สวัสดีค่ะทุกคน...
วันนี้เป็นฤกษ์ดีที่จะได้มาอัพรีวิวเที่ยวอีกครั้ง หลังจากที่ได้ดองไว้นานมากกกก...
ทริปนี้เป็นทริปในฝันของเราค่ะ เรามีความฝันที่อยากจะมาเที่ยวที่ประเทศนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนั่นคือ... ประเทศญี่ปุ่นนั่นเองคร่า!!

โดยทริปนี้เป็นทริปที่เราลุยเดี่ยวมาเที่ยวเองคนเดียวค่ะ เนื่องจากชวนเพื่อน ๆแล้วแต่ไม่มีใครพร้อมซักคน เราเลยไม่รอช้าที่จะบุ๊คตั๋วในช่วงที่มีโปรโมชั่นและตัดสินใจลองเที่ยวเองคนเดียวดูค่ะ ^^

และไฟท์นี้ก็หนีไม่พ้นสายการบินเดิมค่ะ "Airasia X" นั่นเองค่ะ ในรอบนี้เราจองช่วงที่โปรญี่ปุ่นเพิ่งเข้ามาใหม่ค่ะ
เราจองไฟท์ไปลงนาริตะวันที่ 27 - 31 มกราคม 2558 ค่ะ ได้ไฟท์ไป - กลับมาในราคา 7,990 บาท แต่บังเอิญเราต้องเปลี่ยนไฟท์ค่ะเนื่องจากจองข้ามปีแล้วดันลางานติดกันนานไม่ได้เลยต้องเลื่อนไฟท์วันไปค่ะ เลยโดยค่าเปลี่ยนไฟท์ไปหนักเลยค่ะ สรุปทริปนี่ตั๋วไป - กลับที่เสียไปรวมคือ 11,250 บาทค่ะ
** สำหรับใครที่จะจองตั๋วโปรข้ามปีแบบเรา เราขอแนะนำให้คุณแน่ใจแล้วจริงๆว่าวันที่คุณจองนั้นว่างและจะไม่มีอะไรมากวนจริง ๆ (แต่เราว่าแอบยากนิดนะ อิอิ) แล้วคุณจะได้ตั๋วในราคาถูก และเที่ยวได้อย่างมีความสุขค่ะ ^^
ทริปนี้เราจอง pocket wifi มาด้วยค่ะ เราจองของ Samurai wifi ค่ะ ราคาไม่แพงค่ะ เราจองสี่วันตก 800 บาทค่ะ และใช้งานโอเคดีด้วยค่ะ
ใครสนใจจะจอง wifi ลองดูเวปนี้ได้นะคะ
http://www.bs-mobile.jp/th/

ในที่สุดก็มาถึงค่ะ หลังจกาต้องนอนข้ามคืนกว่า 6 ชั่วโมง พอเครื่องลงจอดเราดีใจ และตื่นเต้นมาก
อากาศวันนั้นอยู่ที่ 2 องศาค่ะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของเราเลยที่ได้มาสัมผัสอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เราดีใจมากเลย และอากาศหนาวที่นี่ไม่เป็นปัญหากับเราเลยค่ะ สบายมาก ๆ เลยค่ะ ^^
หลังจากเราผ่าน ตม. อะไรมาเรียบร้อยแล้ว เราก็รีบดิ่งไปหาเพื่อนชาวญี่ปุ่นของเราเลยค่ะ เค้ามารอรับเราถึงสนามบินแต่เช้าเลย เราเกรงใจเค้ามาก แต่เค้าก็ยังยืนยันจะมารับเรา ไม่ยอมให้เราไปหาเค้าที่บ้านเค้าค่ะ ลืมบอกไปค่ะ!! ทริปนี้เราไม่เสียค่าใช้จ่ายโรงแรมแต่อย่างใดเลยค่ะ เพราะเรามีเพื่อนญี่ปุ่นเยอะ ดังนั้นเราจึงขอเพื่อนเราไปนอนพักด้วยค่ะ ทริปนี้เราเลยประหยัดค่าที่พักไปได้เยอะเลยค่ะ ^^

และนี่เพื่อนเราเองค่ะ ชื่อยูกิเอะ น่ารักใช่มั้ยหล้าาา!! (><)
หลังจากเราเจอเพื่อนเราแล้วเราก็รีบจัดแจ้งเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อมกับการพบอากาศหนาวของเราคั้งแรกค่ะ^^

และแล้วก็เริ่มหิวนิดๆ เราเลยไปแวะซื้ออาหารง่ายตามร้านในรถไฟใต้ดินของสนามบินค่ะ
ซึ่งอาหารมื้อแรกของเราในญี่ปุ่นเลย คือ... ออมไล นั่นเองคร่า!! โดยออมไล จะเป็นข้าวผัดที่ผัดกับซอสพริกหรือมะเขือเทศเนี่ยหละค่ะ แล้วก็ห่อข้างนอกด้วยไข่ตามสไตล์ญี่ปุ่น จะบอกว่ารสชาติจะจืดนิดๆ แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาเลยค่ะ ชอบ อร่อยและอิ่มทองดีค่ะ ออมไลท์อันนี้ ราคาแค่ 134 เยนเองค่ะ สำหรับมื้อที่เร่งรีบ หาอะไรทานง่ายๆแบบนี้ก็ดีนะคะ และช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยคร่า ^^
สำหรับทริปนี้เราไมไ่ด้ซื้อตั่ว JR จากไทยมาก่อนนะคะ เรามาซื้อเองที่ตู้กดนี้เลยค่ะ
ที่สนามบินนาริตะนี้ มีหลายตู้ให้กดนะคะซึ่งแต่ละตู้ก็ไม่เหมือนกัน จะเป็นตู้เฉพาะของรถไฟนั่น ๆ
เช่น ตู้ซื้อตั๋วรถไฟสาย JR, ตู้ซื้อตั๋วชินคันเซน ค่ะ
และนี่เราก็มาถึงตู้ JR ค่ะ โดยทริปนี้เราจะเลือกใช้แต่รถไฟสาย JR เท่านั้นคะ เพราะถูกและประหยัดดีค่ะ

ขั้นตอนคือ
1. กดเลือกภาษาอังกฤษค่ะ
2. กดเลือกสถานนีที่ต้องการจะไป โดยสถานนีที่เราจะไปนั้นคือ สถานี นาริตะ ค่ะ
3. หยอดเหรียญ หรือใส่แบงค์เข้าไป
4. รอรับตั๋ว
ซึ่งจะได้ตั๋วออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ...

หลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็ลงบันไดเลื่อนเพื่อลงไปชั้นใต้ดินค่ะ
** วัฒนธรรมการเดินของคนญี่ปุ่น เวลาขึ้นลงบันไดนะคะ
เค้าจะเดินชิดซ้ายกันค่ะ (ยกเว้นโอซากาจังหวัดเดียวที่เดินชิดขวา) และส่วนทางขวาสำหรับคนที่เร่งด่วนเท่านั้นคะ
และสำหรับคนที่มีของหนัก หรือกระเป๋าเยอะๆ ก็สามารถใช้ลิฟท์ขึ้นลงได้ตามสบายเลยค่ะ ^^

เส้นทางรถไฟของที่นี่ค่ะ ดูแล้วงงกันเลยใช่มั้ยคะ เราก็เองก็งงค่ะ แต่ก่อนจะมาที่นี่เราเตรียมแพลนมาค่ะ
โดยทริปญี่ปุ่นนี้เราเป็นคนวางแพนเที่ยวเองหมดเลยค่ะ แะศึกษาเส้นทางการขึ้นรถไฟด้วยตัวเองค่ะ อยากบอกว่านี่ขนาดศึกษามาก่อนแล้วพอมาเจอของจริงถึงกับ งองูเต็มหัวเลย แหะๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราโชคดีที่มีเพื่อนเราอยู่ด้วยเลยสบายมาก สำหรับคนที่ไม่แน่ใจจะขึ้นรถไฟสายไหนจริง ๆ ให้ถามเจ้าหน้าที่สนามบินได้เลยค่ะ เค้ายินดีตอบคำถามเราทุกคนเลยค่ะ ใจดีมากๆเลย ^^

** ข้อควรระวังคะ รางรถไฟนี้จะมีสายรถไฟหลายสายมาก ฉะนั้นให้ระวังในการขึ้นดีๆนะคะ แบบเราเราเลือกสาย JR ให้สังเกตุคำบนรถไฟเอาค่ะ จะมีตัวอักร JR มาถึงจะขึ้นได้ และจะต้องขึ้นสีให้ถูกด้วยค่ะ ถึงจะมีคำว่า JR แต่ว่าแต่ละสายก็ไปต่างสถานีกันค่ะ ต้องระวังกันดีๆนะคะ ^^

และแล้วก็มาถึงนาริตะกันแล้ว นั่งรถไฟมาไม่นานมากค่ะเพราะนาริตะนี้ใกล้กับสนามบินนาริตะมากค่ะ ^^
เนื่องจากบ้านเพื่อนเราอยู่ไซตามะ แล้วไซตามะอยู่เหนือโตเกียวขึ้นไป เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเลยตัดสินใจเที่ยวก่อนเอาของเข้าบ้านเพื่อนค่ะ
ดังนั้นเราเลยต้องมาใช้บริการล็อคเกอร์นี้ค่ะ ตู้ล็อคเกอร์พวกนี้จะวางอยู่ทั่วไปตามสถานีรถไฟค่ะ หาง่ายมาก และใช้บริการได้ทั้งวันเลยจนกว่าเราจะมาเอาของกลับ โดยการเลือกไซต์ช่องล็อคเกอร์ที่เหมาะกับขนาดของของเรา แล้วก็หยอดเหรียญตามราคาเลยค่ะ โดยเราเลือกตู้ใหญ่สุดค่ะ เพราะกระเป๋าเดินทางเราใบขนาดกลาง และเมื่อหยอดเหรียญเอาของเข้าตู้หมดแล้วเราก็จะได้กุญแจมาค่ะ ต้องเก็บรักษาดีๆนะคะ ^^

หลังจากเอากระเป๋าเก็บเข้าล็อคเกอร์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเที่ยวของเราแล้วคร่า...
สถานที่ที่เราจะไปนั้น คือ วัดนาริตะ ค่ะ

จังหวัดนาริตะ นี่ส่วนใหญ่จะมีพวกศาลเจ้าอะไรเยอะมากค่ะ และเป็นจังหวัดที่สงบมาก นักท่องเที่ยวมีมาประปรายค่ะแต่ที่นี่ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวไทยนะคะเท่าที่เราสังเกตุมา เรารู้สึกชอบมากค่ะ เพราะสงบไม่วุ่นวายดีทำให้เที่ยวสนุกมากๆ ^^

และเมื่อเราเดินมาถึงถนนเส้นหลักที่จะไปวัดนาริตะ ถนนเส้นนี้ก็จะมีขนมขายตามข้างทางเยอะมากมายค่ะ
และแล้วเราก็ได้มาพบขนมที่เป็นขนมโปรดของเราที่ญ่ปุ่น ซึ่งเราไม่เคยทานมาก่กอนค่ะ นั่นคือ มันหวานญี่ปุ่นนั่นเอง หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า さつまいも… ✨ ซะซึมาอิโมะค่ะ อร่อยมากๆ ราคาแค่ 100 เยนค่ะ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นลองหาทานกันได้นะคะ อร่อยมากๆเลยสำหรับสาวกมันฝรั่งแบบเรา ^^

** เวลาซื้อขนมแล้วแนะนำให้ทานหน้าร้านตรงนั้นเลยนะคะ เพราะเหมือนการเดินทานอาหารไปด้วยจะเป็นมารยาทที่ไม่ดีในญี่ปุ่นค่ะ และจะทำให้พื้นถนนสกปรกด้วย ^^
หลังจากทานมันหวานหมดเเล้วเราก็เดินมาเรื่อยๆจนมาถึง วัดนาริตะค่ะ ^^

วัดนาริตะ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดนาริตะค่ะ คนส่วนใหญ่จะมาขอพรกันที่นี่ค่ะ
ทางเข้าสู่วัดนาริตะค่ะ

อันนี้เป็นของที่เอาไว้ใช้ตอนมีงานเทศกาลดีๆค่ะ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพื่อนเราบอกมาแบบนั้นนะ

ตรงจุดนี้คนเยอะมากเลยค่ะ ไม่รู้ว่าทำไรกัน เราไม่ได้เข้าไปดูค่ะเพราะคนเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคุณลุง คุณป้าค่ะ

ตรงจึดนี้จะเป็นจุดที่คนที่เคยขอพรสำเร็จจะซื้อของมาให้ศาสเจ้าค่ะ หรือคนที่เคยซื้อเครื่องรางแล้วหมดอายุก็สามารถเอาเครื่องรางมาคืนได้ตรงนี้เช่นกันค่ะ

ก่อนจะขึ้นไปไหว้พระพุทธรูปก็ต้องมีการล้างมือกันก่อนนะคะ อิอิ

และแล้วก็ขึ้นมาถึงค่ะ ก่อนจะเข้าไปขอพรพระพุทธรูป ตรงหน้าทางเดินจะมีเหมือนที่ใส่ผงธูปใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ค่ะ
ตรงนี้คนญี่ปุ่นเชื่อว่า การกวักควันธูปเข้าหาตัวนั้นจะทำให้โชคดีค่ะ เราเลยกวักมาเยอะมากจนสำลักเลยค่ะ แหะๆ :p

หลังจากกวักความโชคดีใส่ตัวแล้ว เราก็เข้ามาถึงที่ขอพรกันแล้วค่ะ ข้างในนี้คนเยอะมากเลยค่ะ
ในการขอพรเราจะโยนเหรียญเข้าไปในช่องโยนเหรียญและก็ขอพรค่ะ

ทุกศาลเจ้าในประเทศญี่ปุ่นจะมีขายเครื่องรางเยอะมากเลยค่ะ
โดยในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกเครื่องรางว่า Omamori ซึ่งจะช่วยในแต่ละเรื่อง ราคาแตกต่างแล้วแต่วัสดุค่ะ แล้วเจ้าเครื่องรางพวกนี้มีอายุอยู่ได้แค่ 1 ปีเท่านั้นนะคะ พอปีใหม่ชาวญี่ปุ่นจะเอาเครื่องรางมาคืนที่ศาลเจ้าเดิมที่ตนได้ซื้อมา และซื้อเครื่องรางใหม่มาแทนค่ะ (อันนี้อาจารย์เราบอกมานะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า แหะๆ )

หลังจากนั้นเราเดินออกมาข้างนอกก็มาพบกับเจ้านี่ค่ะ เจ้านี่คือเซี่ยมซีค่ะ

ภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า Omikuji ค่ะ

แล้วเราก็ไม่ลืมที่จะลองเล่นเจ้าเครื่องเซียมซีนี้ค่ะ โดยการหยอดเหรียญ 100 เยนลงไปจากนั้นใบเซียมซีจะลงมาค่ะ จะบอกว่าอ่านยากมากเป็นตัวคันจิหมดเลย เราอ่านคันจิยังไมไ่ด้เลยให้เพื่อนช่วยแปลให้ค่ะ ขนาดเพื่อนเราแปลยังบอกว่ายากเลย แต่สรุปตรงดีค่ะ เซียมซีตรงมาก และเราได้ใบดีมาเลยไม่ต้องเอาไปฝากศาลเจ้าค่ะ

สำหรับใครที่ได้ใบไม่ค่อยดีเค้าก็จะมีที่รับฝากไว้นะคะ โดยการนำใบโอมิคุจิเราไปผูกไว้ค่ะ ตามรูปนี้เลย...
[CR] หนีเที่ยวคนเดียว แต่ไม่โดดเดี่ยวที่ Narita, Tokyo, Saitama, Japan 5 วัน 4 คืน by tAmkimヽ(*≧ω≦)ノ
วันนี้เป็นฤกษ์ดีที่จะได้มาอัพรีวิวเที่ยวอีกครั้ง หลังจากที่ได้ดองไว้นานมากกกก...
ทริปนี้เป็นทริปในฝันของเราค่ะ เรามีความฝันที่อยากจะมาเที่ยวที่ประเทศนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนั่นคือ... ประเทศญี่ปุ่นนั่นเองคร่า!!
โดยทริปนี้เป็นทริปที่เราลุยเดี่ยวมาเที่ยวเองคนเดียวค่ะ เนื่องจากชวนเพื่อน ๆแล้วแต่ไม่มีใครพร้อมซักคน เราเลยไม่รอช้าที่จะบุ๊คตั๋วในช่วงที่มีโปรโมชั่นและตัดสินใจลองเที่ยวเองคนเดียวดูค่ะ ^^
และไฟท์นี้ก็หนีไม่พ้นสายการบินเดิมค่ะ "Airasia X" นั่นเองค่ะ ในรอบนี้เราจองช่วงที่โปรญี่ปุ่นเพิ่งเข้ามาใหม่ค่ะ
เราจองไฟท์ไปลงนาริตะวันที่ 27 - 31 มกราคม 2558 ค่ะ ได้ไฟท์ไป - กลับมาในราคา 7,990 บาท แต่บังเอิญเราต้องเปลี่ยนไฟท์ค่ะเนื่องจากจองข้ามปีแล้วดันลางานติดกันนานไม่ได้เลยต้องเลื่อนไฟท์วันไปค่ะ เลยโดยค่าเปลี่ยนไฟท์ไปหนักเลยค่ะ สรุปทริปนี่ตั๋วไป - กลับที่เสียไปรวมคือ 11,250 บาทค่ะ
** สำหรับใครที่จะจองตั๋วโปรข้ามปีแบบเรา เราขอแนะนำให้คุณแน่ใจแล้วจริงๆว่าวันที่คุณจองนั้นว่างและจะไม่มีอะไรมากวนจริง ๆ (แต่เราว่าแอบยากนิดนะ อิอิ) แล้วคุณจะได้ตั๋วในราคาถูก และเที่ยวได้อย่างมีความสุขค่ะ ^^
ทริปนี้เราจอง pocket wifi มาด้วยค่ะ เราจองของ Samurai wifi ค่ะ ราคาไม่แพงค่ะ เราจองสี่วันตก 800 บาทค่ะ และใช้งานโอเคดีด้วยค่ะ
ใครสนใจจะจอง wifi ลองดูเวปนี้ได้นะคะ http://www.bs-mobile.jp/th/
ในที่สุดก็มาถึงค่ะ หลังจกาต้องนอนข้ามคืนกว่า 6 ชั่วโมง พอเครื่องลงจอดเราดีใจ และตื่นเต้นมาก
อากาศวันนั้นอยู่ที่ 2 องศาค่ะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของเราเลยที่ได้มาสัมผัสอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เราดีใจมากเลย และอากาศหนาวที่นี่ไม่เป็นปัญหากับเราเลยค่ะ สบายมาก ๆ เลยค่ะ ^^
หลังจากเราผ่าน ตม. อะไรมาเรียบร้อยแล้ว เราก็รีบดิ่งไปหาเพื่อนชาวญี่ปุ่นของเราเลยค่ะ เค้ามารอรับเราถึงสนามบินแต่เช้าเลย เราเกรงใจเค้ามาก แต่เค้าก็ยังยืนยันจะมารับเรา ไม่ยอมให้เราไปหาเค้าที่บ้านเค้าค่ะ ลืมบอกไปค่ะ!! ทริปนี้เราไม่เสียค่าใช้จ่ายโรงแรมแต่อย่างใดเลยค่ะ เพราะเรามีเพื่อนญี่ปุ่นเยอะ ดังนั้นเราจึงขอเพื่อนเราไปนอนพักด้วยค่ะ ทริปนี้เราเลยประหยัดค่าที่พักไปได้เยอะเลยค่ะ ^^
และนี่เพื่อนเราเองค่ะ ชื่อยูกิเอะ น่ารักใช่มั้ยหล้าาา!! (><)
หลังจากเราเจอเพื่อนเราแล้วเราก็รีบจัดแจ้งเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อมกับการพบอากาศหนาวของเราคั้งแรกค่ะ^^
และแล้วก็เริ่มหิวนิดๆ เราเลยไปแวะซื้ออาหารง่ายตามร้านในรถไฟใต้ดินของสนามบินค่ะ
ซึ่งอาหารมื้อแรกของเราในญี่ปุ่นเลย คือ... ออมไล นั่นเองคร่า!! โดยออมไล จะเป็นข้าวผัดที่ผัดกับซอสพริกหรือมะเขือเทศเนี่ยหละค่ะ แล้วก็ห่อข้างนอกด้วยไข่ตามสไตล์ญี่ปุ่น จะบอกว่ารสชาติจะจืดนิดๆ แต่สำหรับเราไม่มีปัญหาเลยค่ะ ชอบ อร่อยและอิ่มทองดีค่ะ ออมไลท์อันนี้ ราคาแค่ 134 เยนเองค่ะ สำหรับมื้อที่เร่งรีบ หาอะไรทานง่ายๆแบบนี้ก็ดีนะคะ และช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยคร่า ^^
สำหรับทริปนี้เราไมไ่ด้ซื้อตั่ว JR จากไทยมาก่อนนะคะ เรามาซื้อเองที่ตู้กดนี้เลยค่ะ
ที่สนามบินนาริตะนี้ มีหลายตู้ให้กดนะคะซึ่งแต่ละตู้ก็ไม่เหมือนกัน จะเป็นตู้เฉพาะของรถไฟนั่น ๆ
เช่น ตู้ซื้อตั๋วรถไฟสาย JR, ตู้ซื้อตั๋วชินคันเซน ค่ะ
และนี่เราก็มาถึงตู้ JR ค่ะ โดยทริปนี้เราจะเลือกใช้แต่รถไฟสาย JR เท่านั้นคะ เพราะถูกและประหยัดดีค่ะ
ขั้นตอนคือ
1. กดเลือกภาษาอังกฤษค่ะ
2. กดเลือกสถานนีที่ต้องการจะไป โดยสถานนีที่เราจะไปนั้นคือ สถานี นาริตะ ค่ะ
3. หยอดเหรียญ หรือใส่แบงค์เข้าไป
4. รอรับตั๋ว
ซึ่งจะได้ตั๋วออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ...
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็ลงบันไดเลื่อนเพื่อลงไปชั้นใต้ดินค่ะ
** วัฒนธรรมการเดินของคนญี่ปุ่น เวลาขึ้นลงบันไดนะคะ
เค้าจะเดินชิดซ้ายกันค่ะ (ยกเว้นโอซากาจังหวัดเดียวที่เดินชิดขวา) และส่วนทางขวาสำหรับคนที่เร่งด่วนเท่านั้นคะ
และสำหรับคนที่มีของหนัก หรือกระเป๋าเยอะๆ ก็สามารถใช้ลิฟท์ขึ้นลงได้ตามสบายเลยค่ะ ^^
เส้นทางรถไฟของที่นี่ค่ะ ดูแล้วงงกันเลยใช่มั้ยคะ เราก็เองก็งงค่ะ แต่ก่อนจะมาที่นี่เราเตรียมแพลนมาค่ะ
โดยทริปญี่ปุ่นนี้เราเป็นคนวางแพนเที่ยวเองหมดเลยค่ะ แะศึกษาเส้นทางการขึ้นรถไฟด้วยตัวเองค่ะ อยากบอกว่านี่ขนาดศึกษามาก่อนแล้วพอมาเจอของจริงถึงกับ งองูเต็มหัวเลย แหะๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราโชคดีที่มีเพื่อนเราอยู่ด้วยเลยสบายมาก สำหรับคนที่ไม่แน่ใจจะขึ้นรถไฟสายไหนจริง ๆ ให้ถามเจ้าหน้าที่สนามบินได้เลยค่ะ เค้ายินดีตอบคำถามเราทุกคนเลยค่ะ ใจดีมากๆเลย ^^
** ข้อควรระวังคะ รางรถไฟนี้จะมีสายรถไฟหลายสายมาก ฉะนั้นให้ระวังในการขึ้นดีๆนะคะ แบบเราเราเลือกสาย JR ให้สังเกตุคำบนรถไฟเอาค่ะ จะมีตัวอักร JR มาถึงจะขึ้นได้ และจะต้องขึ้นสีให้ถูกด้วยค่ะ ถึงจะมีคำว่า JR แต่ว่าแต่ละสายก็ไปต่างสถานีกันค่ะ ต้องระวังกันดีๆนะคะ ^^
และแล้วก็มาถึงนาริตะกันแล้ว นั่งรถไฟมาไม่นานมากค่ะเพราะนาริตะนี้ใกล้กับสนามบินนาริตะมากค่ะ ^^
เนื่องจากบ้านเพื่อนเราอยู่ไซตามะ แล้วไซตามะอยู่เหนือโตเกียวขึ้นไป เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเลยตัดสินใจเที่ยวก่อนเอาของเข้าบ้านเพื่อนค่ะ
ดังนั้นเราเลยต้องมาใช้บริการล็อคเกอร์นี้ค่ะ ตู้ล็อคเกอร์พวกนี้จะวางอยู่ทั่วไปตามสถานีรถไฟค่ะ หาง่ายมาก และใช้บริการได้ทั้งวันเลยจนกว่าเราจะมาเอาของกลับ โดยการเลือกไซต์ช่องล็อคเกอร์ที่เหมาะกับขนาดของของเรา แล้วก็หยอดเหรียญตามราคาเลยค่ะ โดยเราเลือกตู้ใหญ่สุดค่ะ เพราะกระเป๋าเดินทางเราใบขนาดกลาง และเมื่อหยอดเหรียญเอาของเข้าตู้หมดแล้วเราก็จะได้กุญแจมาค่ะ ต้องเก็บรักษาดีๆนะคะ ^^
หลังจากเอากระเป๋าเก็บเข้าล็อคเกอร์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเที่ยวของเราแล้วคร่า...
สถานที่ที่เราจะไปนั้น คือ วัดนาริตะ ค่ะ
จังหวัดนาริตะ นี่ส่วนใหญ่จะมีพวกศาลเจ้าอะไรเยอะมากค่ะ และเป็นจังหวัดที่สงบมาก นักท่องเที่ยวมีมาประปรายค่ะแต่ที่นี่ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวไทยนะคะเท่าที่เราสังเกตุมา เรารู้สึกชอบมากค่ะ เพราะสงบไม่วุ่นวายดีทำให้เที่ยวสนุกมากๆ ^^
และเมื่อเราเดินมาถึงถนนเส้นหลักที่จะไปวัดนาริตะ ถนนเส้นนี้ก็จะมีขนมขายตามข้างทางเยอะมากมายค่ะ
และแล้วเราก็ได้มาพบขนมที่เป็นขนมโปรดของเราที่ญ่ปุ่น ซึ่งเราไม่เคยทานมาก่กอนค่ะ นั่นคือ มันหวานญี่ปุ่นนั่นเอง หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า さつまいも… ✨ ซะซึมาอิโมะค่ะ อร่อยมากๆ ราคาแค่ 100 เยนค่ะ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นลองหาทานกันได้นะคะ อร่อยมากๆเลยสำหรับสาวกมันฝรั่งแบบเรา ^^
** เวลาซื้อขนมแล้วแนะนำให้ทานหน้าร้านตรงนั้นเลยนะคะ เพราะเหมือนการเดินทานอาหารไปด้วยจะเป็นมารยาทที่ไม่ดีในญี่ปุ่นค่ะ และจะทำให้พื้นถนนสกปรกด้วย ^^
หลังจากทานมันหวานหมดเเล้วเราก็เดินมาเรื่อยๆจนมาถึง วัดนาริตะค่ะ ^^
วัดนาริตะ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดนาริตะค่ะ คนส่วนใหญ่จะมาขอพรกันที่นี่ค่ะ
ทางเข้าสู่วัดนาริตะค่ะ
อันนี้เป็นของที่เอาไว้ใช้ตอนมีงานเทศกาลดีๆค่ะ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพื่อนเราบอกมาแบบนั้นนะ
ตรงจุดนี้คนเยอะมากเลยค่ะ ไม่รู้ว่าทำไรกัน เราไม่ได้เข้าไปดูค่ะเพราะคนเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคุณลุง คุณป้าค่ะ
ตรงจึดนี้จะเป็นจุดที่คนที่เคยขอพรสำเร็จจะซื้อของมาให้ศาสเจ้าค่ะ หรือคนที่เคยซื้อเครื่องรางแล้วหมดอายุก็สามารถเอาเครื่องรางมาคืนได้ตรงนี้เช่นกันค่ะ
ก่อนจะขึ้นไปไหว้พระพุทธรูปก็ต้องมีการล้างมือกันก่อนนะคะ อิอิ
และแล้วก็ขึ้นมาถึงค่ะ ก่อนจะเข้าไปขอพรพระพุทธรูป ตรงหน้าทางเดินจะมีเหมือนที่ใส่ผงธูปใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ค่ะ
ตรงนี้คนญี่ปุ่นเชื่อว่า การกวักควันธูปเข้าหาตัวนั้นจะทำให้โชคดีค่ะ เราเลยกวักมาเยอะมากจนสำลักเลยค่ะ แหะๆ :p
หลังจากกวักความโชคดีใส่ตัวแล้ว เราก็เข้ามาถึงที่ขอพรกันแล้วค่ะ ข้างในนี้คนเยอะมากเลยค่ะ
ในการขอพรเราจะโยนเหรียญเข้าไปในช่องโยนเหรียญและก็ขอพรค่ะ
ทุกศาลเจ้าในประเทศญี่ปุ่นจะมีขายเครื่องรางเยอะมากเลยค่ะ
โดยในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกเครื่องรางว่า Omamori ซึ่งจะช่วยในแต่ละเรื่อง ราคาแตกต่างแล้วแต่วัสดุค่ะ แล้วเจ้าเครื่องรางพวกนี้มีอายุอยู่ได้แค่ 1 ปีเท่านั้นนะคะ พอปีใหม่ชาวญี่ปุ่นจะเอาเครื่องรางมาคืนที่ศาลเจ้าเดิมที่ตนได้ซื้อมา และซื้อเครื่องรางใหม่มาแทนค่ะ (อันนี้อาจารย์เราบอกมานะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า แหะๆ )
หลังจากนั้นเราเดินออกมาข้างนอกก็มาพบกับเจ้านี่ค่ะ เจ้านี่คือเซี่ยมซีค่ะ
ภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า Omikuji ค่ะ
แล้วเราก็ไม่ลืมที่จะลองเล่นเจ้าเครื่องเซียมซีนี้ค่ะ โดยการหยอดเหรียญ 100 เยนลงไปจากนั้นใบเซียมซีจะลงมาค่ะ จะบอกว่าอ่านยากมากเป็นตัวคันจิหมดเลย เราอ่านคันจิยังไมไ่ด้เลยให้เพื่อนช่วยแปลให้ค่ะ ขนาดเพื่อนเราแปลยังบอกว่ายากเลย แต่สรุปตรงดีค่ะ เซียมซีตรงมาก และเราได้ใบดีมาเลยไม่ต้องเอาไปฝากศาลเจ้าค่ะ
สำหรับใครที่ได้ใบไม่ค่อยดีเค้าก็จะมีที่รับฝากไว้นะคะ โดยการนำใบโอมิคุจิเราไปผูกไว้ค่ะ ตามรูปนี้เลย...