ใครบังเอิญเห็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ชอบลังเลแบบผมบ้างคับ??

กระทู้สนทนา
"Fortune Favors the Prepared Mind." - Louis Pasteur

ขณะที่ผมเรียนอยู่ที่อังกฤษ มีอยู่เย็นวันหนึ่ง ผมกับเพื่อนอีกสองคน กำลังเดินทางไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนๆ ที่เหลือ  ด้วยความที่พวกเราไปสายพอสมควร พอประตูรถไฟเปิดที่ปลายทาง พวกเราจึงเดินออกอย่างเร่งรีบ พร้อมกับฝูงคนที่ดูรีบไม่แพ้พวกเรา

ระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินลงบันได เพื่อออกจากชั้นชานชาลา พวกเราก็เห็นแม่ลูกอ่อน รูปร่างใหญ่พอสมควร อายุน่าจะประมาณสามสิบ  กำลังพยายามค่อยๆเข็นรถเข็นที่มีเด็กทารกขึ้นบันไดสวนกับเรา  เธอคนนั้นค่อยๆเข็นเด็กที่น่าจะเป็นลูกของเธอ ขึ้นบันไดทีละขั้น ทีละขั้น

ขณะที่ที่ผมกำลังจะเดินสวนเธอที่กึ่งกลางบันได ผมก็สะกิดใจขึ้นมาทันที “เราควรช่วยนะเนี่ย.. ช่วยดีมั๊ย? ช่วยดีมั๊ย?!”

ทุกๆ ก้าวที่ผมเดินลง ทุกๆ วินาทีที่ผมมองแม่ของเด็กคนนั้น ความคิดจำนวนมหาศาลก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม "ช่วยดีมั๊ย? คนอังกฤษเค้าช่วยกันหรอ? แต่เรารีบอยู่ เดี๋ยวก็คงมีคนช่วย? เพื่อนเราไม่มีใครหยุดเลย? ช่วยแล้วเพื่อนจะแซวมั๊ย? เข้าไปช่วยแล้วพูดว่าไรดี? เค้ากลัวเราจะไปทำอะไรเค้ามั๊ย? ขึ้นมาไกลแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา? ช่วยดีมั๊ย!?"

ผ่านไปแค่ สามวินาทีเท่านั้น ผมได้เดินเลยผู้หญิงไปแล้ว
"ยังหันหลังไปช่วยได้อยู่นะ.." ผมพยายามสู้กับข้ออ้างทั้งหลายที่วิ่งอยู่ในหัว..

หนึ่งวินาทีต่อมา.. ผมก็ได้เดินห่างจากเธอคนนั้นเรียบร้อย ผมเลือกที่จะไม่ช่วยเธอ ไม่มีคำว่า "กลับไปช่วยยังทันนะ" อีกแล้ว และสิ่งที่เข้ามาในหัวแทนคือความรู้สึกผิด และความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อตัวเอง

ความรู้สึกผิดนั้นได้ทวีขึ้นไปอีก เมื่อชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังพวกเรา ได้ช่วยผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดกับผู้หญิงคนนั้น ด้วยเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดพอสมควรว่า “I can’t believe no one is helping you. (ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่มีใครช่วยคุณ)”

ในใจผมรู้สึกเหมือนโดนว่าอย่างจัง แต่มันคือความจริงที่เจ็บปวด "เรา'คิด'ที่จะช่วยแล้ว เราช่วยได้ แต่เรา'ไม่'ได้ช่วย ทำไม ทำไม!?"

ระหว่างที่ผมกำลังแตะบัตรออกจากสถานี แบบเซ็งกับตัวเอง ผมก็นึกถึงประโยคหนึ่ง ที่ผมมักจะได้ยินนักธุรกิจที่ผมชื่นชอบ หลายๆคนชอบพูดเน้น ที่ว่า “ถึงไอเดียคุณจะดีเลิศยังไง ถ้าไม่มีใครลงมือทำให้เป็นจริง ไอเดียนั้นก็ไร้ประโยชน์”

"วลีนี้ไม่ได้มีไว้ใช้กับโลกธุรกิจอย่างเดียวจริงๆ" ผมคิด

ระหว่างที่ผมเดินออกจากสถานีรถไฟ ผมทนคิดในใจไม่ไหว เลยเอ่ยขึ้นมาว่า "เมื่อกี้เราน่าจะช่วยผู้หญิงคนนั้นนะ" เพื่อนๆทั้งคู่เห็นด้วย ผมคิดในใจว่า "ข้ออ้าง ของพวกเราคงจะคล้ายๆกัน" แต่ไม่กล้าพูดข้ออ้างเหล่านี้ขึ้นมา เพราะยิ่งพูด เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเอง เพราะข้ออ้างพวกนี้มันไร้สาระทั้งนั้น

"คราวหน้าพวกเราต้องช่วยละ ต้องอย่าไปคิดเยอะ ต้องช่วยเลย" ผมบอกกับเพื่อนๆ และพวกเราก็ต่างพยักหน้าตกลงกัน

เมื่อผมกลับมาถึงหอพักในเย็นวันนั้น ผมรีบเปิดคอมมาเขียนไดอารี อธิบายถึงเหตุการณ์และกระบวนความคิดต่างๆ ที่ผมได้เจอวันนี้ (ไม่นึกว่าจะเอามาเขียนเป็นบล็อกได้ ฮ่าๆ)  ในตอนสุดท้ายของไดอารี ผมได้เขียนปัจจัยหรือ "ข้ออ้าง"ทั้งหลาย ที่วิ่งเข้ามาในหัวผมที่ทำให้ผมคิดที่จะไม่ช่วยผู้หญิงคนนั้น  ข้ออ้างหลักๆ ได้แก่ 1 เพื่อนอยู่ 2 เวลาที่มีให้ตัดสินใจแค่สี่วินาที 3 สภาพแวดล้อมที่ทุกคนต่างเร่งรีบ และ 4 วัฒนธรรม"ต่างคนต่างอยู่"ที่อังกฤษ (ที่ไม่จริงเสมอไป)

ทันทีที่ผมเขียนข้ออ้างเสร็จ ผมก็เขียนแนวทางปฏิบัติสำหรับครั้งหน้า  ครั้งนี้ผมมีเวลาคิดอีกเป็นวัน รู้แล้วอะไรถูก อะไรผิด ครั้งหน้าต้องช่วย! ในส่วนนี้ ผมเขียนไว้ว่า..

...วิธีแก้ไข เพื่อที่จะได้ทำดีในอนาคต
-  เราต้องบอกกับตัวเองว่า อย่าอายที่จะทำดี
     -  บอกกับตัวเองว่า เวลาเจอ ไม่ต้องคิดเยอะ ทำเลย
     -  ลองคิดดูว่า ถ้าเราช่วยแล้วเรารู้สึกยังไง แล้วไม่ช่วยเราจะรู้สึกแย่แบบนี้ขนาดไหน (เลือกที่จะทำ option ที่จะ regret (เสียดาย) น้อยที่สุด)


และหลังจากวันนั้นอีกไม่นาน ผมก็ได้เขียนไดอารี่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง..

ได้ช่วยแล้ว! 15-Jan-2015

วันนี้เจอคนแก่กำลังยกรถเข็นเด็กลงบันไดสถานีรถไฟ Hammersmith (ไม่มีเด็กอยู่ในนั้น แต่ดูหนัก) เลยเสนอช่วย เค้าก็ให้ช่วย เราก็ดีใจได้ช่วยอย่างที่ตั้งใจไว้  สรุปว่าที่ตั้งใจไว้ว่าถ้าเจอคนต้องการความช่วยเหลือ ให้รีบช่วย ได้ผลนะเนี่ย เราดีใจที่ได้ช่วย

หลังจากนั้นพอขึ้นบันไดจากอุโมงค์อิมพีเรียล ก็เจออีกคนกำลังยกรถเข็นเด็กขึ้นบันได เราก็ทำเหมือนเดิมคือเสนอความช่วยเหลือเลย แต่ถามผิดไปหน่อย ถามว่า Do you want me to help เบาๆ ที่จริงต้องถามว่า Do you need a hand? จะเป็นกันเองมากกว่าน่ะ สรุปว่าเค้าบอกไม่เป็นไร เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรืออายเท่าที่ควรนะ นิดเดียว คิดในใจ ถ้าเราไม่ offer ไปเราจะ regret มากกว่าที่เราไม่เสนอที่จะช่วยเหลือเค้า

เยี่ยม :3


ต้องขอขอบคุณบุรุษนิรนามผู้นั้นจริงๆ ที่ว่าพวกเรา จนทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจนเก็บมาเปลี่ยนตัวเองได้ในวันนั้น

หลังจากที่ได้ช่วยแบบ"ตั้งใจ100%" ครั้งแรก ตอนนี้ก็ผ่านมาได้สี่เดือนแล้ว ผมได้ช่วยทั้งคนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย ยกรถเข็นอีกเป็นสิบครั้ง  ทุกครั้งที่ได้รับคำขอบคุณ เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ แต่ที่รู้สึกดียิ่งกว่าคือเรารู้สึกว่าเราก็เป็นคนดีกับเขาได้เหมือนกัน

ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ ไม่ใช่มีจุดประสงค์เพื่อจะโอ้อวดใดๆทั้งสิ้น ผมคิดว่าเรื่องแค่นี้เอาไปอวดใครไม่ได้ และการกระทำนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนๆหลายๆคน ก็ทำกันอย่างเป็น"เรื่องปกติ"อยู่แล้วครับ

ผมแค่อยากจะแชร์บทเรียนที่ผมเจอ และยืนยันกับเพื่อนๆว่า การคิดว่าจะทำอะไรไว้ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้  อย่างที่ Louis Pasteur หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นวัคซีน ได้กล่าวไว้ว่า "Fortune favors the prepared mind หรือ โชคมักเข้าข้างคนที่เตรียมพร้อม" (ไม่แน่ใจว่าแปลความตามเจตนาเค้ารึเปล่า ฮ่าๆ)

ผมยังได้เรียนรู้อีกว่า คำว่า Fortune หรือโชค ในที่นี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงินหรือความสำเร็จด้านการงาน แต่สามารถเป็นความสุขที่เราได้ช่วยเหลือคนอื่น และได้รับคำขอบคุณและรอยยิ้มครับ

หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กว่ากระทู้ "อายุ 26 เงินเดือน 90k นะครับ 55555 http://pantip.com/topic/33708611" (อิจฉาๆ อวดแค่นี้คนแชร์ 50k ><)

ติดตามบล็อกได้ที่ http://metapon.wordpress.com หรือ www.facebook.com/metaponBlog ครับ เยี่ยม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่