่งกว่าในชาติหน้า ได้อย่างไร ?
ข้อแรก การดับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายเกิดจากการปฏิบัติของตน ไม่ใช่การดลบันดาลจากผู้อื่น
อีกทั้ง ผู้บรรลุธรรม ก็เกิดจากการฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมจากพระเวสสันดร แล้วจะเอามาผูกโยงได้ไงครับท่าน
ข้อสอง การพิจารณาความผิดบาป นี้หมายถึงการพิจารณาการกระทำของพระเวสสันดร ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แล้วเอาพระพุทธเจ้ามาอ้างแบบนี้ มันจะถูกเรื่องหรือครับ ?
เมื่อพิจารณาเรื่องของพระเวสสันดร เราก็ต้องพิจารณาแค่ว่า พระเวสสันดร ทำอะไร ? และส่งผลดีร้ายต่อผู้อื่นอย่างไร ?
หมายความว่า ในหนึ่งการกระทำ อาจเกิดผลกระทบมากมายทั้งดีและร้าย เพราะเป็นการกระทำของปุถุชน เราก็แค่พิจารณาว่า ผลดีมีอะไรบ้าง ? ผลร้ายมีอะไรบ้าง ?
ส่วนที่ดี ก็เป็นบุญ เป็นกุศลไป ส่วนที่ร้าย ก็เป็นความผิดบาปไป เราชาวพุทธควรพิจารณาเพียงเท่านี้ ครับท่าน
ในเมื่อผลร้ายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างมีอยู่ เราก็ต้องยอมรับว่า การกระทำนั้นเป็นความผิดบาป หรืออย่างน้อยควรยอมรับว่า มีความผิดบาปเจือปนอยู่
จะมาดื้อดึง กล่าวว่าไม่ผิด ไม่บาป ได้ไงครับท่าน กฏแห่งกรรม ยกเว้นให้แก่พระโพธิสัตว์ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ ปุถุชน ตั้งแต่เมื่อไรกันครับ ?
หรือที่จริง ผมควรย้อนถามด้วยซ้ำไปว่า ความคิด ความเชื่อ ความเห็นแบบนั้น เป็นคำสอนในลัทธิศาสนาใดกัน ?
เพราะว่ามันไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนาแน่ๆ ครับท่าน
การวินิจฉัย พิจารณาความผิดบาป เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณา ไม่ใช่อาศัยแต่ ความเชื่อ นะครับท่าน
ดังนั้น สำหรับท่านชาวพุทธ ผมก็หวังว่า ท่านจะสามารถพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ได้อย่างถูกต้องแยบคาย และสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า นะครับท่าน
ยังมีหลักเกณฑ์ หรือวิธีพิจารณาอีกแบบหนึ่ง นะครับ หลวงปู่ท่านสรุปความเอาไว้ให้ ท่านชาวพุทธทั้งหลาย ก็พิจารณากันเอาเอง นะครับท่าน