สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 31
คำถามง่ายๆ คือ
"อายุ 30 คุณจะมีอะไร?" และ/หรือ "อายุ 40 คุณจะมีอะไร?"
คนยุคปัจจุบันไม่ค่อยแคร์เรื่องอนาคตเพราะส่วนใหญ่พ่อแม่สร้างอะไรมาให้เยอะ มีบ้านมีรถรออยู่แล้ว คนพวกนี้ทำงานเพื่อใช้อย่างเดียว เงินเลยเหมือนเหลือเยอะ กินข้าวมื้อละ 500 ไปดื่มไปดิ้นครั้งละ 1,000-2,000 ไปต่างประเทศกันเป็นประจำ ไปตากอากาศกันแทบจะทุกเดือน
เงินมันเหลือ
คนพวกนี้ไม่ต้องคิดว่าเค้าจะไม่มีอะไร เค้าไม่เคยต้องอยู่ในความกลัวว่าวันนี้ฉันไม่มีอะไร อีก 10 ปีฉันจะยังไม่มีอะไร หรืออีก 20 ปีฉันจะยังไม่มีอะไร
เกิดมาไม่ต้องซื้ออะไรสักอย่าง พ่อแม่ส่งให้เรียนจบ มีบ้านให้อยู่ มีรถให้ใช้ เผลอๆ รถไม่ต้องซื้อเอง พ่อแม่ซื้อให้ใช้
คุณลองไปถามหาดูก็ได้ มีกี่คน ที่ต้องสร้างต้องซื้อทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่ทีวี, ตู้เย็น, เตารีด, เครื่องซักผ้า, โซฟา, แอร์ ฯลฯ ของทุกอย่างในบ้าน รวมถึงของเล่นตามกระแสสังคมโก้หรู โทรศัพท์เครื่องละ 25,000 แท็ปเล็ต, โน๊ตบุ๊ค-พีซี, ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง
เอาแค่ชีวิตพื้นฐาน แบบที่ไม่ต้องเกาะพ่อแม่ แบบที่เริ่มต้นจากศูนย์ คิดมูลค่าเอาเองเด็กๆ เอ๋ย ว่ามันเท่าไหร่
มันก็ยังพอได้ ถ้าคนๆ นั้น ไม่...
ไม่ ตามกระแสสังคม ติดเที่ยวติดหรู ไม่กินเหล้าทุกอาทิตย์, ไม่ซื้อเสื้อผ้ากระเป๋าเครื่องสำอางค์บ่อย, ไม่ไปกินข้าวในห้างวันเว้นวัน, ไม่ไปต่างจังหวัดทุกเดือน, ไม่ไปต่างประเทศทุกปี
คนสมัยนี้เกิดมาโดยที่พื้นฐานมันถูกปูไว้โดยพ่อๆ แม่ๆ หมดแล้ว ดังนั้นเค้าจึงกล้าที่จะใช้จ่าย ไม่เคยต้องเจอความกลัวการ "ไม่มีอะไรเลย" อย่าแค่อ่านคำนี้แบบชุ่ยๆ แต่ต้องคิดและนึกภาพให้ออกด้วยว่ามันเป็นอย่างไร
มัน "เข้าใจได้" ที่พวกเค้าเป็นแบบนี้ แต่ถามว่านี่เป็นโครงสร้างสังคมที่ healthy รึปล่าว ที่ดีไหม ตอบว่าไม่ ในยุคถัดไปแค่อีก 20 ปี จะเป็นยุคคนแก่ เด็กสมัยนี้กินบุญเก่าพ่อแม่ โดยต้องแบกพ่อแม่ที่ถึงวันนั้นจะเข้าสู่ช่วงวัยชรา
ก็ต้องดูว่าเด็กยุคนี้นอกจากใช้เงินแล้วจะเอาตัวรอดไปถึงวันนั้นได้ไหม ส่วนพวกพ่อๆ แม่ๆ จริงๆ พวกเค้าผ่านช่วงโหดๆ มาเยอะ น่าจะพอเอาตัวรอดไปได้ในช่วงบั้นปลาย ถ้าไม่ไปคาดหวังหรือหวังพึ่งพิงพวกลูกๆ มากจนเกินไป
จากนี้คนที่ทำงานถึงหลัก 10 ปีจะถือว่าหายาก เด็กสมัยใหม่อดทนน้อยลงเยอะ เพราะสิ่งแวดล้อมมันง่าย อีโก้สูง คิดว่า เลือกได้ ทำไมต้องทน และคิดว่าความอดทนไม่ใช่ 1 ในคุณสมบัติที่จำเป็น มองเรื่องความฉลาด เก๋เท่
การยกย่องเชิดชูคนทำงานระดับ 20-30 ปีจะค่อยๆ ลดน้อยลงไป
ถ้าคุณกำลังคิดว่าผมเป็นคนแก่เจนเก่า อายุ 50 ล่ะก็ ผิด
ผมเกิด 1985 อายุปริ่มๆ จะ 30 เท่านั้น ถ้าว่าตามทฤษฏี ผมก็ควรเป็น 1 ในเด็กเจนใหม่ตามพฤติกรรมหัวขบถ ใช้เงินมือเติบ ความอดทนต่ำ เช่นกัน
ซึ่งก็จริง! ผมก็เป็น แต่เป็นบางส่วน ผมหัวขบถ เปลี่ยนงานมาแล้ว 3 ครั้ง (ปัจจุบันที่ที่ 4) ผมก็คิดเหมือนคนอื่นที่ว่าทนทำไมถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งผมดันทำได้ดีเสียด้วย เพราะขึ้นเงินเดือนตัวเอง 5,000 บาทใน 1 ปี จากการเปลี่ยนงานนี่แหละ
แต่ มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องความอดทน ผมเองเวลาเลือกทุกอย่างในชีวิต จะไม่เลือกซื้อชิ้นแรกที่จับ แต่ต้องลองและเลือกไปแล้วในระดับหนึ่ง "งาน" ก็เหมือนกัน ที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ว่านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่ทดลองชีวิตการทำงาน ประเภทงาน องค์กรณ์ เนื้องาน และ ผลตอบแทน จนทุกอย่างตกตะกอนแล้วก็จบ
จะโดนด่า กดดัน เสียใจหรือเครียดแค่ไหน ก็จะไม่มีอารมณ์ชุ่ยๆ แบบ คนอย่างกุไปที่อื่นก็ได้ อะไรแบบนี้ แต่คิดเสมอว่า "ความอดทน เป็นคุณบัติของคนแกร่ง"
ทุกวันนี้ พยายามต้านทานกระแสสังคมมาก ที่ทุกคนรอบตัวใช้เงินเยอะ ซึ่งก็คงเพราะพวกเค้ามาตรฐานดี มีทุกอย่างปูไว้แล้ว ต่างจากผมที่ต้องเริ่มเองทุกอย่าง
มันเลยมีความ "กลัว" ว่ามันไม่มีนะ อารมณ์อยู่ดีๆ ถูกหวยแล้วพลิกชีวิต ถ้าเราไม่สร้างไม่ทำ มันจะเป็นแบบนี้ ตลอดไป และจะยิ่งแย่ลง เพราะสังขารเราจะแย่ลง เศรษฐกิจอาจจะแย่ลง
ทุกวันนี้ผมโดนชวนไปต่างประเทศบ่อยมาก คนรอบข้างก็ใช้ของแพงๆ กันเยอะมาก พวกตระกูล i นี่ธรรมดามาก มีทุกคน พวกอาหารและเครื่องดื่มมื้อละเป็นพันบาทนี่ ปกติมาก ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดเมื่อวัดจากเงินเดือน
แค่ผมทำใจไม่ได้ เพราะความกลัวมันกดดัน มันกลัวการไม่มีกิน
เงินมากแค่ไหนก็ไม่เคยมีคำว่า "มากเกินไป" เพราะเราใช่หมาแมวที่อยู่แค่วันต่อวัน แต่เราต้องคิดเพื่ออนาคตด้วย
"ตอนอายุ 30 หรือ 40 จะเป็นอย่างไร"
พอคิดแล้ว ไม่ได้ไปญี่ปุ่นหรือมัลดีฟส์ ชีวิตก็ไม่แย่ นานๆ ทีค่อยไปกินอะไรแพงๆ ไม่ใช่ทุกอาทิตย์ ก็โอเค
"อายุ 30 คุณจะมีอะไร?" และ/หรือ "อายุ 40 คุณจะมีอะไร?"
คนยุคปัจจุบันไม่ค่อยแคร์เรื่องอนาคตเพราะส่วนใหญ่พ่อแม่สร้างอะไรมาให้เยอะ มีบ้านมีรถรออยู่แล้ว คนพวกนี้ทำงานเพื่อใช้อย่างเดียว เงินเลยเหมือนเหลือเยอะ กินข้าวมื้อละ 500 ไปดื่มไปดิ้นครั้งละ 1,000-2,000 ไปต่างประเทศกันเป็นประจำ ไปตากอากาศกันแทบจะทุกเดือน
เงินมันเหลือ
คนพวกนี้ไม่ต้องคิดว่าเค้าจะไม่มีอะไร เค้าไม่เคยต้องอยู่ในความกลัวว่าวันนี้ฉันไม่มีอะไร อีก 10 ปีฉันจะยังไม่มีอะไร หรืออีก 20 ปีฉันจะยังไม่มีอะไร
เกิดมาไม่ต้องซื้ออะไรสักอย่าง พ่อแม่ส่งให้เรียนจบ มีบ้านให้อยู่ มีรถให้ใช้ เผลอๆ รถไม่ต้องซื้อเอง พ่อแม่ซื้อให้ใช้
คุณลองไปถามหาดูก็ได้ มีกี่คน ที่ต้องสร้างต้องซื้อทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่ทีวี, ตู้เย็น, เตารีด, เครื่องซักผ้า, โซฟา, แอร์ ฯลฯ ของทุกอย่างในบ้าน รวมถึงของเล่นตามกระแสสังคมโก้หรู โทรศัพท์เครื่องละ 25,000 แท็ปเล็ต, โน๊ตบุ๊ค-พีซี, ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง
เอาแค่ชีวิตพื้นฐาน แบบที่ไม่ต้องเกาะพ่อแม่ แบบที่เริ่มต้นจากศูนย์ คิดมูลค่าเอาเองเด็กๆ เอ๋ย ว่ามันเท่าไหร่
มันก็ยังพอได้ ถ้าคนๆ นั้น ไม่...
ไม่ ตามกระแสสังคม ติดเที่ยวติดหรู ไม่กินเหล้าทุกอาทิตย์, ไม่ซื้อเสื้อผ้ากระเป๋าเครื่องสำอางค์บ่อย, ไม่ไปกินข้าวในห้างวันเว้นวัน, ไม่ไปต่างจังหวัดทุกเดือน, ไม่ไปต่างประเทศทุกปี
คนสมัยนี้เกิดมาโดยที่พื้นฐานมันถูกปูไว้โดยพ่อๆ แม่ๆ หมดแล้ว ดังนั้นเค้าจึงกล้าที่จะใช้จ่าย ไม่เคยต้องเจอความกลัวการ "ไม่มีอะไรเลย" อย่าแค่อ่านคำนี้แบบชุ่ยๆ แต่ต้องคิดและนึกภาพให้ออกด้วยว่ามันเป็นอย่างไร
มัน "เข้าใจได้" ที่พวกเค้าเป็นแบบนี้ แต่ถามว่านี่เป็นโครงสร้างสังคมที่ healthy รึปล่าว ที่ดีไหม ตอบว่าไม่ ในยุคถัดไปแค่อีก 20 ปี จะเป็นยุคคนแก่ เด็กสมัยนี้กินบุญเก่าพ่อแม่ โดยต้องแบกพ่อแม่ที่ถึงวันนั้นจะเข้าสู่ช่วงวัยชรา
ก็ต้องดูว่าเด็กยุคนี้นอกจากใช้เงินแล้วจะเอาตัวรอดไปถึงวันนั้นได้ไหม ส่วนพวกพ่อๆ แม่ๆ จริงๆ พวกเค้าผ่านช่วงโหดๆ มาเยอะ น่าจะพอเอาตัวรอดไปได้ในช่วงบั้นปลาย ถ้าไม่ไปคาดหวังหรือหวังพึ่งพิงพวกลูกๆ มากจนเกินไป
จากนี้คนที่ทำงานถึงหลัก 10 ปีจะถือว่าหายาก เด็กสมัยใหม่อดทนน้อยลงเยอะ เพราะสิ่งแวดล้อมมันง่าย อีโก้สูง คิดว่า เลือกได้ ทำไมต้องทน และคิดว่าความอดทนไม่ใช่ 1 ในคุณสมบัติที่จำเป็น มองเรื่องความฉลาด เก๋เท่
การยกย่องเชิดชูคนทำงานระดับ 20-30 ปีจะค่อยๆ ลดน้อยลงไป
ถ้าคุณกำลังคิดว่าผมเป็นคนแก่เจนเก่า อายุ 50 ล่ะก็ ผิด
ผมเกิด 1985 อายุปริ่มๆ จะ 30 เท่านั้น ถ้าว่าตามทฤษฏี ผมก็ควรเป็น 1 ในเด็กเจนใหม่ตามพฤติกรรมหัวขบถ ใช้เงินมือเติบ ความอดทนต่ำ เช่นกัน
ซึ่งก็จริง! ผมก็เป็น แต่เป็นบางส่วน ผมหัวขบถ เปลี่ยนงานมาแล้ว 3 ครั้ง (ปัจจุบันที่ที่ 4) ผมก็คิดเหมือนคนอื่นที่ว่าทนทำไมถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งผมดันทำได้ดีเสียด้วย เพราะขึ้นเงินเดือนตัวเอง 5,000 บาทใน 1 ปี จากการเปลี่ยนงานนี่แหละ
แต่ มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องความอดทน ผมเองเวลาเลือกทุกอย่างในชีวิต จะไม่เลือกซื้อชิ้นแรกที่จับ แต่ต้องลองและเลือกไปแล้วในระดับหนึ่ง "งาน" ก็เหมือนกัน ที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ว่านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่ทดลองชีวิตการทำงาน ประเภทงาน องค์กรณ์ เนื้องาน และ ผลตอบแทน จนทุกอย่างตกตะกอนแล้วก็จบ
จะโดนด่า กดดัน เสียใจหรือเครียดแค่ไหน ก็จะไม่มีอารมณ์ชุ่ยๆ แบบ คนอย่างกุไปที่อื่นก็ได้ อะไรแบบนี้ แต่คิดเสมอว่า "ความอดทน เป็นคุณบัติของคนแกร่ง"
ทุกวันนี้ พยายามต้านทานกระแสสังคมมาก ที่ทุกคนรอบตัวใช้เงินเยอะ ซึ่งก็คงเพราะพวกเค้ามาตรฐานดี มีทุกอย่างปูไว้แล้ว ต่างจากผมที่ต้องเริ่มเองทุกอย่าง
มันเลยมีความ "กลัว" ว่ามันไม่มีนะ อารมณ์อยู่ดีๆ ถูกหวยแล้วพลิกชีวิต ถ้าเราไม่สร้างไม่ทำ มันจะเป็นแบบนี้ ตลอดไป และจะยิ่งแย่ลง เพราะสังขารเราจะแย่ลง เศรษฐกิจอาจจะแย่ลง
ทุกวันนี้ผมโดนชวนไปต่างประเทศบ่อยมาก คนรอบข้างก็ใช้ของแพงๆ กันเยอะมาก พวกตระกูล i นี่ธรรมดามาก มีทุกคน พวกอาหารและเครื่องดื่มมื้อละเป็นพันบาทนี่ ปกติมาก ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดเมื่อวัดจากเงินเดือน
แค่ผมทำใจไม่ได้ เพราะความกลัวมันกดดัน มันกลัวการไม่มีกิน
เงินมากแค่ไหนก็ไม่เคยมีคำว่า "มากเกินไป" เพราะเราใช่หมาแมวที่อยู่แค่วันต่อวัน แต่เราต้องคิดเพื่ออนาคตด้วย
"ตอนอายุ 30 หรือ 40 จะเป็นอย่างไร"
พอคิดแล้ว ไม่ได้ไปญี่ปุ่นหรือมัลดีฟส์ ชีวิตก็ไม่แย่ นานๆ ทีค่อยไปกินอะไรแพงๆ ไม่ใช่ทุกอาทิตย์ ก็โอเค
ความคิดเห็นที่ 32
^
^
^
ผมชอบความเห็นนี้มาก... เป็นความเห็นที่แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของผู้ตอบอย่างชัดเจน มองปัญหาไม่ใช่แค่ผิวเผิน แค่ว่าเพราะฉะนั้นก็เลยเป็นฉะนี้ อยู่ยุคนี้มันก็เป็นอย่างนี้ แต่มองภาพรวม มองบริบทโดยรอบและมองที่มาที่ไปอย่างคนรู้คิด ไม่ใช่คำตอบแบบมองไม่เห็นตนเอง
