HEART OF FAIRY บทที่2 บ้าน




“เอเลซิส วอร์แครปเชอร์”
       หญิงสาวผมแดงเพลิงพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านเสาไฟฟ้าต้นแล้วต้นเล่า หน้าตาของเขาเป็นที่กังขาในความคิดของเธอในขณะนี้ เธอนึกภาพเขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่มีหน้าตาเหมือนพวกโทรลในเวอร์เนล ภารกิจส่งให้เธอต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา อันที่จริงนั่นก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะบ่นพึมพำตลอดทาง เกี่ยวกับการจัดการของทางผู้คุมกฎที่ต้องให้ตามหาตัวผู้ปกป้องเอง บรรดาผู้ปกป้องรุ่นก่อนต่างปกปิดและอำพรางกายของพวกเขาเป็นอย่างดี แต่บ้างก็ตายไปจากภารกิจ

       ค่ำคืนแรกของเธอบนโลกดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่นัก มันทำให้เธอนึกถึงคนอื่นๆ ที่เดินทางมาเพื่อภารกิจเดียวกัน เธอแอบหวังลึกๆว่าพวกเขาจะถูกทักทายด้วยอะไรที่ดีกว่าการลบความจำของมนุษย์ ความคิดเกี่ยวกับเวอร์เนลดินแดนที่เธอเรียกว่า “บ้าน” แวบเข้ามาในหัว ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่อยู่บนโลกที่ไม่มีใครรู้จัก แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าความกล้าหาญของเธอหลายเท่า ไม่ว่า เอเลซิส จะเป็นใคร เธอก็ต้องหาเขาให้พบภายในคืนนี้ เพราะเธออาจจะต้องนอนอยู่ข้างถังขยะเปียกๆพวกนี้

โฮ่ง โฮ่ง ...โฮ่ง โฮ่ง

      เสียงเห่าของสุนัขสะท้อนกับกำแพงกังวานก้องทั่วบริเวณที่เธอยืนอยู่ เธอพยายามมองหาที่มาของเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง และเมื่อเธอหันหลังกลับไปก็พบกับ สุนัขตัวสีขาว มันอยู่ห่างไปประมาณสองเมตร สุนัขตัวนั้นสูงประมาณสองฟุต ขนของมันเป็นสีขาวฟูฟ่องราวกับหิมะแรก มันเป็นสุนัขที่สง่างามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา และตรงด้านหน้าของมันมีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้
“โฮ่ง โฮ่ง” สุนัขสีขาวปริศนายังคงเห่าเหมือนกำลังเรียกเธออยู่ หญิงสาวไม่รอช้า เธอรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไป เเละเมื่อเธอเพ่งไปยังกระดาษแผ่นนั้น ก็พบว่า มันถูกเขียนด้วยปากกาเมจิก เป็นประโยค

“ ตามฉันมา แม่สาวน้อย”
       จาก อี.

     “จากอี” เธอทวนมันอีกรอบ และแม้เธอจะไม่แน่ใจว่า “อี”คือใคร แต่เธอก็แน่ใจว่าเขาต้องเป็นคนที่รู้จักเธอเป็นแน่ สุนัขตัวนั้นลุกขึ้นและวิ่งเหยาะๆเพื่อให้เธอตามทัน เธอตัดสินใจวิ่งตามมันไปโดยไม่รอช้า เธอคิดว่ามันกำลังนำหน้าเธอไปหาอะไรบางอย่างหรือใครบางคน

         เจ้าสุนัขขนปุยสีขาววิ่งนำไปตลอดทาง ระยะทางไม่ไกลมากจากที่เธออยู่ แต่ก็ทำเอาเธอหอบจับเล็กน้อย แสงไฟข้างถนนส่องให้เห็นรถวอลโว่คันสีแดงซีดรุ่นเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงด้านหน้าไม่กี่เมตร เจ้าสุนัขรีบวิ่งไปยังรถคันดังกล่าวและมีเสียงปลดล็อคประตูรถ ดัง “กร็อก” นั่นช่างเป็นเสียงที่เหมาะกับสภาพรถ แม้เธอจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร มีชายในรถสวมแว่นตาสีดำและหมวกคาวบอยทำให้เธอดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในช่วงวัยใด หญิงสาวหยุดนิ่งชั่วขณะและคอยดูท่าทีของเขาว่าจะทำอะไรต่อไป เจ้าสุนัขกระโจนขึ้นไปนั่งตรงเบาะรถอย่างกระฉับกระเฉง พลางเห่าเสียงดัง
เขาจ้องเธออยุ่นาน และอยู่ๆชายในรถ ก็หยิบบางสิ่งออกมาจากลิ้นชักตรงหน้าเขา เธอจ้องมันอย่างไม่ละสายตา และคิดว่าถ้าหากเขาคิดจะทำร้ายเธอ เธอก็พร้อมที่จะรับมือ แต่สิ่งที่เขาหยิบออกมาคือปากกาเมจิกด้ามหนึ่งซึ่งเขากำลังจะเขียนมันลงไปบนแผ่นกระดาษที่วางไว้ตรงตัก เธอแอบลุ้นอยู่ในใจขออย่าให้เขาทำอะไรมากกว่าเขียนคำว่า “สวัสดี ยินดีต้อนรับ” และนั่นก็ผิดคาดนิดหน่อย เมื่อเขาชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เธอมองเห็นมันอย่างชัดเจนด้วยสายตาที่ดีกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า

“ ฉันเอง เอเลซิส วอร์แครปเชอร์”

      เมื่อเธออ่านประโยคนั้นจบ รอยยิ้มของเธอก็ผุดขึ้นทันที เธอรีบบึ่งเข้าไปหาเขาและหาวิธีเปิดประตูรถด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ สุนัขของเขากระเปลี่ยนไปนั่งเบาะด้านหลังเหมือนรู้ความ เธอเข้ามาในรถพร้อมกับปิดประตูอย่างแรง "ปัง!..."

“เฮ้ ระวังหน่อยสาวน้อย เจ้านี่มันเก่าแล้ว”

เขาพูดด้วยเสียงทุ้มใหญ่

“โทษที” เธอตอบเขาด้วยท่าทางรู้สึกผิด

      เธอหันมาจ้องเขาที่กำลังบิดกุญแจรถ แล้วเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับการสั่นสะเทือน ท่าทางของหญิงสาวดูเหลอหลาเป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก แต่เขาก็ทำแค่ยิ้มมุมปาก ชายที่สวมหมวกคาวบอยและแว่นตาดำ เขามีหนวดเคราที่เหมือนจะลืมโกนมาแล้วประมาณสามอาทิตย์ขึ้นเป็นตอยาว

“ท่านคือเอเลซิส จริงหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ” เขาตอบพลางหมุนพวงมาลัยและเหยียบคันเร่ง

“นั่นเอิร์ล เพื่อนข้า”

เธอหันกลับไปยังเบาะด้านหลังที่มีสุนัขหน้าตาเหมือนภูตสัตว์ทางทุ่งน้ำแข็งนั่งอยู่

“ ข้าเจอมันเมื่อหลายปีก่อน เดี๋ยวค่อยเล่า”

เธอเอามือไปลูบหัวมันเบาๆ ก่อนที่จะหันมาหาเขา

"กลิ่นกายของท่านไม่ปรากฏ" เธอสูดกลิ่นตามตัวเขาเสียงดังฝึดฝัด

"เธอต้องเรียนรู้อีกเยอะ สาวน้อย"

“เรากำลังจะไปไหน?” เธอถามเอเลซิส

“บ้าน” เขาตอบพลางยิ้มแหยๆ

          มันแปลกที่เธอรู้สึกว่าเขาดูอบอุ่นกว่าที่เธอคิดไว้ เขาไม่ได้หน้าตาเหมือนโทรลภูเขา เขาเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่ไม่ยอมโกนหนวด และดูใจดี แถมยังมีสัตว์เลี้ยงเป็นภูตทุ่งน้ำแข็งแสนรู้ ไม่ใช่สิ ตอนนี้เธอต้องเรียกมันว่าสุนัข และ พาหนะที่เธอนั่งอยู่คือรถยนต์
ความหนาวทำให้เธอหายใจเป็นควัน กระจกด้านข้างตรงที่เธอนั่งดูขุ่นมัว และนั่นทำให้เธอต้องปาดมันสองสามครั้งด้วยมือเปล่าเพื่อมองวิวข้างทาง แต่มันไม่มีอะไรนอกไปเสียจากต้นไม้สีดำที่ขึ้นปกคลุมตลอดทาง เขาขับออกมาจากสปริงฟิลด์ไกลพอควร จนถึงทางเลี้ยวเล็กๆซึ่งเหมือนเป็นเพียงแค่ช่องระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ที่ขึ้นหนาข้างถนน

“บ้านของท่านอยู่ที่ไหน” เธอถามเขาเพื่อกลบความเงียบภายในรถ

       “ ในนี้” เขาตอบห้วนๆ

          นั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาอาจจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยชอบพูดซักเท่าไหร่ หรือไม่เขาก็แค่ยังอายที่จะพูดกับเธอ
รถยนต์แล่นผ่านทางล้อแคบๆ ที่แยกจากถนนใหญ่ออกมา มันดูวังเวงและน่ากลัวสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพวกเขามันคือสิ่งที่เห็นชินตา ต้นไม้และต้นไม้ ป่าสนขึ้นปกคลุมหนาทั่วละแวกนี้ ทำให้เหมาะกับการซ่อนตัวของพวกผู้ปกป้องอย่างเขาและเธอ รถแล่นมาได้ประมาณหนึ่งไมล์ แล้วก็โผล่พรวดตรงลานหญ้ากว้างๆ ที่ตรงด้านหน้าห่างออกไปไม่กี่เมตร มีบ้านไม้เก่าๆตั้งอยู่หนึ่งหลังท่ามกลางความมืดมิด บ้านหลังสีม่วงลาเวนเดอร์ ที่เห็นได้จากแสงไฟสลัวหน้าบ้าน สีของบ้านซีดจนเกือบขาวแม้จะมองในตอนกลางคืน มีรอยแตกและแผ่นสีที่หลุดลอกทั่วตัวบ้าน กิ่งไม้แห้งๆที่เริ่มผลัดใบสองต้นทำให้มันดูเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ แต่เขาชอบมันเพราะ บ้านไม่มีเหล็กบริสุทธิ์ให้ระคายเคืองผิว

“ข้าไม่สงสัยที่พวกนั้นจะหาท่านไม่เจอ เอเลซิส” เธอกล่าวพร้อมกับแหงนหน้ามองสภาพบ้านไม้เก่าๆที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

“เชื่อข้าเถอะว่าข้างในนั้นดีกว่าที่เจ้าคิด มีห้องสำหรับเจ้า”

“นั่นแหละสิ่งที่ข้ากำลังจะขอ”

          เธอกล่าวโดยไม่มองหน้าเขา แม้ว่าเขาจะกำลังเท้าสะเอวและเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อได้ฟัง เขาถอดหมวกและแว่นตาออก นั่นทำให้เห็นคิ้วดกไม่เป็นทรง และนัยตาอันแข็งกร้าวสีน้ำตาล ผมของเขามีสีขาวปนเล็กน้อย อาจเพราะด้วยอายุของเขาเอง แต่หุ่นของเขาก็ยังดูสมส่วน
ทั้งสองก้าวลงจากรถและตามมาด้วยเจ้าเอิร์ล มันรีบวิ่งเข้าไปในบ้านหลังเล็กๆของมันที่ถูกตอกขึ้นอย่างหยาบๆ แต่ทว่าก็ดูปลอดภัยและแข็งแรง เมื่อเธอสัมผัสที่ประตูก็รู้ได้ว่ามีมายิกระดับสูงปกป้องบ้านไว้ทั้งหลัง
         เขาเดินมาจากด้านหลังพร้อมกับลูกกุญแจพวงโต เมื่อประตูถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นภายในบ้าน ผนังของบ้านทำจากท่อนซุงขนาดเล็กเคลือบเงาด้วยแลคเกอร์ มีเตาผิงให้ความอบอุ่นและโซฟากำมะหยี่สีเขียววางด้านหน้า มีบันไดวนขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน เธอเดินเอามือไล้ไปตามท่อนไม้ที่เรียงกันเป็นซี่ๆ ไปจนถึงด้านในสุด ที่มีประตูเปิดอ้าออกไปยังห้องครัว  

          เธอยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับได้กลับบ้านอีกครั้ง เธอหาเขาพบ ไม่ใช่สิ เขาหาเธอพบ นั่นทำให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปในเมืองนี้ กลิ่นของไม้ทั้งหอมและอบอุ่นสำหรับเธอ เธออดไม่ได้ที่จะเอาหน้าแนบกับผนังและหลับตาลงพร้อมกับสูดมันเข้าเต็มปอด

“ ข้า...เอเลซิส ผู้ปกป้องรุ่นที่หนึ่ง ยินดีต้อนรับ ..เจ้า.." เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ "ชื่ออะไรนะ"

"โรลาเซีย" เธอตอบเขาพร้อมกับกลอกตาขึ้นเล็กน้อย

"โรลาเซีย หนึ่งในผู้ปกป้องรุ่นที่สอง ขอให้เจ้าทำหน้าที่อย่างหาญกล้า ”

           สิ้นประโยคของเขา แสงสีเหลืองอำพันก็ค่อยๆเรืองรองขึ้นจากด้านหลังของทั้งคู่ ปีกของเขาและเธอค่อยๆสยายออกอย่างช้าๆ ปีกบางใสเป็นประกายเลื่อมน้ำเงินเมื่อมันขยับ มันคือการทักทายกันอย่างเป็นทางการของผู้ปกป้องทั้งสองรุ่น ชุดของเธอส่องแสงสะท้อนจากโลหะที่สานกันเป็นร่างแห ราวกับว่าขณะนี้ทั้งคู่กำลังอยู่ใต้แสงของดวงตะวันที่พึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า เธอมองดูเขาพร้อมกับยิ้ม แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูไร้อารมณ์อยู่ก็ตามที เอเลซิสใจดีกว่าที่เธอคิด ซึ่งอย่างน้อยๆก็ขอแค่ตอนนี้ ตอนที่ได้เจอกับเขาครั้งแรก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่