ถ้าจะวิเคราะห์กันแบบหลวม ๆ ถึงสาเหตุแห่งความแตกแยกในครอบครัวของเราก็น่าจะชี้เป้าไปที่ความไร้หลักเกณฑ์ชี้ผิดชี้ถูกของแม่นั่นเอง เราว่าแม่ ๆ หลายคนก็คงเป็นแบบนี้ คืออยากเป็นที่รักของลูกทุก ๆ คน เวลาเกิดเรื่องขัดแย้งบาดหมางในหมู่ลูก ๆ แม่ก็จะใช้นโยบายอะลุ้มอล่วยประนีประนอมเป็นหลัก ประเภทพี่ต้องเสีสละให้น้อง น้องต้องยอม ๆ พี่บ้างแล้วแต่กรณี ใครเปิดตัวแรง แม่ก็ยิ่งโอนเอนไปทางนั้นมากเป็นพิเศษ
ยิ่งเวลาดีลส่วนตัวกับแต่ละคนก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดีลกับคนไหนก็พูดเอาใจเข้าข้างคนนั้น สุดท้ายพี่ ๆน้อง ๆทุกคนก็เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ลิ่มที่มีอยู่จึงเหมือนถูกตอกและย้ำลงไปเรื่อย ๆ จนรอยร้าวแตกปริเกินจะประสานเยียวยา เราบันทึกส่วนนี้ไว้ ไม่ใช่เพื่อจะประจานทำลายทำร้ายบุพการีผู้เป็นที่รักแต่อย่างใด เพียงอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจพ่อแม่ทั้งหลาย เราว่านโยบายที่ดีที่สุดคือ การยึดข้อเท็จจริงตามเนื้อผ้า ต้องตั้งศาลไคฟงขึ้นในบ้าน พร้อมกับเอาเขม่าท่อไอเสียมาทาหน้า แต้มรูปจันทร์เสี้ยวไว้บนหน้าผาก แล้วสวมวิญญชี้ขาดให้ชัดแจ้ง แจกแจงตูม ๆ ไปเลยว่า ใครเป็นผ้าไหมผ้าทอมือผ้าขี้ริ้วผ้าฝ้ายไนลอนชีฟองหรือหางกระรอก ตีค่าตีราคาไปตามนั้น แล้วลูก ๆ ทุกคนก็จะเรียนรู้ที่จะปรับทัศนคติและพฤติกรรมไปเรื่อย ๆ สุดท้ายผลที่ได้ย่อมเป็นสันติภาพและสันติสุข รวมถึงความสมัครสมานสามัคคีโอบอ้อมอารีวู้ปี้ลัลล้าาาาาในครอบครัวนั่นแล
อุตส่าห์พาผู้อ่านกลับบ้านนอกทั้งที จะไม่พูดถึงอาหารพื้นถิ่นของอีสานบ้านเฮาก็กระไร ๆ อยู่ เอาเฉพาะหน้าที่เรากินแล้วก็เห็นชาวบ้านใกล้ ๆ ตัวกินกันก็แล้วกันนะ เมนูเช้าบางวันของเราจะเป็นข้าวจี่ แบบว่าเอาข้าวเหนียวนึ่งสุกมาปั้นเป็นก้อน คลุกกับไข่แดง เอาไม้เสียบแล้วย่างไฟพอเหลือง ๆ กรุบ ๆกรอบ ๆ หอมอร่อยใช้ได้ทีเดียวเชียว พิเศษอีกนิดก็ต้องคลุกไข่จั๊กจั่นสีเหลือง ๆ คราวนี้ยิ่งหอมหวนชวนกินเป็นสองเท่านั่นเลย
แมงกีนูนทอดเนี่ยเป็นอีกอย่างที่สุดยอดแห่งความมัน ประเภทเคี้ยวเพลินเกินห้ามใจ ถึงใครใครจะเม้าท์ว่าแงะออกมาจากกองขี้ควาย ก็ไม่มีใครสน เคี้ยวกันกร้วม ๆทุกทีสิน่า ไข่มดแดงนี่ก็แซ่บอีหลีอีหลอกระด้อกระเดี้ย ( เราชอบเติมว่าง่อยเปลี้ยเสียขาเข้าไปด้วย ) เวลาเอามายำใส่น้ำปลามะนาวแล้วก็พริกคั่วป่น หรือเอามาทอดรวมกับไข่เป็นไข่เจียวไข่มดแดงก็ง่อยเปลี้ยเสียขาไม่แพ้กัน แต่พวกลาบเลือดลาบก้อยแล้วก็ปลาร้าเนี่ย เราขอบาย เห็นชาวบ้านพกห่อมาซื้อของที่ร้าน แล้วควักข้าวเหนียวออกมาจ้ำกินกับลาบเลือดแดงฉานกันหน้าตาเฉยแล้ว ยังสยองสยิวกิ้วมาถึงทุกวันนี้เลยเชียว
พูดถึงปลาร้าแล้วก็หยองหยิวพอ ๆ กันนะ เวลาที่ลูกค้ามาซื้อที่ร้านเรา เค้าจะเปิดฝาไหแล้วเอาช้อนตักขึ้นมาชิมน้ำเนื้อกันสด ๆต่อหน้าต่อตา แบบภาพสามมิติแถมด้วยกลิ่นเฉพาะตัวแบบนั้น เราเนี่ยต่อให้ใครเอาปืนจ่อหัวเมียแล้วบังคับให้กินปลาร้าสักต่อนนึงยังต้องยอมตัดใจประกาศหาเมียใหม่ทางเฟสบุ๊คเลยสิเอ้า ไม่เชื่อลองดู๊ วันนึง สาย ๆ ตอนที่ร้านคนแน่น ๆชุลมุนชุลเก โจรในคราบผ้าถุงลายดอกยอดนิยมก็คว้าไหปลาร้าแจ้นออกไปจากร้าน แม่กับเรารีบตามไปในบัดดล ไปทันกันที่ร้านถัดไปราวห้าห้อง นางโจรปฏิเสธเสียงแข็ง หลักฐานก็ไม่มีให้เห็นซะด้วย แต่แม่เราน่ะยิ่งกว่าโคแนนซะอีก แม่บอกให้เธอเลิกผ้าถุงขึ้นมาให้ดู เลยจับได้คาหนังคาไหในนาทีนั้นเลย
เรื่องขโมยขโจรฉกชิงโชะเชะนี่มีอยู่ตลอดทีเดียว วันนึง ลูกค้ามาเลือกซื้อกระเป๋า พอจ่ายเงินเสร็จ อาศัยทีเผลอ แอบเปลี่ยนเอาใบราคาแพงกว่าไปซะนี่ เราเดินหาทั่วตลาดก็ไม่เห็นแม้เงา สุดท้ายไม่รู้อะไรดลใจให้เราเดินไปด้านหลังร้านที่ทะลุออกถนสายคู่ขนาน พอเปิดประตูพลัวะออกไป เค้าถึงกับผงะหงายเงิบ แล้วยอมควักเงินส่วนต่างให้แต่โดยดี และคงคิดในใจว่า " ฮ่วย เป็นหยัง มั้นคื้อฮู่วะวาเฮ้าสิยางมาหม่องนี่" เราก็ได้แต่ตอบเค้าไปในใจว่า " หึหุหุ มึ้งบ่อฮู้วากรูน่ะมีของนาเฟ้ยยย กรูมีประตูสองท้างว่ะ เหอเหอ"
มิเห็นโลงศพ เอ๊ย น้ำขึ้น เอ๊ยไม่ใช่สิ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา อีกสองสามวันก็จะเปิดเทอมใหม่แล้ว ได้เวลาสลัดกลิ่นไคลบ้านนอก กลับไปชุบตัวบ้านในอีกครั้งครา ช็อตนั่งรถไฟก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ยวนใจไม่น้อยเลย เพราะเราจะหาอะไรมาเล่นได้ตลอด
บางครั้งก็เอาเชือกฟางผูกกับถุงพลาสติกแล้วยื่นมือออกไปชักเล่นไปมานอกหน้าต่างตอนม้าเหล็กกำลังควบ หนุกหนานหนานหนุกทีเดียวเชียว บางทีก็เล่นทายกับพี่ ๆ ว่าสะพานเหล็กถัดไปจะมีเสาค้ำกี่ต้น สถานีถัดไปจะมีคนขึ้นลงกี่คน วิธีนี้ก็เป็นยาแก้เบื่อได้เหมือนกัน เพราะเราต้องใช้เวลาบนขบวนม้าเหล็กแต่ละเที่ยวกว่าสิบชั่วโมงเชียวแหละ
ขนาดนั่งรถไฟก็ยังหนีความฉ้อฉลของคนไม่พ้นอยู่ดี ครั้งนึง ตอนผ่านอยุธยามั้ง ทนเห็นซาลาเปาบนถาดพ่อค้าไม่ไหว เลยซื้อมากินซักหน่อย ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังความอร่อยระดับเชลล์ชวนชิม แค่เชลล์ไม่ชวนปาทิ้งก็ดีพอแล้วอะ แต่มันยังแย่ได้กว่านั้นอีก เพราะอุแม่เจ้า ซาลาเปาที่นี่หาใช่ไส้หมูธรรมดา ๆ ไม่ แต่มันเป็นหมูตัวที่ฝึกวิชาโง้วเล็กเต็งขั้นสูงสุด คือวิชาล่องหนหายตัว ใช่แล้ว มันคือซาลาเปาไส้หมูล่องหน บิกินดูอันนึงก็แล้ว สองอันก็แล้ว เค้าคงลืมเป็นบางลูกล่ะมั้ง พอลูกที่สามเท่านั้นแหละ ชัดเลย ไอ้ครั้นจะดึงหวูดฉุกเฉินเพื่อหยุดรถไฟ แล้วเอามีดจ่อคอให้ พขรฟ.ใส่เกียร์ถอยกลับไปทวงหมูมาแกล้มกับแป้งของมัน ก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจอยู่ เลยได้แต่พยายามนึกหน้าคนขายทดไว้ในใจ คราวหน้าผ่านมาอีก พ่อจะเอาเงินปลอมมาหลอกเหมาซาลาเปาไส้หมูฝึกวิชาของมันให้เกลี้ยงถาดทีเดียว แค้นนี้สิบปีชำระก็ยังไม่สาย ฮึ่มแฮ่
ส่วนใหญ่เราจะกลับมากรุงเทพฯ ก่อนเปิดเทอมใหม่ราวสามสี่วันเพื่อเตรียมตัวรับเปิดเทอม และหนึ่งในการเตรียมที่จะขาดเสียมิได้คือการดับไฟที่ลนก้นอยู่ เพราะว่าครูโรคจิตสมัยนั้นจะให้การบ้านเป็นกระสอบไว้ให้ทำช่วงปิดเทอม เพราะกลัวเด็ก ๆ อย่างเราจะเพลิดเพลินเจริญใจมากไปหรือไงนี่แหละ สุดท้ายช่วงสองสามวันก่อนเปิดเทอมจึงเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิต เพราะต้องนั่งปั่นการบ้านทั้งคัดลายมือไทยจีนและอะไรอื่น ๆอีกร้อยแปด ชนิดแทบจะไม่มีเวลาเอื้อมมือไปตบยุงที่กำลังกำซาบเลือดเราอยู่นั่นเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ครูยังโรคจิตเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าเนาะ
ช่วงที่เราเรียน ป.4 นี่เองที่บ้านเมืองเราเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เรียกกันว่า ตุลาวิปโยค เป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นกระทั่งเด็กอนุบาล รวมแล้วนับล้านคนออกมาชุมนุมบริเวณถนราชดำเนินเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก รัฐบาลเผด็จการทหารในยุคนั้น จบลงด้วยชัยชนะของภาคประชาชนที่มีบางคนต้องเสียเลือดเนื้อและกระทั่งชีวิตไปมิใช่น้อย หลังจากวันนั้น ดอกไม้ประชาธิปไตยก็เบ่งบานไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่เว้นกระทั่งในโรงเรียนระดับประถมของเราด้วย
จึงมีเช้าวันนึง ขณะที่นักเรียนทุกคนตั้งแถวเคารพธงชาติที่ลานใต้อาคารโบสถ์ เด็กนักเรียนชายคนนึงก็สวมวิญญาณป๋าเสก ( เสกสรรค์ ประเสริฐกุล )ขึ้นไปพูดปลุกระดมผ่านไมค์ให้พวกเราประท้วงไม่ขึ้นห้องเรียนในวันนั้น ด้วยเหตุที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนไม่มียารักษาอาการป่วยไข้ใดใดเลย นอกจากยาหม่องตราถ้วยทองแค่ตลับเดียวเท่านั้น ด้วยความเป็นเด็ก พวกเราจึงรู้สึกคึกคักครึกครื้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไปด้วย เลยเกิดเสียงตะโกนประท้วงอึงมี่ไปหมด ประมาณว่า " เราไม่เอายาหม่อง เราจะไม่ขึ้นเรียน" ร้อนถึงอึ่งซินแซ ( มาจากอึ๊ง แปลว่าเหลืองนะ ไม่ใช่อึ่งอ่าง ถึงหุ่นของเธอจะชี้นำไปทางนั้นก็เถอะ )เจ้าเดิมต้องมาแย่งไมค์ แล้วก็ทั้งปลอบทั้งขู่พวกเราที่ไม่ได้แข็งข้ออะไรมากมายอยู่แล้ว
เรื่องราววันนั้นจึงเป็นเพียงกระแสลมผิวผ่านเพื่อเรียกรอยยิ้มทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปแค่นั้น ส่วนเด็กชายคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญหรือไม่ เค้าจะสวมเสื้อสีอะไร เค้าจะรับเงินใครบ้างไหม หรือว่าเค้าอาจจะเกำลังวางแผนย่องเบาบ้านใครอยู่รึเปล่า อันนี้เราเองก็จนปัญญา และที่จริงก็อยากรู้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง—10/49 อาหารพิสดารบ้านเฮา
ยิ่งเวลาดีลส่วนตัวกับแต่ละคนก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดีลกับคนไหนก็พูดเอาใจเข้าข้างคนนั้น สุดท้ายพี่ ๆน้อง ๆทุกคนก็เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ลิ่มที่มีอยู่จึงเหมือนถูกตอกและย้ำลงไปเรื่อย ๆ จนรอยร้าวแตกปริเกินจะประสานเยียวยา เราบันทึกส่วนนี้ไว้ ไม่ใช่เพื่อจะประจานทำลายทำร้ายบุพการีผู้เป็นที่รักแต่อย่างใด เพียงอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจพ่อแม่ทั้งหลาย เราว่านโยบายที่ดีที่สุดคือ การยึดข้อเท็จจริงตามเนื้อผ้า ต้องตั้งศาลไคฟงขึ้นในบ้าน พร้อมกับเอาเขม่าท่อไอเสียมาทาหน้า แต้มรูปจันทร์เสี้ยวไว้บนหน้าผาก แล้วสวมวิญญชี้ขาดให้ชัดแจ้ง แจกแจงตูม ๆ ไปเลยว่า ใครเป็นผ้าไหมผ้าทอมือผ้าขี้ริ้วผ้าฝ้ายไนลอนชีฟองหรือหางกระรอก ตีค่าตีราคาไปตามนั้น แล้วลูก ๆ ทุกคนก็จะเรียนรู้ที่จะปรับทัศนคติและพฤติกรรมไปเรื่อย ๆ สุดท้ายผลที่ได้ย่อมเป็นสันติภาพและสันติสุข รวมถึงความสมัครสมานสามัคคีโอบอ้อมอารีวู้ปี้ลัลล้าาาาาในครอบครัวนั่นแล
อุตส่าห์พาผู้อ่านกลับบ้านนอกทั้งที จะไม่พูดถึงอาหารพื้นถิ่นของอีสานบ้านเฮาก็กระไร ๆ อยู่ เอาเฉพาะหน้าที่เรากินแล้วก็เห็นชาวบ้านใกล้ ๆ ตัวกินกันก็แล้วกันนะ เมนูเช้าบางวันของเราจะเป็นข้าวจี่ แบบว่าเอาข้าวเหนียวนึ่งสุกมาปั้นเป็นก้อน คลุกกับไข่แดง เอาไม้เสียบแล้วย่างไฟพอเหลือง ๆ กรุบ ๆกรอบ ๆ หอมอร่อยใช้ได้ทีเดียวเชียว พิเศษอีกนิดก็ต้องคลุกไข่จั๊กจั่นสีเหลือง ๆ คราวนี้ยิ่งหอมหวนชวนกินเป็นสองเท่านั่นเลย
แมงกีนูนทอดเนี่ยเป็นอีกอย่างที่สุดยอดแห่งความมัน ประเภทเคี้ยวเพลินเกินห้ามใจ ถึงใครใครจะเม้าท์ว่าแงะออกมาจากกองขี้ควาย ก็ไม่มีใครสน เคี้ยวกันกร้วม ๆทุกทีสิน่า ไข่มดแดงนี่ก็แซ่บอีหลีอีหลอกระด้อกระเดี้ย ( เราชอบเติมว่าง่อยเปลี้ยเสียขาเข้าไปด้วย ) เวลาเอามายำใส่น้ำปลามะนาวแล้วก็พริกคั่วป่น หรือเอามาทอดรวมกับไข่เป็นไข่เจียวไข่มดแดงก็ง่อยเปลี้ยเสียขาไม่แพ้กัน แต่พวกลาบเลือดลาบก้อยแล้วก็ปลาร้าเนี่ย เราขอบาย เห็นชาวบ้านพกห่อมาซื้อของที่ร้าน แล้วควักข้าวเหนียวออกมาจ้ำกินกับลาบเลือดแดงฉานกันหน้าตาเฉยแล้ว ยังสยองสยิวกิ้วมาถึงทุกวันนี้เลยเชียว
พูดถึงปลาร้าแล้วก็หยองหยิวพอ ๆ กันนะ เวลาที่ลูกค้ามาซื้อที่ร้านเรา เค้าจะเปิดฝาไหแล้วเอาช้อนตักขึ้นมาชิมน้ำเนื้อกันสด ๆต่อหน้าต่อตา แบบภาพสามมิติแถมด้วยกลิ่นเฉพาะตัวแบบนั้น เราเนี่ยต่อให้ใครเอาปืนจ่อหัวเมียแล้วบังคับให้กินปลาร้าสักต่อนนึงยังต้องยอมตัดใจประกาศหาเมียใหม่ทางเฟสบุ๊คเลยสิเอ้า ไม่เชื่อลองดู๊ วันนึง สาย ๆ ตอนที่ร้านคนแน่น ๆชุลมุนชุลเก โจรในคราบผ้าถุงลายดอกยอดนิยมก็คว้าไหปลาร้าแจ้นออกไปจากร้าน แม่กับเรารีบตามไปในบัดดล ไปทันกันที่ร้านถัดไปราวห้าห้อง นางโจรปฏิเสธเสียงแข็ง หลักฐานก็ไม่มีให้เห็นซะด้วย แต่แม่เราน่ะยิ่งกว่าโคแนนซะอีก แม่บอกให้เธอเลิกผ้าถุงขึ้นมาให้ดู เลยจับได้คาหนังคาไหในนาทีนั้นเลย
เรื่องขโมยขโจรฉกชิงโชะเชะนี่มีอยู่ตลอดทีเดียว วันนึง ลูกค้ามาเลือกซื้อกระเป๋า พอจ่ายเงินเสร็จ อาศัยทีเผลอ แอบเปลี่ยนเอาใบราคาแพงกว่าไปซะนี่ เราเดินหาทั่วตลาดก็ไม่เห็นแม้เงา สุดท้ายไม่รู้อะไรดลใจให้เราเดินไปด้านหลังร้านที่ทะลุออกถนสายคู่ขนาน พอเปิดประตูพลัวะออกไป เค้าถึงกับผงะหงายเงิบ แล้วยอมควักเงินส่วนต่างให้แต่โดยดี และคงคิดในใจว่า " ฮ่วย เป็นหยัง มั้นคื้อฮู่วะวาเฮ้าสิยางมาหม่องนี่" เราก็ได้แต่ตอบเค้าไปในใจว่า " หึหุหุ มึ้งบ่อฮู้วากรูน่ะมีของนาเฟ้ยยย กรูมีประตูสองท้างว่ะ เหอเหอ"
