คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ทำไมดนตรีเป็นบาป ในศาสนาอิสลาม
บันเทิง ดนตรี , ความรัญจวนใจจากซาตานจริงหรือ ?
เวลาที่คนเรารู้สึก เช่น ความชอบ ความสุนทรีย์ หรือแม้แต่ความสุขเนี่ย , มันไม่ได้แปลว่าสิ่งเหล่านั้นคือความถูกต้อง ... บางคนบอกว่า ความถูกต้อง คือการที่เราทำอะไรก็ได้ โดยไม่ทำให้ใครเดือนร้อน , แต่ผมว่าเราไม่รู้จริงๆหรอก ว่าผลสืบเนื่องนั้นมันลึก และเป็นวงกว้างแค่ไหน และครั้งนี้ผมกำลังจะพูดเรื่อง ดนตรี ว่ามันเป็นศาสตร์ของซาตาน จริงหรือไม่ ?
++
ทุกคนรู้ ว่าผมชอบดนตรี ชอบฟังเพลง และตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่คนสนับสนุน ทั้งสังคมไทยหรือสังคมโลก ล้วนสนับสนุนดนตรีหมด .... แต่ในวงการศาสนา เช่น พระ นักบวช เนี่ยถูกห้ามเรื่องดนตรี และผมก็ศึกษาอิสลามจนรู้ว่า เฮ้ย ดนตรีเนี่ยถือเป็นบาปด้วยหรือ ? , ผมช็อคมาก แต่ก็ต้องรับฟังไว้ ส่วนจะรับหลักการ และเอาไปปฏิบัติหรือไม่ ยังเป็นขั้นตอนต่อไป
++
พระเจ้าพูดถึงสิ่งไร้สาระในกรุอาน ที่มนุษย์จะยอมรับกับมัน หลงไปกับมัน ...อันได้แก่ การร้องรำทำเพลง , จริงๆในสังคมทั่วไป ก็รู้ว่าการร้องรำทำเพลง มันไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่มันช่วยผ่อนคลาย สร้างความสุข คลายเครียดได้ ... มันเป็นจริง อย่างไรก็ตาม(ถ้าเชื่อเนี่ยนะ) พระเจ้าไม่คิดเช่นนั้น , เพราะมันคือกลลวงอันหนึ่งของซาตาน
...
มุสลิมได้กล่าวตำหนิต่อคริสเตียนในหลายๆเรื่อง โดยเรื่องสำคัญที่สุดคือการบิดเบือนคำสอนของเยซู หรือนบีอีซา ... อิสลามอ้างว่าสาวกรุ่นหลังมีการผสมผสาน ดัดแปลง เสริมแต่ง บิดเบือนคัมภีร์ และไม่เคร่งครัดในคำสอน / อย่างไรก็ตามในอิสลามไม่ห้ามเรื่องบันเทิงเริงรมย์หมดซะทีเดียว แต่สิ่งใดที่ถูกห้าม เราก็มีสิ่งอื่นมาแทนที่ได้ อย่างดนตรีเนี่ย มีของแทนที่ตั้งเยอะ เช่น มีเซ็กซ์กับภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว การเดินทางท่องเที่ยว อ่านหนังสือ คุยเรื่องดีๆกับคนบางคน เป็นต้น
++
วิชาประวัติศาสตร์ดนตรี กล่าวว่า คริสเตียนคือผู้บุกเบิกวงการดนตรีของโลก โดยเริ่มต้นจาก"เพลงสวด" ที่เอาไว้สวดในโบสถ์เพื่อพระเจ้านี่แหละ , อิสลามถือว่า นั่นคือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเป็นการติดกับของซาตานมาใช้กับโลก ... เพราะดนตรีนะมันเป็นสิ่งที่ใช้บีบคั้นหัวใจ มันกล่อมหัวใจ มันปลุกเร้า มันกระตุ้น มันทำให้ซาบซึ้ง ด้วยกับอารมณ์--- ไม่ใช่ด้วยศรัทธาและเหตุผล นี่คือประการที่หนึ่ง
++
ผมครุ่นคิด และตั้งคำถามกับตัวเอง
ผมรับว่าใช่ ดนตรี มันทำแบบนั้นจริงๆ มันกล่อมเราให้ไม่อยู่กับความจริง , แต่ทว่า มันเลวร้ายจริงหรือ กับอีแค่เรื่องพรรณนั้น , ผมยอมรับว่าการใช้ดนตรีนั้น มีผลบิดเบือนต่อความจริงได้ ... เช่นการเอาดนตรีมาสนับสนุนผู้นำ สร้างควาซาบซึ้งเข้าไว้ ยิ่งใหญ่เข้าไว้ ทำให้คนหลง เพราะซึมซับ และเชื่อมโยงความไพเราะอลังการของดนตรี + ตัวผู้นำ อย่างฮิตเลอร์ สตาลิน ก็มีการใช้ดนตรีในการสนับสนุน หรือในเชิงชาตินิยม โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ... มันทำให้ฮึกเหิมปลุกใจ แต่ทำให้ขาดการใตร่ตรอง
....
