[ 30 / 5 / 2015 ]
สวัสดีนะคะ
เป็นกระทู้แรกเลยที่เราเขียน
เรามีเรื่องเครียดเยอะมาก อยากจะมาระบาย
คือ เมื่อสองปีที่แล้วพ่อเราประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวเราประสบปัญหากันอย่างมาก เพราะขาดหัวหน้าครอบครัว แม่เราทำงานหนัก พี่สาวเราขึ้นม.หก ส่วนเราขึ้นม.สี่ เราเรียนห้องเรียนพิเศษค่าเทอมเลยแพงกว่าปกติ เราเรียนห้องสายศิลป์-ญี่ปุ่น คือพ่อเราเสียตอนเราจบม.สามพอดี ยอมรับว่าเราเป็นเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ตอนม.หนึ่ง เราไม่ตั้งใจเรียนเลย เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง เนื่องจากว่าที่รร.เรียนเราจะแบ่งห้อง เป็น ห้องหนึ่งถึงห้องสี่ ถือว่าฉลาดตามลำดับ เด็กห้องห้าจนถึงห้องสิบสองเป็นเด็กไม่ค่อยฉลาดตามลำดับ ส่วนอีกสามห้องเป็นโปรแกรมพิเศษ จัดเรียงโดยการสอบเลือกห้อง เราได้ห้องสาม เราคิดว่าเราฉลาก เราเก่ง เลยไม่ตั้งใจเรียน กลายเป็นว่าติดศูนย์ พ่อแม่เราเสียใจ เพราะเราไม่เคยติดเลย เราตกใจมาก เลยเริ่มปรับปรุงตัวเองตอนม.สอง
พอขึ้นม.สองเราก็เริ่มชอบจัสติน บีเบอร์ เอาจริงๆเราเริ่มชอบเจบีตั้งแต่ม.หนึ่งเทอมสองแล้ว แต่เราไม่ได้ติดขนาดนั้น กลายเป็นว่าเราเริ่มชอบภาษา พอเทอมสองมา เพื่อนก็ชวนให้เราลองอ่านนิยายวาย(นิยายเกี่ยวกับชายรักชาย) ตั้งแต่นั้นมา เราก็เป็นสาววาย และเลิกชอบเจบี แล้วมาเป็นติ่งเต๋าคชาแทน เราติ่งเต๋าคชาหนักมาก จนเคยโดดเรียนพิเศษไปดูคอน แอบไปตามติ่งอยู่สองสามครั้ง
ครอบครัวเราเป็นคนหัวโบราณ เพราะแต่เดิมแล้วครอบครัวเราเป็นคนยโส มีแต่เราที่มาอยู่กรุงเทพแต่เกิด กลายเป็นว่า เราเป็นคนหัวสมัยใหม่ แต่ครอบครัวเราเป็นคนหัวโบราณ เราไม่ซีเรื่องเพศ สังคมของเราก็ไม่ซี ทั้งชีวิตจริง ทั้งอัลไซเมอร์ เรามีสังคมของเรา ที่เข้าใจเรา
และที่สำคัญ เราเป็นคนติส ติสมากด้วย ศิลป์มาเต็มตัว และทั่วสายเลือดเลยก็ว่าได้ ความคิดเราต่างจากคนอื่นมาก คิดไม่เหมือนใคร บ่อยครั้งที่จะทะเลาะเพื่อนความคิดของตัวเอง เข้ากับคนอื่นยาก แต่เราเป็นคนเฮฮา บ้าๆรั่วๆมากกว่า แต่เรื่องความคิดของเรายังป็นปัญาหาอยู่
แต่ครอบครัวของเราไม่มีใครรับในสิ่งที่เราชอบได้ ครอบครัวของเรา ไม่อยากให้เป็นติ่ง ตามจริงก็เริ่มรู้ว่าครอบครัวไม่ชอบตัวตั้งแต่เรา ติ่งเจบีแล้วแต่ท่านไม่ได้พูดอะไร เพราะแต่ชอบเฉยๆ เราไม่ได้ติ่งหนักเท่าเต๋าคชา พอเราติ่งเต๋าคชาเราโดนหนักเลย เราเข้าใจครอบครัวเรานะว่าพวกเขารับไม่ได้ กับเรื่องติ่ง และเรื่องความนิยมของเรา
พอขึ้นม.สามการเรียนเราก็ดีขึ้น คือตอนม.หนึ่งเกรดเราตกขึ้นมงสองเลยโดนย้ามมาอยู่ห้องสี่ ม.สองเกรดเราอัพขึ้น พอขึ้นม.สาม เราเลยได้กลับมาอยู่ห้องสามเหมือนเดิม เราก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เรียน และติ่งเต๋าคชา และเราติ่งหนักกว่าเดิมด้วย
เรากำลังพยายามทำให้ครอบครัวของเราให้รับรู้ว่า ถึงแม้เราจะเป็นสาววาย บ้าดารา แต่เราก็เรียนทำเกรดดีๆได้ แสดงให้เห็นว่า เรื่องติ่งกับเรียน มันไม่เกี่ยวกัน แต่ครอบครัวเราก็ต่อต้านมากเหมือนเดิมอยู่ดี แถมยังมากขึ้นด้วย
เราโชคดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า เราดื้อ เพราะตอนเลือกสายที่จะเรียนในม.ปลาย พ่อแม่จะให้เราเรียนวิทย์-คณิต แต่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ทางของเรา เพราะตอนม.ต้น ที่เราได้อยู่ห้องต้น เราว่ามันไม่ใช่ เราเรียนไม่ได้ เราชอบภาษามากกว่า คือ ห้องหนึ่งถึงสี่ จะเป็นห้องพิเศษ ตรงที่ว่าเรียนหนักกว่าห้องปกติ เราต้องเรียนกับครูต่างชาติ ต้องเรียนคณิตศาสตร์ของม.ต้นและม.ปลาย เราต้องเรียนเคมีของม.ปลายตั้งแต่ม.หนึ่ง เราว่ามันหนักมาก แล้วมันไม่ใช่ทางของเรา เรารู้ว่ามันไม่ใช่ เราเข้าใจว่าพ่อแม่เราอยากให้เราเรียนห้องวิทย์-คณิต และเรากลัวโดนบังคับเหมือนพี่เรามาก เราไม่ยอม เราเลยดื้อจะเรียนสายภาษษมากๆ จนพ่อแม่ยอม
หลังจากที่พ่อเสีย เราก็เริ่มเรียนหนักมากขึ้น ในวิชาภาษาญี่ปุ่น เรามีสอบแทบจะทุกชั่วโมง เราไม่เคยตกเลย มีแต่ได้เต็ม กับเกือบได้เต็มตลอดทุกการสอบ เรามาอวดแม่ทุกครั้ง แต่แม่เราก็ไม่ยินดียินร้ายกับเราเลย แต่เราก็คิดว่า ต้องมีซักวันที่แม่จะชมเรา ยอมรับเลยว่าเราน้อยใจมาก เพราะเราตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ พยายามทำออกมาให้ดีทุกอย่าง เพราะอยากให้แม่สบายใจ และยินดีไปกับเราด้วย
ม.สี่เทอมสอง เราไปสมัครเรียนที่ม.ราม คือ เราเรียนพรีดีกรี เรียนป.ตรีควบคู่ไปกับม.ปลาย เราเลือกคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกญี่ปุ่น
วันไปลงทะเบียน เราไปกับเพื่อนสองคน ลงเอง เรียนเอง จัดการเองทุกอย่าง เพราะแม่เราไม่สนับสนุน แถมก่อนออกจากบ้าน ก็โดนด่าด้วย แทบจะม่อยากไปสมัครอยู่แล้ว
เหตุผลที่เราไปเรียนเพราะเราอยากรีบจบเร็วๆ แล้วมาทำงานเลี้ยงแม่ ตอนนี้แม่ของเราลำบาก ทำงานเลี้ยงลูกสองคน ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเทอม ค่ากิน เราเลยอยากทำงานเร็ว เลยเลือกไปเรียนราม (และอีกอย่างเลย เราอยากให้ยายของเราเห็นเรารับปริญญา เรากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปเสียก่อน เพราะตอนนี้อาการท่านไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ที่สำคัญกว่านั้น เราจะส่งตัวเองเรียนเอาปริญญาตรีอีกใบ ) แต่ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครสนับสนุนเราเลย แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะเราตั้งใจไว้แล้วจริงๆ
เราโดนสบประมาทเยอะมาก ทั้งพี่เรา และคนข้างบ้าน(อันนี้ไม่เข้าใจว่ามาเกี่ยวอะไรด้วย) พี่เราชอบด่าว่าเราโง่อยู่ตลอด “ขอให้ติดศูนย์หลายๆตัวเลย”เจ็บใจมากเลยค่ะ
ส่วนน้าข้างบ้าน พอเขารู้ว่าเราเรียนราม ก็รีบมาคุยกับแม่เราเลย “ไม่น่าไปเรียนเลย เนี่ย ดูสิ ไม่ขยันเลย”อย่างงั้นอย่างงี้ บอกว่า “ขนาดลูกสาวน้าพี่(พี่เขาเรียนม.รามเหมือนกัน คณะเดียวกับเรา แต่เอกEng)เขาไปเรียนทุกวันยังติดเอฟตั้งหลายตัวเลย แล้วนี่ไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็ไม่อ่าน จะผ่านหรอ เสียดายเงินแม่ สานบานสิว่าถ้าติดเอฟมากกว่าสองตัว จะไม่ลงเรียนรามอีก” คือยอมรับว่าเราโมโหมาก แต่เราก็อยากจะขอบคุณน้าเขานะ เพราะมันกลายเป็นแรงผลักดันให้เรา ทุกครั้งที่เรากลับจากไปสอบรามมา น้าเขาก็จะมาถามตลอดว่า”เป็นไง สอบได้ได้ไหม จะค่อยดูนะถ้าติดมากว่าสองตัวห้ามเรียน”
พอวันผลสอบออก กลายเป็นว่า เราผ่านทุกวิชา แถมยังมีวิชาที่ได้เกรดBด้วย เราโพสลงเฟส และเหมือนพี่สาวข้างบ้านจะเห็น (มีเป็นเพื่อนในเฟส) คิดว่าคงให้แม่เขาดูแล้ว เหมือนน้าเขารู้ว่าเราไม่ติดเอฟเลย แถมเกรดดีด้วย น้าเขาเลยไม่ยุ่งกับเราอีกเลย ไม่มาถามเรื่องเกรดเลยด้วย
แต่เรื่องที่เฟลที่สุดคือครอบครัวเราไม่มีใครยินดีกับเราเลยที่เราสอบผ่านหมด แถมเกรดของม.สี่เราได้3.19ด้วย เกรดญี่ปุ่นก็ได้4ทุกเทอม
เราน้อยใจสุดๆ แต่เราก็เปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันมาตลอด
ตอนนี้เราอยู่ม.ห้าแล้ว งานเยอะมาก และเรายังเป็นประธานชุมนุมอีกด้วยแล้วยังมีเด็กAFSจากญี่ปุ่นอีก พวกเราก็ต้องดูแล สื่อสารก็ยาก ตอนนี้เรายุ่งไปหมด งานก็ยิ่งเยอะเข้าไปกันใหญ่ เราบอกครอบครัวของเราแล้วว่า เรางานเยอะนะ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
เวลาติ่งดาราเราแทบจะไม่มี เราเรียนอย่างเดียว
วันหนึ่งเราไปประชุมที่บ้านเพื่อน กลับดึกสองทุ่ม แต่เราโทรบอกน้าของเราก่อนแล้ว ว่าวันนี้กลับดึก พอกลับถึงบ้าน พี่เราก็เราพูดแขวะๆเราว่า “ ประชุมหรือเที่ยว”ประมารนี้ แต่เราก็ไม่สนใจ น้าเราก็เฉยๆ
แต่มาเมื่อวาน เราโทรไปบอกแม่ว่าวันนี้มีประชุม ไปประชุมที่บ้านเพื่อน ขอกลับบ้านดึก แล้วพี่เราก็พูดแทรกมาว่า “เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้ประชุมกันนอกรร.”(คือเราเลือกไปประชุมกันที่บ้านเพื่อนเพราะมีตัวอย่างงาน และสงบกว่ารร. และยังเป็นส่วนตัวด้วย) แม่เราก็ดูจะไม่เชื่อว่าเราไปประชุมจริงๆ เราบอกแม่ว่า คงกลับไปเกินทุ่ม แถมก่อนว่าสาย แม่ก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าให้จับได้นะว่าไปเที่ยว” แผนของพวกเราเสียนิดหน่อย เพราะเมื่อวานเราต้องประชุมห้องกัน เกี่ยวกับงานในรร. เลยทำให้ไปประชุมกันที่บ้านเพื่อนช้า แล้วพอไปถึง ตอนประชุมกันก็เกือบทะเลาะกัน แต่ไม่มีแรงจะทะเลาะ เพราะยังไม่มีใครได้กินข้าว พวกเราทำงานกันหนักมาก
เรากลับถึงบ้านสามทุ่มกว่าๆ มาถึงก็ไม่มีใครคุยกับเราเลย มาวันนี้แม่ก็มาโมโหใส่เรา เห็นเราเปิดคอม ก็บอกว่าเราเล่นไร้สาระ ทั้งที่เราทำงานของเราอยู่
ทุกวันนี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง อาบน้ำไปรร.เอง(ตอนมีพ่อ พ่อจะไปส่งและรับ) นอนดึกเพราะทำงาน เสาร์ อาทิตย์ที่คิดว่าจะได้หยุด ได้ตื่นสายก็ไม่ใช่ อย่างวันนนี้ แม่มาปลุกเรา ให้เราไปเฝ้าร้านตั้งแต่เช้า ทั้งๆที่เราเหนื่อยมาก และเราก็มีงานต้องทำ
เราไปเฝ้าร้านให้ พอแม่กลับมาจากข้างนอก แม่ก็ด่าๆเรา ไม่เลิก ด่าได้ทุกอย่าง เราทำงาน ก็บอกเราเล่น แค่เราเดินยังด่า แถมยังไล่เราให้ไปอยู่เพื่อนอีกด้วย
มันเสียใจนะ การที่เราตั้งใจทำอะไรซักอย่าง แต่เขาไม่เห็นคุณค่าเลย
และที่เสียใจมากที่สุดคือ ไม่มีใครยอมรับในตัวตนของเราได้
ช่วงนี้ละครของเต๋า กำลังแสดงอยู่ พี่เราก็จะด่าเต๋าให้เราได้ยิน เราเจ็บใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เวลาพี่เห็นเกย์ ก็จะด่าว่าทุเรศอย่างงั้นอย่างงี้ เราเจ็บใจจริงๆ มันทรมารสุดๆ
บางทีเราอยากจะถามจริงๆว่า " ไม่เคยสงสารกันบ้างหรอ ที่ทำแบบนี้ "
เราว่า มันโหดเกินไปสำหรับเด็กม.ปลายอย่างเรา
สุดท้ายนี้ สิ่งที่เราต้องการก็แค่กำลังใจ เราไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เป็นเราหรอที่ผิด เป็นเราหรอที่ไม่ดี จะว่าแม่ไม่ดี มันก็ไม่ใช่ พอมามองตัวเอง เราก็ยังหาข้อผิดไม่ได้เลย เราไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่เราไม่เข้าใจจริงๆ
ตอนนี้ก็เครียดๆอยู่ว่า โปรเจคอังกฤษเราจะไปทำได้ไหม คือมันเป็นโปรเจคให้ทำรายการเป็นของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ต้องไปสัม.ชาวต่างชาติ เราต้องไปทำที่เขาเขียว มันไกลมา ไม่รู้จะไปได้หรือเปล่า วันจันทร์นี้เราก็ต้องไปทำโปรเจควิทย์กับเพื่อนอีก (สรุปเราเรียนห้องศิลป์ญป.หรือวิทย์ - คณิตกันแน่ งานเยอะกว่าวิชาญป.อีก555)
นี่แหละค่ะเรื่องราวของเรา ไม่ดีเลยใช่ไหม?555 ตอนนี้โล่งมากเลย ขอบคุณมากเลยนะคะ
ผิดอะไร?