มิเห็นโลงศพ เอ๊ย น้ำขึ้น เอ๊ยไม่ใช่สิ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา อีกสองสามวันก็จะเปิดเทอมใหม่แล้ว ได้เวลาสลัดกลิ่นไคลบ้านนอก กลับไปชุบตัวบ้านในอีกครั้งครา ช็อตนั่งรถไฟก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ยวนใจไม่น้อยเลย เพราะเราจะหาอะไรมาเล่นได้ตลอด
บางครั้งก็เอาเชือกฟางผูกกับถุงพลาสติกแล้วยื่นมือออกไปชักเล่นไปมานอกหน้าต่างตอนม้าเหล็กกำลังควบ หนุกหนานหนานหนุกทีเดียวเชียว บางทีก็เล่นทายกับพี่ ๆ ว่าสะพานเหล็กถัดไปจะมีเสาค้ำกี่ต้น สถานีถัดไปจะมีคนขึ้นลงกี่คน วิธีนี้ก็เป็นยาแก้เบื่อได้เหมือนกัน เพราะเราต้องใช้เวลาบนขบวนม้าเหล็กแต่ละเที่ยวกว่าสิบชั่วโมงเชียวแหละ
ขนาดนั่งรถไฟก็ยังหนีความฉ้อฉลของคนไม่พ้นอยู่ดี ครั้งนึง ตอนผ่านอยุธยามั้ง ทนเห็นซาลาเปาบนถาดพ่อค้าไม่ไหว เลยซื้อมากินซักหน่อย ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังความอร่อยระดับเชลล์ชวนชิม แค่เชลล์ไม่ชวนปาทิ้งก็ดีพอแล้วอะ แต่มันยังแย่ได้กว่านั้นอีก เพราะอุแม่เจ้า ซาลาเปาที่นี่หาใช่ไส้หมูธรรมดา ๆ ไม่ แต่มันเป็นหมูตัวที่ฝึกวิชาโง้วเล็กเต็งขั้นสูงสุด คือวิชาล่องหนหายตัว ใช่แล้ว มันคือซาลาเปาไส้หมูล่องหน บิกินดูอันนึงก็แล้ว สองอันก็แล้ว เค้าคงลืมเป็นบางลูกล่ะมั้ง พอลูกที่สามเท่านั้นแหละ ชัดเลย ไอ้ครั้นจะดึงหวูดฉุกเฉินเพื่อหยุดรถไฟ แล้วเอามีดจ่อคอให้ พขรฟ.ใส่เกียร์ถอยกลับไปทวงหมูมาแกล้มกับแป้งของมัน ก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจอยู่ เลยได้แต่พยายามนึกหน้าคนขายทดไว้ในใจ คราวหน้าผ่านมาอีก พ่อจะเอาเงินปลอมมาหลอกเหมาซาลาเปาไส้หมูฝึกวิชาของมันให้เกลี้ยงถาดทีเดียว แค้นนี้สิบปีชำระก็ยังไม่สาย ฮึ่มแฮ่
ส่วนใหญ่เราจะกลับมากรุงเทพฯ ก่อนเปิดเทอมใหม่ราวสามสี่วันเพื่อเตรียมตัวรับเปิดเทอม และหนึ่งในการเตรียมที่จะขาดเสียมิได้คือการดับไฟที่ลนก้นอยู่ เพราะว่าครูโรคจิตสมัยนั้นจะให้การบ้านเป็นกระสอบไว้ให้ทำช่วงปิดเทอม เพราะกลัวเด็ก ๆ อย่างเราจะเพลิดเพลินเจริญใจมากไปหรือไงนี่แหละ สุดท้ายช่วงสองสามวันก่อนเปิดเทอมจึงเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิต เพราะต้องนั่งปั่นการบ้านทั้งคัดลายมือไทยจีนและอะไรอื่น ๆอีกร้อยแปด ชนิดแทบจะไม่มีเวลาเอื้อมมือไปตบยุงที่กำลังกำซาบเลือดเราอยู่นั่นเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ครูยังโรคจิตเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าเนาะ
ช่วงที่เราเรียน ป.4 นี่เองที่บ้านเมืองเราเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เรียกกันว่า ตุลาวิปโยค เป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นกระทั่งเด็กอนุบาล รวมแล้วนับล้านคนออกมาชุมนุมบริเวณถนราชดำเนินเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก รัฐบาลเผด็จการทหารในยุคนั้น จบลงด้วยชัยชนะของภาคประชาชนที่มีบางคนต้องเสียเลือดเนื้อและกระทั่งชีวิตไปมิใช่น้อย หลังจากวันนั้น ดอกไม้ประชาธิปไตยก็เบ่งบานไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่เว้นกระทั่งในโรงเรียนระดับประถมของเราด้วย
จึงมีเช้าวันนึง ขณะที่นักเรียนทุกคนตั้งแถวเคารพธงชาติที่ลานใต้อาคารโบสถ์ เด็กนักเรียนชายคนนึงก็สวมวิญญาณป๋าเสก ( เสกสรรค์ ประเสริฐกุล )ขึ้นไปพูดปลุกระดมผ่านไมค์ให้พวกเราประท้วงไม่ขึ้นห้องเรียนในวันนั้น ด้วยเหตุที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนไม่มียารักษาอาการป่วยไข้ใดใดเลย นอกจากยาหม่องตราถ้วยทองแค่ตลับเดียวเท่านั้น ด้วยความเป็นเด็ก พวกเราจึงรู้สึกคึกคักครึกครื้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไปด้วย เลยเกิดเสียงตะโกนประท้วงอึงมี่ไปหมด ประมาณว่า " เราไม่เอายาหม่อง เราจะไม่ขึ้นเรียน" ร้อนถึงอึ่งซินแซ ( มาจากอึ๊ง แปลว่าเหลืองนะ ไม่ใช่อึ่งอ่าง ถึงหุ่นของเธอจะชี้นำไปทางนั้นก็เถอะ )เจ้าเดิมต้องมาแย่งไมค์ แล้วก็ทั้งปลอบทั้งขู่พวกเราที่ไม่ได้แข็งข้ออะไรมากมายอยู่แล้ว
เรื่องราววันนั้นจึงเป็นเพียงกระแสลมผิวผ่านเพื่อเรียกรอยยิ้มทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปแค่นั้น ส่วนเด็กชายคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตยคนสำคัญหรือไม่ เค้าจะสวมเสื้อสีอะไร เค้าจะรับเงินใครบ้างไหม หรือว่าเค้าอาจจะเกำลังวางแผนย่องเบาบ้านใครอยู่รึเปล่า อันนี้เราเองก็จนปัญญา และที่จริงก็อยากรู้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย