ขอตอบคำถามของชาวหว้ากอ (สมาชิกหมายเลข 1491305 ) ที่ถามไว้ดังนี้ (
http://pantip.com/topic/33759187 )
-พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "จริงมั้ย อย่างไร พิสูจน์อย่างไร"
-นิพพาน ที่ว่า "คืออะไร จริงมั้ย พิสูจน์อย่างไร"
--------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า พุทธศาสนาในปัจจุบันไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะมีคำสอนของศาสนาพราหมณ์มาเจือปนอยู่มาช้านาแล้วโดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว จึงได้มีเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น อยู่เต็มไปหมด จึงดูว่าเป็นเรื่องที่งมงาย ไม่มีเหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ อย่างที่ชาวหว้ากอเห็น
พุทธศาสนานั้นเดิมทีเป็นวิทยาศาสตร์ จึงต้องพิสูจน์ได้ หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน ไม่ใช่มีแต่ความเชื่อที่งมงาย ดังนั้นเรื่องใดที่พิสูจน์ไม่ได้จึงไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า อย่างเช่น เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น
อีกอย่างต้องขอบอกว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การค้นพบความจริงของธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ในเรื่องที่สำคัญที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด อันได้แก่เรื่อง การปฏิบัติเพื่อให้จิตไม่มีความทุกข์ (ที่เรียกว่า ดับทุกข์ หรือพ้นทุกข์) ซึ่งความไม่มีทุกข์นี้ก็มีทั้ง มีความทุกข์ลดน้อยลงและไม่มีทุกข์เลย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต)
เมื่อจิตไม่มีทุกข์แม้เพียงชั่วคราว จิตก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมของมัน ที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ (ประภัสสร) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ สภาวะที่ตรงข้ามกับความทุกข์ก็จะปรากฏ ซึ่งก็คือ ความปกติ สงบ เย็น สดชื่น แจ่มใส เบา สบาย ที่เรามาสมมติเรียกกันว่า นิพพาน ที่แปลว่า ดับเสียซึ่งความร้อน หรือหมายถึง เย็น นั่นเอง (นิพพานก็มีทั้งเย็นน้อยและเย็นสนิท ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีทั้งเย็นชั่วคราวและเย็นถาวร)
ดังนั้นคำถามที่ว่า -พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "จริงมั้ย อย่างไร พิสูจน์อย่างไร" และ -นิพพาน ที่ว่า "คืออะไร จริงมั้ย พิสูจน์อย่างไร" นั้นจึงสามารถตอบได้พร้อมกัน คือต้องพิสูจน์นิพพานให้ได้ เมื่อพิสูจน์นิพพานได้แล้วเราก็จะเกิดความเห็นแจ้งขึ้นมาได้เองว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องการดับทุกข์จริงๆ เพราะเราสามารถพิสูจน์ตามคำสอนของพระพุทธองค์ จนสามารถดับทุกข์ได้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้ว (คือแม้เพียงชั่วคราว แต่ถ้าอยากจะทำได้อย่างถาวรหรือตลอดชีวิต ก็ต้องปฏิบัติต่อไปอย่างต่อเนื่องนานๆ)
แล้ววิธีพิสูจน์นิพพานนั้นต้องปฏิบัติอย่างไร? คำตอบคือ การจะพิสูจน์นิพพานนั้น เราก็ต้องพิสูจน์นิพพานขั้นต้นที่เป็นความเย็นสนิทที่เป็นเพียงชั่วคราวก่อน (ความเย็นสนิทชนิดชั่วคราวก็เหมือนเย็นสนิทถาวร ต่างกันเพียงชั่วคราวกับถาวรเท่านั้น) เมื่อเราทำจิตให้นิพพานได้ชั่วคราวแล้ว เราก็จะรู้จักนิพพานถาวรได้เองเพราะมันมีความเย็นเหมือนกัน
ส่วนวิธีการพิสูจน์นั้นก็ไม่ยาก แต่มันก็ต้องมีหลักการตายตัว คือก่อนอื่นเราจะต้องปฏิบัติกายและวาจาของเราให้เป็นปกติ เรียบร้อย อันได้แก่ การไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งเรื่องทางเพศของผู้อื่น และการไม่พูดโกหก คำหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ อยู่เป็นปกติก่อนในชีวิตประจำวัน (ที่เรียกว่ามีศีล) ต่อจากนั้นเราก็ต้องฝึกจิตให้สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เช่น ลมหายใจ หรือในการคิด ในการอ่าน ในการพูด ในการกระทำทางกาย ที่ถูกต้องดีงาม) ได้นานๆ จนจิตไม่ฟุ้งซ่าน (คือมีสมาธิ)
เมื่อจิตมีสมาธิแล้ว ต่อไปก็ใช้จิตที่มีสมาธินี้มาเพ่งพิจารณาถึงกฎสูงสุดของธรรมชาติที่ควบคุมทุกสิ่งอยู่ โดยกฎนั้นมีอยู่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น" (ที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา)
เมื่อเราเข้าใจและยอมรับกฎสูงสุดนี้แล้ว ต่อไปเราก็มาเพ่งดูร่างกายของเรา ว่ามันก็เป็นสิ่งที่มีการ "เกิดขึ้น" ด้วยเหมือนกัน (การเกิดขึ้นก็คือจากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นทีหลัง) คือร่างกายแต่เดิมมันไม่มี แต่มีพ่อและแม่ช่วยกันสร้างขึ้น และมีอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์มาปรุงแต่งหรือสร้างให้เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเราเพ่งพิจารณาต่อไปให้ลึกขึ้น เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้วร่างกายของเราเองจริงๆมันไม่ได้มี แต่เมื่อมีเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่ง มันจึงเกิดขึ้นมา เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ ( อนิจจัง-ไม่เที่ยง)
ซ้ำขณะที่ยังตั้งอยู่ มันก็ยังต้องทนที่จะประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก (ทุกขัง-สภาวะที่ต้องทน) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานี้มันไม่ใช่ร่างกายจริงๆเลย (อนัตตา-ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงที่จะมีอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดรได้)
ซึ่งนี่ก็คือการเห็นสุญญตา (คือความว่างตามธรรมชาติ) ในร่างกาย คือเห็นความว่างจากร่างกายจริงๆ หรือเห็นว่ามันไม่มีร่างกายจริงๆอยู่ในร่างกายนี้ (หรือเห็นว่ามีแต่อะตอมมากมายมหาศาลมาปรุงแต่งหรือประกอบกันขึ้นมาเป็นอวัยวะต่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายตามที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ) และแม้วัตถุสิ่งของทั้งหลายก็มีความเป็นสุญญตาด้วยเหมือนกันกับร่างกายนี่เอง
ทีนี้ต่อไปสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเห็นจิตใจของเราเป็นสุญญตา (คือเห็นว่าไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตนี้) โดยการเพ่งพิจารณาดูจากจิตของเราเองจริงๆ เราก็จะพบว่า จิต (คือสิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้) ของเรานั้นแต่เดิมมันก็ไม่มีอยู่ก่อน เมื่อมีร่างกายจิตจึงค่อยเกิดขึ้นมา และเมื่อเราหลับสนิทและไม่ฝัน จิตก็ไม่มี แต่เมื่อเราตื่น จิตจึงค่อยเกิดขึ้นมา ซึ่งเพียงเท่านี้ก็แสดงให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งได้ทันทีว่า จิตก็เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างให้มีการ "เกิดขึ้น" เหมือนกันกับร่างกายและวัตถุสิ่งของทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้นนี่จึงแสดงให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งได้ต่อไปว่า จิตที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้ มันไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวเราจริงๆ รวมทั้งทำให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งต่อไปอีกว่า มันไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตนี้ (เห็นสุญญตา) ซึ่งนี่ก็คือการเห็นสุญญตาในจิตใจและร่างกาย หรือเห็นความว่างจากตัวเรา-ของเรา ในจิตใจและร่างกายที่สมติเรียกกันว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ (ซึ่งนี่ก็คือการมีปัญญา)
เมื่อเห็นสุญญตา (เห็นว่ามันไม่มีตัวเราอยู่จริง) ดังนี้แล้ว จิตมันก็จะปล่อยวางความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้ รวมทั้งในทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้ ว่าเป็นตัวเรา-ของเราลงทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ มันก็จะไม่มีความทุกข์ (ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือความเศร้าโศก ความเสียใจ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเรา) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะสงบเย็นหรือนิพพาน แม้เพียงชั่วคราว (คือเมื่อจิตไม่มีความยึดถือ จิตก็จะไม่มีทุกข์หรือนิพพาน)
สรุปว่า การพิสูจน์เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและนิพพานนั้น ก็สามารถพิสูจน์ได้ในครั้งเดียว โดยการปฏิบัติให้มีศีล สมาธิ และปัญญาพร้อมกัน เราก็จะสามารถทำให้นิพพานปรากฏขึ้นมาได้จริงๆแม้เพียงชั่วคราว ซึ่งนี่ก็คือการพิสูจน์เรื่องการตรัสรู้และนิพพาน ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการหาคำตอบ
ถ้าพุทธเป็นวิทย์ต้องพิสูจน์ได้
-พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "จริงมั้ย อย่างไร พิสูจน์อย่างไร"
-นิพพาน ที่ว่า "คืออะไร จริงมั้ย พิสูจน์อย่างไร"
--------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า พุทธศาสนาในปัจจุบันไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะมีคำสอนของศาสนาพราหมณ์มาเจือปนอยู่มาช้านาแล้วโดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว จึงได้มีเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น อยู่เต็มไปหมด จึงดูว่าเป็นเรื่องที่งมงาย ไม่มีเหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ อย่างที่ชาวหว้ากอเห็น
พุทธศาสนานั้นเดิมทีเป็นวิทยาศาสตร์ จึงต้องพิสูจน์ได้ หรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน ไม่ใช่มีแต่ความเชื่อที่งมงาย ดังนั้นเรื่องใดที่พิสูจน์ไม่ได้จึงไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า อย่างเช่น เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น
อีกอย่างต้องขอบอกว่า การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การค้นพบความจริงของธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ในเรื่องที่สำคัญที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด อันได้แก่เรื่อง การปฏิบัติเพื่อให้จิตไม่มีความทุกข์ (ที่เรียกว่า ดับทุกข์ หรือพ้นทุกข์) ซึ่งความไม่มีทุกข์นี้ก็มีทั้ง มีความทุกข์ลดน้อยลงและไม่มีทุกข์เลย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต)
เมื่อจิตไม่มีทุกข์แม้เพียงชั่วคราว จิตก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมของมัน ที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ (ประภัสสร) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ สภาวะที่ตรงข้ามกับความทุกข์ก็จะปรากฏ ซึ่งก็คือ ความปกติ สงบ เย็น สดชื่น แจ่มใส เบา สบาย ที่เรามาสมมติเรียกกันว่า นิพพาน ที่แปลว่า ดับเสียซึ่งความร้อน หรือหมายถึง เย็น นั่นเอง (นิพพานก็มีทั้งเย็นน้อยและเย็นสนิท ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีทั้งเย็นชั่วคราวและเย็นถาวร)
ดังนั้นคำถามที่ว่า -พระพุทธเจ้าตรัสรู้ "จริงมั้ย อย่างไร พิสูจน์อย่างไร" และ -นิพพาน ที่ว่า "คืออะไร จริงมั้ย พิสูจน์อย่างไร" นั้นจึงสามารถตอบได้พร้อมกัน คือต้องพิสูจน์นิพพานให้ได้ เมื่อพิสูจน์นิพพานได้แล้วเราก็จะเกิดความเห็นแจ้งขึ้นมาได้เองว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องการดับทุกข์จริงๆ เพราะเราสามารถพิสูจน์ตามคำสอนของพระพุทธองค์ จนสามารถดับทุกข์ได้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้ว (คือแม้เพียงชั่วคราว แต่ถ้าอยากจะทำได้อย่างถาวรหรือตลอดชีวิต ก็ต้องปฏิบัติต่อไปอย่างต่อเนื่องนานๆ)
แล้ววิธีพิสูจน์นิพพานนั้นต้องปฏิบัติอย่างไร? คำตอบคือ การจะพิสูจน์นิพพานนั้น เราก็ต้องพิสูจน์นิพพานขั้นต้นที่เป็นความเย็นสนิทที่เป็นเพียงชั่วคราวก่อน (ความเย็นสนิทชนิดชั่วคราวก็เหมือนเย็นสนิทถาวร ต่างกันเพียงชั่วคราวกับถาวรเท่านั้น) เมื่อเราทำจิตให้นิพพานได้ชั่วคราวแล้ว เราก็จะรู้จักนิพพานถาวรได้เองเพราะมันมีความเย็นเหมือนกัน
ส่วนวิธีการพิสูจน์นั้นก็ไม่ยาก แต่มันก็ต้องมีหลักการตายตัว คือก่อนอื่นเราจะต้องปฏิบัติกายและวาจาของเราให้เป็นปกติ เรียบร้อย อันได้แก่ การไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งเรื่องทางเพศของผู้อื่น และการไม่พูดโกหก คำหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ อยู่เป็นปกติก่อนในชีวิตประจำวัน (ที่เรียกว่ามีศีล) ต่อจากนั้นเราก็ต้องฝึกจิตให้สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เช่น ลมหายใจ หรือในการคิด ในการอ่าน ในการพูด ในการกระทำทางกาย ที่ถูกต้องดีงาม) ได้นานๆ จนจิตไม่ฟุ้งซ่าน (คือมีสมาธิ)
เมื่อจิตมีสมาธิแล้ว ต่อไปก็ใช้จิตที่มีสมาธินี้มาเพ่งพิจารณาถึงกฎสูงสุดของธรรมชาติที่ควบคุมทุกสิ่งอยู่ โดยกฎนั้นมีอยู่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น" (ที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา)
เมื่อเราเข้าใจและยอมรับกฎสูงสุดนี้แล้ว ต่อไปเราก็มาเพ่งดูร่างกายของเรา ว่ามันก็เป็นสิ่งที่มีการ "เกิดขึ้น" ด้วยเหมือนกัน (การเกิดขึ้นก็คือจากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นทีหลัง) คือร่างกายแต่เดิมมันไม่มี แต่มีพ่อและแม่ช่วยกันสร้างขึ้น และมีอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์มาปรุงแต่งหรือสร้างให้เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเราเพ่งพิจารณาต่อไปให้ลึกขึ้น เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้วร่างกายของเราเองจริงๆมันไม่ได้มี แต่เมื่อมีเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่ง มันจึงเกิดขึ้นมา เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ ( อนิจจัง-ไม่เที่ยง)
ซ้ำขณะที่ยังตั้งอยู่ มันก็ยังต้องทนที่จะประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก (ทุกขัง-สภาวะที่ต้องทน) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานี้มันไม่ใช่ร่างกายจริงๆเลย (อนัตตา-ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงที่จะมีอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดรได้)
ซึ่งนี่ก็คือการเห็นสุญญตา (คือความว่างตามธรรมชาติ) ในร่างกาย คือเห็นความว่างจากร่างกายจริงๆ หรือเห็นว่ามันไม่มีร่างกายจริงๆอยู่ในร่างกายนี้ (หรือเห็นว่ามีแต่อะตอมมากมายมหาศาลมาปรุงแต่งหรือประกอบกันขึ้นมาเป็นอวัยวะต่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายตามที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ) และแม้วัตถุสิ่งของทั้งหลายก็มีความเป็นสุญญตาด้วยเหมือนกันกับร่างกายนี่เอง
ทีนี้ต่อไปสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเห็นจิตใจของเราเป็นสุญญตา (คือเห็นว่าไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตนี้) โดยการเพ่งพิจารณาดูจากจิตของเราเองจริงๆ เราก็จะพบว่า จิต (คือสิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้) ของเรานั้นแต่เดิมมันก็ไม่มีอยู่ก่อน เมื่อมีร่างกายจิตจึงค่อยเกิดขึ้นมา และเมื่อเราหลับสนิทและไม่ฝัน จิตก็ไม่มี แต่เมื่อเราตื่น จิตจึงค่อยเกิดขึ้นมา ซึ่งเพียงเท่านี้ก็แสดงให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งได้ทันทีว่า จิตก็เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างให้มีการ "เกิดขึ้น" เหมือนกันกับร่างกายและวัตถุสิ่งของทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้นนี่จึงแสดงให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งได้ต่อไปว่า จิตที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้ มันไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวเราจริงๆ รวมทั้งทำให้เราเข้าใจและเห็นแจ้งต่อไปอีกว่า มันไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตนี้ (เห็นสุญญตา) ซึ่งนี่ก็คือการเห็นสุญญตาในจิตใจและร่างกาย หรือเห็นความว่างจากตัวเรา-ของเรา ในจิตใจและร่างกายที่สมติเรียกกันว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ (ซึ่งนี่ก็คือการมีปัญญา)
เมื่อเห็นสุญญตา (เห็นว่ามันไม่มีตัวเราอยู่จริง) ดังนี้แล้ว จิตมันก็จะปล่อยวางความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้ รวมทั้งในทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้ ว่าเป็นตัวเรา-ของเราลงทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ มันก็จะไม่มีความทุกข์ (ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือความเศร้าโศก ความเสียใจ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเรา) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะสงบเย็นหรือนิพพาน แม้เพียงชั่วคราว (คือเมื่อจิตไม่มีความยึดถือ จิตก็จะไม่มีทุกข์หรือนิพพาน)
สรุปว่า การพิสูจน์เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและนิพพานนั้น ก็สามารถพิสูจน์ได้ในครั้งเดียว โดยการปฏิบัติให้มีศีล สมาธิ และปัญญาพร้อมกัน เราก็จะสามารถทำให้นิพพานปรากฏขึ้นมาได้จริงๆแม้เพียงชั่วคราว ซึ่งนี่ก็คือการพิสูจน์เรื่องการตรัสรู้และนิพพาน ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการหาคำตอบ