เรื่องศรัทธา (ความเชื่อ) นั้น เป็นคำสอนระดับศีลธรรม ที่เอาไว้สอนชาวบ้านทั่วๆไป และมีผลเพียงทำให้อุ่นใจ สบายใจไปวันๆเท่านั้น แต่นำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้
ส่วนปัญญา (ความรอบรู้ในเรื่องที่ควรรู้) นั้นเป็นคำสอนระดับสูง (ปรมัตถธรรม) ที่เอาไว้สอนคนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และมีผลเป็นความดับลงของความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งผู้ที่สามารถปฏิบัติปัญญา ศีล สมาธิ จนสามารถดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้นั้นจะสมมติเรียกว่าเป็น พุทธะ ที่หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
คำว่า รู้ ก็คือรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต คำว่า ตื่น ก็คือ ตื่นจากความไม่รู้ คำว่า เบิกบานก็คือ สดชื่นหรือไม่มีทุกข์ ซึ่งการจะบรรลุถึงความเป็นพุทธะแต่ละขั้นได้นั้น จะต้องใช้ปัญญาเป็นตัวนำ จะใช้ศรัทธาหรือความเชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน
ถึงแม้เราจะศึกษาจากตำราหรือจากครูอาจารย์ เราก็ยังไม่เชื่อ แต่ให้นำคำสอนนั้นมาพิจารณาดูก่อน ถ้าเห็นว่ามีโทษ ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าดีและไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลจริงก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วดับทุกข์ได้จริง ก็ให้ปลงใจเชื่อได้และนำมาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
พุทธะต้องไม่มีศรัทธา ถ้ามีศรัทธาจะไม่เป็นพุทธะ
ส่วนปัญญา (ความรอบรู้ในเรื่องที่ควรรู้) นั้นเป็นคำสอนระดับสูง (ปรมัตถธรรม) ที่เอาไว้สอนคนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และมีผลเป็นความดับลงของความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งผู้ที่สามารถปฏิบัติปัญญา ศีล สมาธิ จนสามารถดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้นั้นจะสมมติเรียกว่าเป็น พุทธะ ที่หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
คำว่า รู้ ก็คือรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต คำว่า ตื่น ก็คือ ตื่นจากความไม่รู้ คำว่า เบิกบานก็คือ สดชื่นหรือไม่มีทุกข์ ซึ่งการจะบรรลุถึงความเป็นพุทธะแต่ละขั้นได้นั้น จะต้องใช้ปัญญาเป็นตัวนำ จะใช้ศรัทธาหรือความเชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน
ถึงแม้เราจะศึกษาจากตำราหรือจากครูอาจารย์ เราก็ยังไม่เชื่อ แต่ให้นำคำสอนนั้นมาพิจารณาดูก่อน ถ้าเห็นว่ามีโทษ ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าดีและไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลจริงก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วดับทุกข์ได้จริง ก็ให้ปลงใจเชื่อได้และนำมาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป