
ที่มา :
http://www.proudbabyshop.com/article/
บางครั้งการรับมือกับหนูน้อยวัยเตาะแตะ ก็คล้ายๆ กับการรับมือกับคนเมาที่สื่อสารกันไม่เข้าใจเอาเสียเลย คุณพูดอย่าง พวกเขาเข้าใจไปอีกอย่าง ไม่มีอะไรที่ดูเป็นเหตุเป็นผล คุณอาจบอกลูกว่าอย่าเคี้ยวอาหารเสียงดัง หลังจากนั้นหนูน้อยจำไม ก็รัวคำถามกลับมาเป็นชุด หรือขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องงาน ลูกน้อยก็ทำเสียงเครื่องบินดังไปทั่วบ้าน พอคุณบอกว่าเงียบ หนูน้อยก็เบะปาก น้ำตาคลอ ด้วยเหตุนี้เองในสถานการณ์หนึ่ง ๆ จึงเป็นการยากที่จะรู้ได้ว่า เราควรพูดหรือไม่พูดอะไรกับเจ้าตัวน้อย และเพื่อให้การสื่อสารในครอบครัว มีประสิทธิผลมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ว่าอะไรบ้างที่คุณไม่ควรพูดกับลูกค่ะ
อย่าร้องไห้...!!!!
เสียงร้องไห้กับวัยเด็ก.... ดูเหมือนจะเป็นของคู่กันไม่ว่าจะร้องไห้เสียใจที่โดนดุ หรือถูกขัดใจเพราะไม่ได้กินขนม การร้องไห้ถือเป็นการแสดงอารมณ์ของเจ้าตัวเล็ก แต่เมื่อคุณบอกพวกเขาว่า "อย่างร้องไห้" นอกจากจะไม่ทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น แต่ยังทำให้ลูกเข้าใจว่าความรู้สึกของเขาไม่มีความสำคัญ และความเศร้า หงุดหงิด หรือกลัว เป็นสิ่งต้องห้าม ทางที่ดีควรบอกลูกว่า "แม่เข้าใจว่าลูกเสียใจ แต่ตอนนี้ดึกแล้ว ไว้รอกินขนมพรุ่งนี้ดีกว่านะ" การอธิบายเช่นนี้จะทำให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้เรียกว่าเสียใจ ขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับรู้สาเหตุของการเสียใจ ขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับรู้สาเหตุของการเสียใจ และรับรู้ว่าความรู้สึกของเขาไม่ได้ถูกละเลยอีกด้วย
ลูกเป็นเด็กจริง ๆ เลย !!!!
ไม่ว่าคำในช่องว่านั้น จะเป็นคำว่า ดื้อ ซน ขี้อาย งอแง ฯลฯ การให้คำจำกัดความ หรือตรีตราเจ้าตัวน้อยด้วยคำพูดอาจเป็นการเปลี่ยนตัวตนของลูกไปโดยที่คุณ และลูกไม่รู้ตัว เพราะเด็กๆ เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยินโดยปราศจากข้อกังขา หากเจ้าตัวน้อยบังเอิญได้ยินคุณแม่พูดถึงเขากับคนอื่นๆ ว่า "ลูกสาวฉันเป็นเด็กขี้อายมาก" หรือ "ไม่รู้ทำไมลูกชายเป็นเด็กที่เกเรขนาดนี้" สิ่งที่เด็กๆ ได้ยินยิ่งบ่อยเท่าไรจะฝังอยู่ในหัว และทำให้เจ้าตัวนอ้ยกลายเป็นคนแบบนั้นไปในที่สุด แม้กระทั่งคำชม เช่น ลูกเป็นเด็กฉลาดจริงๆ เลย บางครั้งก็เป็นการสร้างความคาดหวังที่สูงเกินไปให้กับลูกได้ ดังนั้น แทนที่จะใช้คำจำกัดความหรือตีตราพฤติกรรมต่างๆ อย่างเหมารวม ลองเปลี่ยนเป็น ระบุพฤติกรรมที่คุณต้องการพูดถึงกับลูกให้ชัดเจนไปเลย เช่น "ลูกแย่งของเล่นเพื่อนแบบนั้น ลูกทำให้เพื่อนเสียใจนะ" หรือแทนที่จะชมว่าลูกเก่ง ลองบอกว่า "เพราะหนูตั้งใจเรียน ทำให้หนูสอบได้ที่หนึ่ง แม่ภูมิใจในตัวลูกนะจ๊ะ" เช่นนี้เป็นต้น
เร็วๆ สิ !!!!
เชื่อว่าแทบทุกบ้าน จะต้อเอ่ยคำนี้กับเจ้าตัวน้อยโดยเฉพาะในช่วงที่ลูกต้องไปโรงเรียน และคุณพ่อคุณแม่ต้องไปทำงาน หรือเมื่อออกไปช้อปปิ้งนอกบ้าน และเจ้าตัวเล็กมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ชะเง้อดูของเล่นบนชั้น การเร่งลูกด้วยคำพูดประมาณว่า "เร็วๆ สิ" หรือตำหนิว่า "ชักช้าจริง" ไม่ช่วยให้ลูกทำสิ่งที่คุณต้องการได้เร็วขึ้น หนำซ้ำยังอาจทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างล่าช้า แทนที่จะเร่งเจ้าตัวน้อย ลองเปลี่ยนมาใช้ประโยคคำสั่งบอกสิ่งที่คุณต้องการเช่น "เก็บของเล่นตอนนี้นะคะ เดี๋ยวเราจะไปข้างนอกกันแล้ว" หรือ "ให้เวลาอีก 5 นาทีแล้วเราไปเจอกันหน้าบ้านนะ" ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้ว่าเขาควรทำอะไรเพื่อให้ทุกอย่างทันตามเวลาที่กำหนด
อย่ามายุ่ง !!!!
แม้ว่าคุณจะทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน หรือมีปัญหาให้สะสาง 108 แต่การปฏิเสธเจ้าตัวน้อยด้วยคำพูดที่ว่า "อย่ามายุ่ง..!!!! " จะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขากำลังรบกวน หรือสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ ดังนั้น หากคุณพูดเช่นนี้กับลูกบ่อยๆ เจ้าตัวน้อยก็จะเรียนรู้ว่าเขาไม่ควรยุ่งกับคุณพ่อคุณแม่ แม้ว่าจะมีเรื่องสำคัญขนาดไหนก็ตาม นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น ลูกเลือกที่จะหันหน้าไปปรึกษาเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ แทนที่จะปฏิเสธลูกอย่างไม่มีเยื่อใยว่า "อย่ามายุ่ง" ลองเปลี่ยนเป็น "แม่ขอทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนนะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน" ที่สำคัญอย่าลืมทำตามคำพูดด้วยนะคะ
อย่าจับ...!!!!
ทุกครั้งที่คุณตะโดนบอกเจ้าตัวน้อย ที่เล่นอยู่ไม่ไกลว่า "อย่าจับนะ" ลูกมักจะเอื้อมมือไปจับแทบจะทันทีใช่ไหมคะ คำสั่งห้าสำหรับเด็กวัยนี้หากจะเรียงว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ คงจะไม่ผิดนัก แทนที่จะห้ามลูกไม่ให้หยิบจับสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายเช่น ของที่ตกแตกได้ หรือของร้อนๆ ทางที่ดีควรเก็บสิ่งเหล่านั้นให้พ้นมือลูกดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะหงุดหงิดกันเสียเปล่าๆ เพราะไม่มีทางเลยที่คุณจะห้ามเจ้าตัวน้อยวัยซน ไม่ให้หยิบสิ่งต่างๆ ได้
คำพูดต้องห้าม.... สื่อสารกับวัยเด็ก
ที่มา : http://www.proudbabyshop.com/article/
บางครั้งการรับมือกับหนูน้อยวัยเตาะแตะ ก็คล้ายๆ กับการรับมือกับคนเมาที่สื่อสารกันไม่เข้าใจเอาเสียเลย คุณพูดอย่าง พวกเขาเข้าใจไปอีกอย่าง ไม่มีอะไรที่ดูเป็นเหตุเป็นผล คุณอาจบอกลูกว่าอย่าเคี้ยวอาหารเสียงดัง หลังจากนั้นหนูน้อยจำไม ก็รัวคำถามกลับมาเป็นชุด หรือขณะที่คุณกำลังคิดเรื่องงาน ลูกน้อยก็ทำเสียงเครื่องบินดังไปทั่วบ้าน พอคุณบอกว่าเงียบ หนูน้อยก็เบะปาก น้ำตาคลอ ด้วยเหตุนี้เองในสถานการณ์หนึ่ง ๆ จึงเป็นการยากที่จะรู้ได้ว่า เราควรพูดหรือไม่พูดอะไรกับเจ้าตัวน้อย และเพื่อให้การสื่อสารในครอบครัว มีประสิทธิผลมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ว่าอะไรบ้างที่คุณไม่ควรพูดกับลูกค่ะ
อย่าร้องไห้...!!!!
เสียงร้องไห้กับวัยเด็ก.... ดูเหมือนจะเป็นของคู่กันไม่ว่าจะร้องไห้เสียใจที่โดนดุ หรือถูกขัดใจเพราะไม่ได้กินขนม การร้องไห้ถือเป็นการแสดงอารมณ์ของเจ้าตัวเล็ก แต่เมื่อคุณบอกพวกเขาว่า "อย่างร้องไห้" นอกจากจะไม่ทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น แต่ยังทำให้ลูกเข้าใจว่าความรู้สึกของเขาไม่มีความสำคัญ และความเศร้า หงุดหงิด หรือกลัว เป็นสิ่งต้องห้าม ทางที่ดีควรบอกลูกว่า "แม่เข้าใจว่าลูกเสียใจ แต่ตอนนี้ดึกแล้ว ไว้รอกินขนมพรุ่งนี้ดีกว่านะ" การอธิบายเช่นนี้จะทำให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้เรียกว่าเสียใจ ขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับรู้สาเหตุของการเสียใจ ขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับรู้สาเหตุของการเสียใจ และรับรู้ว่าความรู้สึกของเขาไม่ได้ถูกละเลยอีกด้วย
ลูกเป็นเด็กจริง ๆ เลย !!!!
ไม่ว่าคำในช่องว่านั้น จะเป็นคำว่า ดื้อ ซน ขี้อาย งอแง ฯลฯ การให้คำจำกัดความ หรือตรีตราเจ้าตัวน้อยด้วยคำพูดอาจเป็นการเปลี่ยนตัวตนของลูกไปโดยที่คุณ และลูกไม่รู้ตัว เพราะเด็กๆ เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยินโดยปราศจากข้อกังขา หากเจ้าตัวน้อยบังเอิญได้ยินคุณแม่พูดถึงเขากับคนอื่นๆ ว่า "ลูกสาวฉันเป็นเด็กขี้อายมาก" หรือ "ไม่รู้ทำไมลูกชายเป็นเด็กที่เกเรขนาดนี้" สิ่งที่เด็กๆ ได้ยินยิ่งบ่อยเท่าไรจะฝังอยู่ในหัว และทำให้เจ้าตัวนอ้ยกลายเป็นคนแบบนั้นไปในที่สุด แม้กระทั่งคำชม เช่น ลูกเป็นเด็กฉลาดจริงๆ เลย บางครั้งก็เป็นการสร้างความคาดหวังที่สูงเกินไปให้กับลูกได้ ดังนั้น แทนที่จะใช้คำจำกัดความหรือตีตราพฤติกรรมต่างๆ อย่างเหมารวม ลองเปลี่ยนเป็น ระบุพฤติกรรมที่คุณต้องการพูดถึงกับลูกให้ชัดเจนไปเลย เช่น "ลูกแย่งของเล่นเพื่อนแบบนั้น ลูกทำให้เพื่อนเสียใจนะ" หรือแทนที่จะชมว่าลูกเก่ง ลองบอกว่า "เพราะหนูตั้งใจเรียน ทำให้หนูสอบได้ที่หนึ่ง แม่ภูมิใจในตัวลูกนะจ๊ะ" เช่นนี้เป็นต้น
เร็วๆ สิ !!!!
เชื่อว่าแทบทุกบ้าน จะต้อเอ่ยคำนี้กับเจ้าตัวน้อยโดยเฉพาะในช่วงที่ลูกต้องไปโรงเรียน และคุณพ่อคุณแม่ต้องไปทำงาน หรือเมื่อออกไปช้อปปิ้งนอกบ้าน และเจ้าตัวเล็กมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ชะเง้อดูของเล่นบนชั้น การเร่งลูกด้วยคำพูดประมาณว่า "เร็วๆ สิ" หรือตำหนิว่า "ชักช้าจริง" ไม่ช่วยให้ลูกทำสิ่งที่คุณต้องการได้เร็วขึ้น หนำซ้ำยังอาจทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างล่าช้า แทนที่จะเร่งเจ้าตัวน้อย ลองเปลี่ยนมาใช้ประโยคคำสั่งบอกสิ่งที่คุณต้องการเช่น "เก็บของเล่นตอนนี้นะคะ เดี๋ยวเราจะไปข้างนอกกันแล้ว" หรือ "ให้เวลาอีก 5 นาทีแล้วเราไปเจอกันหน้าบ้านนะ" ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้ว่าเขาควรทำอะไรเพื่อให้ทุกอย่างทันตามเวลาที่กำหนด
อย่ามายุ่ง !!!!
แม้ว่าคุณจะทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน หรือมีปัญหาให้สะสาง 108 แต่การปฏิเสธเจ้าตัวน้อยด้วยคำพูดที่ว่า "อย่ามายุ่ง..!!!! " จะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขากำลังรบกวน หรือสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ ดังนั้น หากคุณพูดเช่นนี้กับลูกบ่อยๆ เจ้าตัวน้อยก็จะเรียนรู้ว่าเขาไม่ควรยุ่งกับคุณพ่อคุณแม่ แม้ว่าจะมีเรื่องสำคัญขนาดไหนก็ตาม นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น ลูกเลือกที่จะหันหน้าไปปรึกษาเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ แทนที่จะปฏิเสธลูกอย่างไม่มีเยื่อใยว่า "อย่ามายุ่ง" ลองเปลี่ยนเป็น "แม่ขอทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนนะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน" ที่สำคัญอย่าลืมทำตามคำพูดด้วยนะคะ
อย่าจับ...!!!!
ทุกครั้งที่คุณตะโดนบอกเจ้าตัวน้อย ที่เล่นอยู่ไม่ไกลว่า "อย่าจับนะ" ลูกมักจะเอื้อมมือไปจับแทบจะทันทีใช่ไหมคะ คำสั่งห้าสำหรับเด็กวัยนี้หากจะเรียงว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ คงจะไม่ผิดนัก แทนที่จะห้ามลูกไม่ให้หยิบจับสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายเช่น ของที่ตกแตกได้ หรือของร้อนๆ ทางที่ดีควรเก็บสิ่งเหล่านั้นให้พ้นมือลูกดีกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะหงุดหงิดกันเสียเปล่าๆ เพราะไม่มีทางเลยที่คุณจะห้ามเจ้าตัวน้อยวัยซน ไม่ให้หยิบสิ่งต่างๆ ได้