สมาธิคือจิตที่ตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา
สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือหมายถึง อาการที่จิตเพ่ง หรือสนใจ หรือจับอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสมาธินี้ก็มีทั้งสมาธิผิดและสมาธิถูก ซึ่งสมาธิผิดก็คืออาการที่จิตเพ่งอยู่ที่สิ่งที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ เช่น กามารมณ์ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความโกรธ เป็นต้น ส่วนสมาธิที่ถูกต้องก็คืออาการที่จิตเพ่งอยู่ที่สิ่งที่ทำให้จิตไม่เกิดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เช่น ลมหายใจ วัตถุที่ไม่ใช่กามารมณ์ และการคิดที่ทำให้เกิดปัญญา เป็นต้น โดยสมาธิที่ถูกต้องจะมีลักษณะ ๓ ประการ คือ
๑. บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสและนิวรณ์ที่จะมาทำให้จิตเป็นทุกข์
๒. ตั้งมั่น คือ หนักแน่นมั่นคง หรือเข้มแข็ง ไม่มีอะไรจะมายั่วยวนจิตให้หวั่นไหวหรือเกิดกิเลสได้
๓. อ่อนโยน คือ ควบคุมง่าย มีสติตลอดเวลา มีความสุขุม รอบครอบ มีความจำดี และคิดได้ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งเหมาะสมกับการนำมาใช้ในการปฏิบัติงานทุกชนิด เช่นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ หรือในการเรียนของนักเรียน หรือในการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
วิธีการฝึกสมาธิอย่างง่ายๆ
ตามปกติเราก็พอจะมีสมาธิกันอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่จะไม่มากพอเท่านั้น อย่างเช่น เวลาเราตั้งใจฟังครูสอน หรือตั้งใจอ่านหนังสือ เราก็จะมีสมาธิขึ้นมาแล้วโดยอัตโนมัติ ซึ่งนี่ก็คือสมาธิที่จำเป็นสำหรับใช้คู่กับปัญญาในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ซึ่งวิธีการฝึกให้จิตมีสมาธิโดยตรงนั้นก็สามารถทำได้โดยการตั้งใจในการทำ, พูด, และคิดของเราเอง หรือในการทำกิจวัตรประจำวันของเราก็ได้ หรือใครจะมาฝึกโดยอ้อมตามวิธีการที่มีผู้สอนเอาไว้ก็ได้ อย่างเช่น การฝึกกำหนดการหายใจของร่างกาย หรือการเพ่งวัตถุ เป็นต้น
วิธีการฝึกกำหนดการหายใจนั้น ปกติเราจะใช้อิริยาบถใดก็ได้ แต่ถ้าเพิ่งเริ่มต้นฝึกควรใช้อิริยาบถนั่งก่อน เพราะจะทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายกว่าอิริยาบถอื่น ส่วนวิธีการฝึกก็ให้เราตั้งใจกำหนดอยู่ที่การหายใจของร่างกายของเราอยู่ตลอดเวลา โดยพยายามอย่าไปกำหนดสิ่งอื่นภายนอกร่างกาย และพยายามอย่าไปคิดถึงเรื่องที่จะทำให้กิเลสและนิวรณ์เกิดขึ้นมา ซึ่งในการกำหนดการหายใจของร่างกายนี้ เราอาจจะใช้วิธีการนับลมหายใจของเราไปเรื่อยๆเพื่อให้จิตสงบก็ได้ หรือจะท่องคำสั้นๆในขณะที่เรากำลังหายใจ เพื่อให้มีสติอยู่ตลอดเวลาก็ได้ และเมื่อจิตของเราไม่มีกิเลสและนิวรณ์ รวมทั้งมีสติตลอดเวลา จิตของเราก็จะมีสมาธิขึ้นมาทันที
แต่ถ้าจิตยังไม่สงบ ให้ลองใช้วิธีคิดด้วยสติ (คือตั้งใจคิดให้เป็นคำพูดแล้วก็ตั้งใจฟังด้วย) โดยการตั้งใจคิดช้าๆด้วยประโยคสั้นๆ ในขณะที่กำลังหายใจออก แต่เมื่อหายใจเข้าก็ให้หยุดคิด (หรือจะคิดช่วงเวลาหายใจเข้าก็ได้ เมื่อหายใจออกก็ให้หยุดคิด) ซึ่งการคิดนี้ควรคิดเรื่องที่ทำให้เกิดปัญญาหรือความรู้ที่ดีงาม เช่น เรื่องความไม่เที่ยง สภาวะที่ต้องทน และเรื่องความไม่ใช่ตัวเรา หรือเรื่องการทำงาน หรือเรื่องการเรียน หรือเรื่องการเตือนตนเอง หรือเรื่องการสอนอริยสัจ ๔ เป็นต้น
การฝึกเช่นนี้จะทำให้จิตเกิดสมาธิได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เกิดปัญญาพร้อมๆกันไปด้วย ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าจิตของเรามีสมาธิหรือไม่ โดยให้สังเกตได้จากการที่จิตของเราสงบหรือไม่ฟุ้งซ่านแล้ว (คือไม่มีกิเลสและนิวรณ์) และความดิ้นรนของจิตก็จะไม่มี รวมทั้งมีความสุขที่สงบ และจิตของเราก็จะมีสติอยู่ตลอดเวลาด้วย ซึ่งเมื่อจิตไม่มีกิเลสและนิวรณ์ จิตก็จะไม่มีความทุกข์แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อจิตไม่มีทุกข์แม้เพียงเล็กน้อย จิตก็จะนิพพานสูงสุด เมื่อจิตนิพพานสูงสุด ก็แสดงว่าจิตมีสมาธิแล้วอย่างสมบูรณ์
สมาธินี้มีหลายระดับ ซึ่งระดับต้นๆก็จะมีความตั้งใจมากในการระมัดระวังไม่ให้กิเลสและนิวรณ์เกิดขึ้น รวมทั้งมีความสุขที่สงบและปีติด้วย ส่วนระดับที่สูงขึ้นก็ไม่ต้องระมัดระวังกิเลสและนิวรณ์มากแล้วเพราะชำนาญแล้ว รวมทั้งปีติจะหายไป จะมีแต่เฉพาะความสุขสงบเท่านั้น ส่วนระดับที่สูงขึ้นก็จะไม่มีความสุขสงบแล้ว จะมีก็เฉพาะความสงบเท่านั้น และเมื่อจิตมีความสงบ นิพพานสูงสุดก็จะปรากฏ
สรุปได้ว่า สมาธินี้เราทุกคนสามารถฝึกฝนเอาเองได้ โดยการตั้งใจเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องหรือดีงามให้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เราก็จะมีสมาธิขึ้นมาได้ แต่เราก็จำเป็นต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ก่อนแล้วเป็นพื้นฐาน เราจึงจะฝึกจิตให้มีสมาธิที่ถูกต้องได้ ส่วนสมาธิที่สูงไปกว่านี้ที่เป็นการเพ่งกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนไม่มีการรับรู้สิ่งอื่นๆนั้นไม่จำเป็น เพราะสมาธิเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะนำมาใช้ดับทุกข์ได้แล้ว
วิธีการฝึกสมาธิอย่างง่ายๆ
สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือหมายถึง อาการที่จิตเพ่ง หรือสนใจ หรือจับอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสมาธินี้ก็มีทั้งสมาธิผิดและสมาธิถูก ซึ่งสมาธิผิดก็คืออาการที่จิตเพ่งอยู่ที่สิ่งที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ เช่น กามารมณ์ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความโกรธ เป็นต้น ส่วนสมาธิที่ถูกต้องก็คืออาการที่จิตเพ่งอยู่ที่สิ่งที่ทำให้จิตไม่เกิดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เช่น ลมหายใจ วัตถุที่ไม่ใช่กามารมณ์ และการคิดที่ทำให้เกิดปัญญา เป็นต้น โดยสมาธิที่ถูกต้องจะมีลักษณะ ๓ ประการ คือ
๑. บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสและนิวรณ์ที่จะมาทำให้จิตเป็นทุกข์
๒. ตั้งมั่น คือ หนักแน่นมั่นคง หรือเข้มแข็ง ไม่มีอะไรจะมายั่วยวนจิตให้หวั่นไหวหรือเกิดกิเลสได้
๓. อ่อนโยน คือ ควบคุมง่าย มีสติตลอดเวลา มีความสุขุม รอบครอบ มีความจำดี และคิดได้ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งเหมาะสมกับการนำมาใช้ในการปฏิบัติงานทุกชนิด เช่นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ หรือในการเรียนของนักเรียน หรือในการคิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
วิธีการฝึกสมาธิอย่างง่ายๆ
ตามปกติเราก็พอจะมีสมาธิกันอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่จะไม่มากพอเท่านั้น อย่างเช่น เวลาเราตั้งใจฟังครูสอน หรือตั้งใจอ่านหนังสือ เราก็จะมีสมาธิขึ้นมาแล้วโดยอัตโนมัติ ซึ่งนี่ก็คือสมาธิที่จำเป็นสำหรับใช้คู่กับปัญญาในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ซึ่งวิธีการฝึกให้จิตมีสมาธิโดยตรงนั้นก็สามารถทำได้โดยการตั้งใจในการทำ, พูด, และคิดของเราเอง หรือในการทำกิจวัตรประจำวันของเราก็ได้ หรือใครจะมาฝึกโดยอ้อมตามวิธีการที่มีผู้สอนเอาไว้ก็ได้ อย่างเช่น การฝึกกำหนดการหายใจของร่างกาย หรือการเพ่งวัตถุ เป็นต้น
วิธีการฝึกกำหนดการหายใจนั้น ปกติเราจะใช้อิริยาบถใดก็ได้ แต่ถ้าเพิ่งเริ่มต้นฝึกควรใช้อิริยาบถนั่งก่อน เพราะจะทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายกว่าอิริยาบถอื่น ส่วนวิธีการฝึกก็ให้เราตั้งใจกำหนดอยู่ที่การหายใจของร่างกายของเราอยู่ตลอดเวลา โดยพยายามอย่าไปกำหนดสิ่งอื่นภายนอกร่างกาย และพยายามอย่าไปคิดถึงเรื่องที่จะทำให้กิเลสและนิวรณ์เกิดขึ้นมา ซึ่งในการกำหนดการหายใจของร่างกายนี้ เราอาจจะใช้วิธีการนับลมหายใจของเราไปเรื่อยๆเพื่อให้จิตสงบก็ได้ หรือจะท่องคำสั้นๆในขณะที่เรากำลังหายใจ เพื่อให้มีสติอยู่ตลอดเวลาก็ได้ และเมื่อจิตของเราไม่มีกิเลสและนิวรณ์ รวมทั้งมีสติตลอดเวลา จิตของเราก็จะมีสมาธิขึ้นมาทันที
แต่ถ้าจิตยังไม่สงบ ให้ลองใช้วิธีคิดด้วยสติ (คือตั้งใจคิดให้เป็นคำพูดแล้วก็ตั้งใจฟังด้วย) โดยการตั้งใจคิดช้าๆด้วยประโยคสั้นๆ ในขณะที่กำลังหายใจออก แต่เมื่อหายใจเข้าก็ให้หยุดคิด (หรือจะคิดช่วงเวลาหายใจเข้าก็ได้ เมื่อหายใจออกก็ให้หยุดคิด) ซึ่งการคิดนี้ควรคิดเรื่องที่ทำให้เกิดปัญญาหรือความรู้ที่ดีงาม เช่น เรื่องความไม่เที่ยง สภาวะที่ต้องทน และเรื่องความไม่ใช่ตัวเรา หรือเรื่องการทำงาน หรือเรื่องการเรียน หรือเรื่องการเตือนตนเอง หรือเรื่องการสอนอริยสัจ ๔ เป็นต้น
การฝึกเช่นนี้จะทำให้จิตเกิดสมาธิได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เกิดปัญญาพร้อมๆกันไปด้วย ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าจิตของเรามีสมาธิหรือไม่ โดยให้สังเกตได้จากการที่จิตของเราสงบหรือไม่ฟุ้งซ่านแล้ว (คือไม่มีกิเลสและนิวรณ์) และความดิ้นรนของจิตก็จะไม่มี รวมทั้งมีความสุขที่สงบ และจิตของเราก็จะมีสติอยู่ตลอดเวลาด้วย ซึ่งเมื่อจิตไม่มีกิเลสและนิวรณ์ จิตก็จะไม่มีความทุกข์แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อจิตไม่มีทุกข์แม้เพียงเล็กน้อย จิตก็จะนิพพานสูงสุด เมื่อจิตนิพพานสูงสุด ก็แสดงว่าจิตมีสมาธิแล้วอย่างสมบูรณ์
สมาธินี้มีหลายระดับ ซึ่งระดับต้นๆก็จะมีความตั้งใจมากในการระมัดระวังไม่ให้กิเลสและนิวรณ์เกิดขึ้น รวมทั้งมีความสุขที่สงบและปีติด้วย ส่วนระดับที่สูงขึ้นก็ไม่ต้องระมัดระวังกิเลสและนิวรณ์มากแล้วเพราะชำนาญแล้ว รวมทั้งปีติจะหายไป จะมีแต่เฉพาะความสุขสงบเท่านั้น ส่วนระดับที่สูงขึ้นก็จะไม่มีความสุขสงบแล้ว จะมีก็เฉพาะความสงบเท่านั้น และเมื่อจิตมีความสงบ นิพพานสูงสุดก็จะปรากฏ
สรุปได้ว่า สมาธินี้เราทุกคนสามารถฝึกฝนเอาเองได้ โดยการตั้งใจเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องหรือดีงามให้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เราก็จะมีสมาธิขึ้นมาได้ แต่เราก็จำเป็นต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ก่อนแล้วเป็นพื้นฐาน เราจึงจะฝึกจิตให้มีสมาธิที่ถูกต้องได้ ส่วนสมาธิที่สูงไปกว่านี้ที่เป็นการเพ่งกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนไม่มีการรับรู้สิ่งอื่นๆนั้นไม่จำเป็น เพราะสมาธิเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะนำมาใช้ดับทุกข์ได้แล้ว