กระทู้นี้มันอาจจะกึ่ง ๆ generation gap หน่อย ๆ (อ่านแต่ละความเห็นก็พอบอกได้ว่าใครอายุเท่าไร) แต่ถ้ามองจริง ๆ จะพบว่า core value ของสังคมและคนในยุคนี้มันเปลี่ยนไปจากยุคก่อนจริง ๆ คุณสมบัติพื้นฐานที่เคยต้องมีเพื่อจะประสบความสำเร็จเมื่อสมัยก่อน...ปัจจุบันมันหายไปเกือบหมด ภาพแบบนี้คนยุคนี้มองไม่ค่อยเห็นและไม่เข้าใจเพราะเขาเกิดมามันก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ แต่มันมองเห็นได้ชัดในสายตาคนยุคก่อนหน้า
พื้นฐานการเลี้ยงดูส่งผลต่อวิถีคิดของคนในแต่ละรุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... เมื่อเราอยู่ในยุคใดสมัยใดมันหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสังคมและค่านิยมในยุคนั้น ๆ ได้ยาก สำคัญที่คนเป็นพ่อเป็นแม่นั่นแหละที่จะมองเห็นปัญหานี้หรือไม่ และเพาะสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกตัวเองได้แค่ไหน
ผมเคยคุยกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่หลาย ๆ คน คิดเหมือน ๆกันว่าสมัยก่อน พ่อแม่เลี้ยงลูกมาหวังพึ่งพายามแก่เฒ่า แต่ยุคนี้อย่าว่าแต่จะพึ่งพาลูกยามแก่เฒ่าเลย... แค่หวังว่าลูกไม่ต้องพึ่งเราจนเขาแก่เฒ่าก็ดีเหลือแหล่แล้ว
หลายคนพยายามสั่งสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกเพื่อว่าลูก ๆ จะได้ไม่ลำบากในอนาคต... แต่ผมคิดตรงข้าม ผมจะให้ความรู้ให้การศึกษาเขาเท่าที่เขาจะไปได้ในแบบที่เขาพอใจและมีความสุข ติดอาวุธให้เขาสำหรับต่อสู้ฝ่าฟันเพื่ออนาคตตนเอง ส่วนเงินทองผมหาไว้เลี้ยงตัวเองยามแก่เฒ่า (ฮาดีไหม)
เพราะผมมองว่าหากพ่อแม่มัวแต่หาทรัพย์สินให้ แต่ลูกไม่รู้จักเก็บรู้จักใช้ มีเท่าไรมันก็ไม่เคยพอ แต่วิชาความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดและไม่มีใครพรากไปจากเขาได้ เหมือนหาปลาให้กินกับสอนให้หาปลากินเองนั่นแล
อาจตอบไม่ตรงกระทู้ทีเดียวแต่ผมคิดว่ามันเป็นการแตกประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับกระทู้แน่นอน... ทัศนคติและค่านิยมคือตัวกำหนดการใช้ชีวิต...ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองอย่างเดียวอย่างที่หลายท่านพยายามบอก
ผมอยู่ในสายงานที่รายรับจัดว่าสูง เรามักคุยกันแบบขำ ๆ เสมอว่า...เออ... ดูเนอะ...แต่ละคนใช้โทรศัพท์แค่เครื่องละไม่กี่บาท แถมใช้กันจนเก่า เอาแค่โทรเข้าออกติดต่องานได้ แต่พวกเด็กที่เป็นผู้ช่วยนี่สิ แต่ละคนใช้ของราคาแพง โทรศัพท์ราคาเป็นหมื่นทั้งนั้นทั้งที่รายได้ยังไม่เท่าราคาเครื่องเลย (ลูกผมก็ใช้ แต่ผมให้เขาหาเงินซื้อเองถ้าอยากได้ ซึ่งมันทำให้เขารู้จักคุณค่าของเงินและสิ่งของมากกว่าการได้มาฟรี ๆ เยอะ และเขาจะไม่เปลี่ยนพร่ำเพรื่อ)
สมัยก่อนการเข้าร้านอาหารต้องถือเป็นโอกาสพิเศษจริง ๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่กินในร้านกันเป็นปกติชนิดต้องต่อคิวยังกะขอกินฟรี...บางทีผมเห็นยังสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่า เออ...ถ้าเสียเงินแล้วยังต้องเสียเวลารอแบบนี้...เปลี่ยนร้านดีกว่าไหม
ในความรู้สึกผม ผมรู้สึกว่าน่ากลัวนะครับกับพฤติกรรมการบริโภคและค่านิยมที่กำลังเป็นไปในปัจจุบันนี้... ใครภูมิคุ้มกันไม่ดี ถ้าบ้านไม่รวยจริง อนาคตวังเวงนะครับ...พูดจริ๊ง
^
^
ผมชอบความเห็นนี้มาก... เป็นความเห็นที่แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของผู้ตอบอย่างชัดเจน มองปัญหาไม่ใช่แค่ผิวเผิน แค่ว่าเพราะฉะนั้นก็เลยเป็นฉะนี้ อยู่ยุคนี้มันก็เป็นอย่างนี้ แต่มองภาพรวม มองบริบทโดยรอบและมองที่มาที่ไปอย่างคนรู้คิด ไม่ใช่คำตอบแบบมองไม่เห็นตนเอง
กระทู้นี้มันอาจจะกึ่ง ๆ generation gap หน่อย ๆ (อ่านแต่ละความเห็นก็พอบอกได้ว่าใครอายุเท่าไร) แต่ถ้ามองจริง ๆ จะพบว่า core value ของสังคมและคนในยุคนี้มันเปลี่ยนไปจากยุคก่อนจริง ๆ คุณสมบัติพื้นฐานที่เคยต้องมีเพื่อจะประสบความสำเร็จเมื่อสมัยก่อน...ปัจจุบันมันหายไปเกือบหมด ภาพแบบนี้คนยุคนี้มองไม่ค่อยเห็นและไม่เข้าใจเพราะเขาเกิดมามันก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ แต่มันมองเห็นได้ชัดในสายตาคนยุคก่อนหน้า
พื้นฐานการเลี้ยงดูส่งผลต่อวิถีคิดของคนในแต่ละรุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... เมื่อเราอยู่ในยุคใดสมัยใดมันหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสังคมและค่านิยมในยุคนั้น ๆ ได้ยาก สำคัญที่คนเป็นพ่อเป็นแม่นั่นแหละที่จะมองเห็นปัญหานี้หรือไม่ และเพาะสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกตัวเองได้แค่ไหน
ผมเคยคุยกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่หลาย ๆ คน คิดเหมือน ๆกันว่าสมัยก่อน พ่อแม่เลี้ยงลูกมาหวังพึ่งพายามแก่เฒ่า แต่ยุคนี้อย่าว่าแต่จะพึ่งพาลูกยามแก่เฒ่าเลย... แค่หวังว่าลูกไม่ต้องพึ่งเราจนเขาแก่เฒ่าก็ดีเหลือแหล่แล้ว
หลายคนพยายามสั่งสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกเพื่อว่าลูก ๆ จะได้ไม่ลำบากในอนาคต... แต่ผมคิดตรงข้าม ผมจะให้ความรู้ให้การศึกษาเขาเท่าที่เขาจะไปได้ในแบบที่เขาพอใจและมีความสุข ติดอาวุธให้เขาสำหรับต่อสู้ฝ่าฟันเพื่ออนาคตตนเอง ส่วนเงินทองผมหาไว้เลี้ยงตัวเองยามแก่เฒ่า (ฮาดีไหม)
เพราะผมมองว่าหากพ่อแม่มัวแต่หาทรัพย์สินให้ แต่ลูกไม่รู้จักเก็บรู้จักใช้ มีเท่าไรมันก็ไม่เคยพอ แต่วิชาความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมดและไม่มีใครพรากไปจากเขาได้ เหมือนหาปลาให้กินกับสอนให้หาปลากินเองนั่นแล
อาจตอบไม่ตรงกระทู้ทีเดียวแต่ผมคิดว่ามันเป็นการแตกประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับกระทู้แน่นอน... ทัศนคติและค่านิยมคือตัวกำหนดการใช้ชีวิต...ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองอย่างเดียวอย่างที่หลายท่านพยายามบอก
ผมอยู่ในสายงานที่รายรับจัดว่าสูง เรามักคุยกันแบบขำ ๆ เสมอว่า...เออ... ดูเนอะ...แต่ละคนใช้โทรศัพท์แค่เครื่องละไม่กี่บาท แถมใช้กันจนเก่า เอาแค่โทรเข้าออกติดต่องานได้ แต่พวกเด็กที่เป็นผู้ช่วยนี่สิ แต่ละคนใช้ของราคาแพง โทรศัพท์ราคาเป็นหมื่นทั้งนั้นทั้งที่รายได้ยังไม่เท่าราคาเครื่องเลย (ลูกผมก็ใช้ แต่ผมให้เขาหาเงินซื้อเองถ้าอยากได้ ซึ่งมันทำให้เขารู้จักคุณค่าของเงินและสิ่งของมากกว่าการได้มาฟรี ๆ เยอะ และเขาจะไม่เปลี่ยนพร่ำเพรื่อ)
สมัยก่อนการเข้าร้านอาหารต้องถือเป็นโอกาสพิเศษจริง ๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่กินในร้านกันเป็นปกติชนิดต้องต่อคิวยังกะขอกินฟรี...บางทีผมเห็นยังสงสัยอยู่เนือง ๆ ว่า เออ...ถ้าเสียเงินแล้วยังต้องเสียเวลารอแบบนี้...เปลี่ยนร้านดีกว่าไหม
ในความรู้สึกผม ผมรู้สึกว่าน่ากลัวนะครับกับพฤติกรรมการบริโภคและค่านิยมที่กำลังเป็นไปในปัจจุบันนี้... ใครภูมิคุ้มกันไม่ดี ถ้าบ้านไม่รวยจริง อนาคตวังเวงนะครับ...พูดจริ๊ง
แสดงความคิดเห็น
มีใครรู้สึกเหมือนผมบ้างว่าสมัยนี้คนติดกับการกินของดีๆ ใช้เงินง่าย ไม่เหมือน 20ปีก่อน ขึ้นไป
ไม่ค่อยจะมีบ้านไหนได้กิน ได้กินหน่อยก็บ้านที่มีฐานะขึ้นมาหน่อย แต่พอมาดูเดียวนี้คนกินร้านเต็มทุกวัน
และอีกสิ่งที่เปลียนไปคือ การสั่งอาหารพิเศษ สมัยผมเด็กๆ ข้าวจานละ 20 พิเศษ 25 การที่จะสั่งพิเศษ
เพิ่มแค่ 5 บาทสมัยก่อนนี่ ถือว่ายากมากและเสียดายเงินอาจเป็นเพราะเงินสมัยนี้ไม่ค่อยมีค่ามั่ง
แล้วสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือว่าไม่ดี