สวัสดีนะคะ
เป็นกระทู้แรกเลยที่เราเขียน
เรามีเรื่องเครียดเยอะมาก อยากจะมาระบาย
คือ เมื่อสองปีที่แล้วพ่อเราประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวเราประสบปัญหากันอย่างมาก เพราะขาดหัวหน้าครอบครัว แม่เราทำงานหนัก พี่สาวเราขึ้นม.หก ส่วนเราขึ้นม.สี่ เราเรียนห้องเรียนพิเศษค่าเทอมเลยแพงกว่าปกติ เราเรียนห้องสายศิลป์-ญี่ปุ่น คือพ่อเราเสียตอนเราจบม.สามพอดี ยอมรับว่าเราเป็นเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ตอนม.หนึ่ง เราไม่ตั้งใจเรียนเลย เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง เนื่องจากว่าที่รร.เรียนเราจะแบ่งห้อง เป็น ห้องหนึ่งถึงห้องสี่ ถือว่าฉลาดตามลำดับ เด็กห้องห้าจนถึงห้องสิบสองเป็นเด็กไม่ค่อยฉลาดตามลำดับ ส่วนอีกสามห้องเป็นโปรแกรมพิเศษ จัดเรียงโดยการสอบเลือกห้อง เราได้ห้องสาม เราคิดว่าเราฉลาก เราเก่ง เลยไม่ตั้งใจเรียน กลายเป็นว่าติดศูนย์ พ่อแม่เราเสียใจ เพราะเราไม่เคยติดเลย เราตกใจมาก เลยเริ่มปรับปรุงตัวเองตอนม.สอง
พอขึ้นม.สองเราก็เริ่มชอบจัสติน บีเบอร์ เอาจริงๆเราเริ่มชอบเจบีตั้งแต่ม.หนึ่งเทอมสองแล้ว แต่เราไม่ได้ติดขนาดนั้น กลายเป็นว่าเราเริ่มชอบภาษา พอเทอมสองมา เพื่อนก็ชวนให้เราลองอ่านนิยายวาย(นิยายเกี่ยวกับชายรักชาย) ตั้งแต่นั้นมา เราก็เป็นสาววาย และเลิกชอบเจบี แล้วมาเป็นติ่งเต๋าคชาแทน เราติ่งเต๋าคชาหนักมาก จนเคยโดดเรียนพิเศษไปดูคอน แอบไปตามติ่งอยู่สองสามครั้ง
ครอบครัวเราเป็นคนหัวโบราณ เพราะแต่เดิมแล้วครอบครัวเราเป็นคนยโส มีแต่เราที่มาอยู่กรุงเทพแต่เกิด กลายเป็นว่า เราเป็นคนหัวสมัยใหม่ แต่ครอบครัวเราเป็นคนหัวโบราณ เราไม่ซีเรื่องเพศ สังคมของเราก็ไม่ซี ทั้งชีวิตจริง ทั้งอัลไซเมอร์ เรามีสังคมของเรา ที่เข้าใจเรา
และที่สำคัญ เราเป็นคนติส ติสมากด้วย ศิลป์มาเต็มตัว และทั่วสายเลือดเลยก็ว่าได้ ความคิดเราต่างจากคนอื่นมาก คิดไม่เหมือนใคร บ่อยครั้งที่จะทะเลาะเพื่อนความคิดของตัวเอง เข้ากับคนอื่นยาก แต่เราเป็นคนเฮฮา บ้าๆรั่วๆมากกว่า แต่เรื่องความคิดของเรายังป็นปัญาหาอยู่
แต่ครอบครัวของเราไม่มีใครรับในสิ่งที่เราชอบได้ ครอบครัวของเรา ไม่อยากให้เป็นติ่ง ตามจริงก็เริ่มรู้ว่าครอบครัวไม่ชอบตัวตั้งแต่เรา ติ่งเจบีแล้วแต่ท่านไม่ได้พูดอะไร เพราะแต่ชอบเฉยๆ เราไม่ได้ติ่งหนักเท่าเต๋าคชา พอเราติ่งเต๋าคชาเราโดนหนักเลย เราเข้าใจครอบครัวเรานะว่าพวกเขารับไม่ได้ กับเรื่องติ่ง และเรื่องความนิยมของเรา
พอขึ้นม.สามการเรียนเราก็ดีขึ้น คือตอนม.หนึ่งเกรดเราตกขึ้นมงสองเลยโดนย้ามมาอยู่ห้องสี่ ม.สองเกรดเราอัพขึ้น พอขึ้นม.สาม เราเลยได้กลับมาอยู่ห้องสามเหมือนเดิม เราก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เรียน และติ่งเต๋าคชา และเราติ่งหนักกว่าเดิมด้วย
เรากำลังพยายามทำให้ครอบครัวของเราให้รับรู้ว่า ถึงแม้เราจะเป็นสาววาย บ้าดารา แต่เราก็เรียนทำเกรดดีๆได้ แสดงให้เห็นว่า เรื่องติ่งกับเรียน มันไม่เกี่ยวกัน แต่ครอบครัวเราก็ต่อต้านมากเหมือนเดิมอยู่ดี แถมยังมากขึ้นด้วย
เราโชคดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า เราดื้อ เพราะตอนเลือกสายที่จะเรียนในม.ปลาย พ่อแม่จะให้เราเรียนวิทย์-คณิต แต่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ทางของเรา เพราะตอนม.ต้น ที่เราได้อยู่ห้องต้น เราว่ามันไม่ใช่ เราเรียนไม่ได้ เราชอบภาษามากกว่า คือ ห้องหนึ่งถึงสี่ จะเป็นห้องพิเศษ ตรงที่ว่าเรียนหนักกว่าห้องปกติ เราต้องเรียนกับครูต่างชาติ ต้องเรียนคณิตศาสตร์ของม.ต้นและม.ปลาย เราต้องเรียนเคมีของม.ปลายตั้งแต่ม.หนึ่ง เราว่ามันหนักมาก แล้วมันไม่ใช่ทางของเรา เรารู้ว่ามันไม่ใช่ เราเข้าใจว่าพ่อแม่เราอยากให้เราเรียนห้องวิทย์-คณิต และเรากลัวโดนบังคับเหมือนพี่เรามาก เราไม่ยอม เราเลยดื้อจะเรียนสายภาษษมากๆ จนพ่อแม่ยอม
หลังจากที่พ่อเสีย เราก็เริ่มเรียนหนักมากขึ้น ในวิชาภาษาญี่ปุ่น เรามีสอบแทบจะทุกชั่วโมง เราไม่เคยตกเลย มีแต่ได้เต็ม กับเกือบได้เต็มตลอดทุกการสอบ เรามาอวดแม่ทุกครั้ง แต่แม่เราก็ไม่ยินดียินร้ายกับเราเลย แต่เราก็คิดว่า ต้องมีซักวันที่แม่จะชมเรา ยอมรับเลยว่าเราน้อยใจมาก เพราะเราตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ พยายามทำออกมาให้ดีทุกอย่าง เพราะอยากให้แม่สบายใจ และยินดีไปกับเราด้วย
ม.สี่เทอมสอง เราไปสมัครเรียนที่ม.ราม คือ เราเรียนพรีดีกรี เรียนป.ตรีควบคู่ไปกับม.ปลาย เราเลือกคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกญี่ปุ่น
วันไปลงทะเบียน เราไปกับเพื่อนสองคน ลงเอง เรียนเอง จัดการเองทุกอย่าง เพราะแม่เราไม่สนับสนุน แถมก่อนออกจากบ้าน ก็โดนด่าด้วย แทบจะม่อยากไปสมัครอยู่แล้ว
เหตุผลที่เราไปเรียนเพราะเราอยากรีบจบเร็วๆ แล้วมาทำงานเลี้ยงแม่ ตอนนี้แม่ของเราลำบาก ทำงานเลี้ยงลูกสองคน ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเทอม ค่ากิน เราเลยอยากทำงานเร็ว เลยเลือกไปเรียนราม (และอีกอย่างเลย เราอยากให้ยายของเราเห็นเรารับปริญญา เรากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปเสียก่อน เพราะตอนนี้อาการท่านไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ที่สำคัญกว่านั้น เราจะส่งตัวเองเรียนเอาปริญญาตรีอีกใบ ) แต่ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครสนับสนุนเราเลย แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะเราตั้งใจไว้แล้วจริงๆ
เราโดนสบประมาทเยอะมาก ทั้งพี่เรา และคนข้างบ้าน(อันนี้ไม่เข้าใจว่ามาเกี่ยวอะไรด้วย) พี่เราชอบด่าว่าเราโง่อยู่ตลอด “ขอให้ติดศูนย์หลายๆตัวเลย”เจ็บใจมากเลยค่ะ
ส่วนน้าข้างบ้าน พอเขารู้ว่าเราเรียนราม ก็รีบมาคุยกับแม่เราเลย “ไม่น่าไปเรียนเลย เนี่ย ดูสิ ไม่ขยันเลย”อย่างงั้นอย่างงี้ บอกว่า “ขนาดลูกสาวน้าพี่(พี่เขาเรียนม.รามเหมือนกัน คณะเดียวกับเรา แต่เอกEng)เขาไปเรียนทุกวันยังติดเอฟตั้งหลายตัวเลย แล้วนี่ไม่ได้ไปเรียนหนังสือก็ไม่อ่าน จะผ่านหรอ เสียดายเงินแม่ สานบานสิว่าถ้าติดเอฟมากกว่าสองตัว จะไม่ลงเรียนรามอีก” คือยอมรับว่าเราโมโหมาก แต่เราก็อยากจะขอบคุณน้าเขานะ เพราะมันกลายเป็นแรงผลักดันให้เรา ทุกครั้งที่เรากลับจากไปสอบรามมา น้าเขาก็จะมาถามตลอดว่า”เป็นไง สอบได้ได้ไหม จะค่อยดูนะถ้าติดมากว่าสองตัวห้ามเรียน”
พอวันผลสอบออก กลายเป็นว่า เราผ่านทุกวิชา แถมยังมีวิชาที่ได้เกรดBด้วย เราโพสลงเฟส และเหมือนพี่สาวข้างบ้านจะเห็น (มีเป็นเพื่อนในเฟส) คิดว่าคงให้แม่เขาดูแล้ว เหมือนน้าเขารู้ว่าเราไม่ติดเอฟเลย แถมเกรดดีด้วย น้าเขาเลยไม่ยุ่งกับเราอีกเลย ไม่มาถามเรื่องเกรดเลยด้วย
แต่เรื่องที่เฟลที่สุดคือครอบครัวเราไม่มีใครยินดีกับเราเลยที่เราสอบผ่านหมด แถมเกรดของม.สี่เราได้3.19ด้วย เกรดญี่ปุ่นก็ได้4ทุกเทอม
เราน้อยใจสุดๆ แต่เราก็เปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันมาตลอด
ตอนนี้เราอยู่ม.ห้าแล้ว งานเยอะมาก และเรายังเป็นประธานชุมนุมอีกด้วยแล้วยังมีเด็กAFSจากญี่ปุ่นอีก พวกเราก็ต้องดูแล สื่อสารก็ยาก ตอนนี้เรายุ่งไปหมด งานก็ยิ่งเยอะเข้าไปกันใหญ่ เราบอกครอบครัวของเราแล้วว่า เรางานเยอะนะ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
เวลาติ่งดาราเราแทบจะไม่มี เราเรียนอย่างเดียว
วันหนึ่งเราไปประชุมที่บ้านเพื่อน กลับดึกสองทุ่ม แต่เราโทรบอกน้าของเราก่อนแล้ว ว่าวันนี้กลับดึก พอกลับถึงบ้าน พี่เราก็เราพูดแขวะๆเราว่า “ ประชุมหรือเที่ยว”ประมารนี้ แต่เราก็ไม่สนใจ น้าเราก็เฉยๆ
แต่มาเมื่อวาน เราโทรไปบอกแม่ว่าวันนี้มีประชุม ไปประชุมที่บ้านเพื่อน ขอกลับบ้านดึก แล้วพี่เราก็พูดแทรกมาว่า “เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้ประชุมกันนอกรร.”(คือเราเลือกไปประชุมกันที่บ้านเพื่อนเพราะมีตัวอย่างงาน และสงบกว่ารร. และยังเป็นส่วนตัวด้วย) แม่เราก็ดูจะไม่เชื่อว่าเราไปประชุมจริงๆ เราบอกแม่ว่า คงกลับไปเกินทุ่ม แถมก่อนว่าสาย แม่ก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าให้จับได้นะว่าไปเที่ยว” แผนของพวกเราเสียนิดหน่อย เพราะเมื่อวานเราต้องประชุมห้องกัน เกี่ยวกับงานในรร. เลยทำให้ไปประชุมกันที่บ้านเพื่อนช้า แล้วพอไปถึง ตอนประชุมกันก็เกือบทะเลาะกัน แต่ไม่มีแรงจะทะเลาะ เพราะยังไม่มีใครได้กินข้าว พวกเราทำงานกันหนักมาก
เรากลับถึงบ้านสามทุ่มกว่าๆ มาถึงก็ไม่มีใครคุยกับเราเลย มาวันนี้แม่ก็มาโมโหใส่เรา เห็นเราเปิดคอม ก็บอกว่าเราเล่นไร้สาระ ทั้งที่เราทำงานของเราอยู่
ทุกวันนี้เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง อาบน้ำไปรร.เอง(ตอนมีพ่อ พ่อจะไปส่งและรับ) นอนดึกเพราะทำงาน เสาร์ อาทิตย์ที่คิดว่าจะได้หยุด ได้ตื่นสายก็ไม่ใช่ อย่างวันนนี้ แม่มาปลุกเรา ให้เราไปเฝ้าร้านตั้งแต่เช้า ทั้งๆที่เราเหนื่อยมาก และเราก็มีงานต้องทำ
เราไปเฝ้าร้านให้ พอแม่กลับมาจากข้างนอก แม่ก็ด่าๆเรา ไม่เลิก ด่าได้ทุกอย่าง เราทำงาน ก็บอกเราเล่น แค่เราเดินยังด่า แถมยังไล่เราให้ไปอยู่เพื่อนอีกด้วย
มันเสียใจนะ การที่เราตั้งใจทำอะไรซักอย่าง แต่เขาไม่เห็นคุณค่าเลย
และที่เสียใจมากที่สุดคือ ไม่มีใครยอมรับในตัวตนของเราได้
ช่วงนี้ละครของเต๋า กำลังแสดงอยู่ พี่เราก็จะด่าเต๋าให้เราได้ยิน เราเจ็บใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เวลาพี่เห็นเกย์ ก็จะด่าว่าทุเรศอย่างงั้นอย่างงี้ เราเจ็บใจจริงๆ มันทรมารสุดๆ
บางทีเราอยากจะถามจริงๆว่า " ไม่เคยสงสารกันบ้างหรอ ที่ทำแบบนี้ "
เราว่า มันโหดเกินไปสำหรับเด็กม.ปลายอย่างเรา
สุดท้ายนี้ สิ่งที่เราต้องการก็แค่กำลังใจ เราไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เป็นเราหรอที่ผิด เป็นเราหรอที่ไม่ดี จะว่าแม่ไม่ดี มันก็ไม่ใช่ พอมามองตัวเอง เราก็ยังหาข้อผิดไม่ได้เลย เราไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่เราไม่เข้าใจจริงๆ
ตอนนี้ก็เครียดๆอยู่ว่า โปรเจคอังกฤษเราจะไปทำได้ไหม คือมันเป็นโปรเจคให้ทำรายการเป็นของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ต้องไปสัม.ชาวต่างชาติ เราต้องไปทำที่เขาเขียว มันไกลมา ไม่รู้จะไปได้หรือเปล่า วันจันทร์นี้เราก็ต้องไปทำโปรเจควิทย์กับเพื่อนอีก (สรุปเราเรียนห้องศิลป์ญป.หรือวิทย์ - คณิตกันแน่ งานเยอะกว่าวิชาญป.อีก555)
นี่แหละค่ะเรื่องราวของเรา ไม่ดีเลยใช่ไหม?555 ตอนนี้โล่งมากเลย ขอบคุณมากเลยนะคะ