รวมถึงเรื่องอย่าง ความรัก
คนเราคิดว่าการจีบกันด้วยเสียงเพลงเป็นเรื่องดี ... หลายคู่รักกันได้เพราะดนตรี อาจจะร้องเพง เต้นรำ ก็ตาม ... แต่มันจีรังจริงหรือ ถ้าเราฝากความรู้สึกไว้กับสิ่งเหล่านั้น , เพราะในชีวิตจริงระหว่างสามีภรรยา มันไม่ได้มีออเคสต้ามาบรรเลงในทุกๆโอกาส คุณต้องเข้าใจกันและกันด้วยแก่นแท้ของตัวคุณ มันถึงจะยั่งยืน และประเทศอย่างเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนาด้านบันเทิง-ดนตรีเป็นจุดขายของประเทศ ก็กลับมีอัตราการหย่าสูงขึ้นๆ ตอนผมไปเที่ยวเกาหลี ไกด์ที่เป็นคนเกาหลีเล่าให้ผมฟังว่า กว่าครึ่งของคนที่แต่งงานในเกาหลีจะหย่ากันใน 10 ปี รวมทั้งการฆ่าตัวตายสูงขึ้นจนมากเป็นอันดับที่ 3 ... , เพราะสื่อย่างดนตรีหรือเรื่องบันเทิง มันสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับความรักที่เหนือจริง มันสร้างความคาดหวัง เสน่หา รัญจวน .... ซาตานรู้จุดอ่อนมนุษย์ ว่าพ่ายแพ้ต่อการปรุงแต่งและความงามภายนอก มันไม่ได้มาในรูปของความหยาบหรอก เพราะมันฉลาดกว่านั้น
----
การตลาด มูลค่าเพิ่ม วัตถุนิยม
การร้องรำทำเพลง ถูกเอามาเป็นคุณค่า มูลค่าเพิ่ม และการกระตุ้นกิเลส , ด้วยการผสมลงไปในการขายสินค้าทุกๆชนิด ทุกๆรูปแบบ ... และผู้คนล้วนยอมจ่ายเพื่อมัน เพื่อซื้อความมั่นใจ เพื่อซื้อความมีคุณค่าจากภายนอก ในขณะที่หลงลืมผู้สร่งปัจจัยเช่น ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์ และแรงงาน กรรมกร ไปทุกวันๆ .... สังคมโลกถูกตรึงตราอยู่กับความสุขเช่นนั้น ความสูงส่งที่เขาสร้างขึ้น
.........
ไอดอล เสเพล ร็อกสตาร์ เซ็กซ์
ดนตรีนั้น มันเหมือนสิ่งที่มีแผนการ , มันเริ่มจากเพลงสวด แล้วเข้าไปสู่ความคับแค้นของทาสผิวดำ เกิดเป็นดนตรีร็อคที่เน้นอารมณ์รุนแรง ป็อบที่เน้นมายา ดิสโกเน้นจังหวะปลุกเร้า พังค์เน้นความแปลก ... และระหว่างทางมันทำให้เกิดกระแสมั่วเซ้กซ์ เสเพล เล่นยา และมันปลูกสิ่งนี้ในสังคมได้สำเร็จจริงๆ , คนเรา เมื่อชอบอะไรก็ยอมจะคล้อยตามสิ่งนั้น , ในวงการระดับโลก นักดนตรีระดับตำนานทั้งหลาย มีชีวิตเสเพล เล่นยา บ้าเซ็กซ์ ติดโรค มากขึ้นๆ ... สิ่งนี้ถูกทำให้คนยอมรับ และลามมาจนกลายเป็นความปกติ , มันดีจริงๆหรือ ? คนอย่างร็อกสตาร์ที่เสเพลๆ อาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตเขา แต่คนอีกมากที่คล้อยตามเขา ค่อยๆยอมรับการทำผิดบาปมากขึ้น
-----
การร้องรำ ทำเพลง เพื่อสังคม คำสอน
ทำไม่ต้องปลุกเร้าด้วยสิ่งเหล่านั้น , ถ้อยคำอย่างเดียวไม่พอที่จะพิจารณาหรอกหรือ... ในสารคดี การใช้ดนตรีประกอบนั้น มีผลในการเบี่ยงเบนความจริง เช่น ภาพการรบในสงครามโลก การที่เราดูและฟังดนตรีที่ปรุงแต่งเข้าไป มันจะกล่อมเกลาความคิดคุณ เช่นทหารกล้าหาญ ฆ่าคนได้เก่งดี โอ้ ดูแล้วคล้อยตาม เป็นต้น ... หรือหนังสะท้อนสังคมอย่างดอกส้มสีทอง มันเป็นไปได้มั้ย ที่อีกด้านหนึ่ง มันได้สร้างต้นแบบของการทำตามแบบนั้น ... เพราะมนุษย์นั้น ท้ายทีสุดจะยอมให้ตัวเองทำผิด และต่างก็คิดว่าจะเรียนรู้มัน และขอภัยวันหลัง แต่บ่อยครั้งมักจะสายเกินไป ,
บันเทิง ดนตรี , ความรัญจวนใจจากซาตานจริงหรือ ?
เวลาที่คนเรารู้สึก เช่น ความชอบ ความสุนทรีย์ หรือแม้แต่ความสุขเนี่ย , มันไม่ได้แปลว่าสิ่งเหล่านั้นคือความถูกต้อง ... บางคนบอกว่า ความถูกต้อง คือการที่เราทำอะไรก็ได้ โดยไม่ทำให้ใครเดือนร้อน , แต่ผมว่าเราไม่รู้จริงๆหรอก ว่าผลสืบเนื่องนั้นมันลึก และเป็นวงกว้างแค่ไหน และครั้งนี้ผมกำลังจะพูดเรื่อง ดนตรี ว่ามันเป็นศาสตร์ของซาตาน จริงหรือไม่ ?
++
ทุกคนรู้ ว่าผมชอบดนตรี ชอบฟังเพลง และตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่คนสนับสนุน ทั้งสังคมไทยหรือสังคมโลก ล้วนสนับสนุนดนตรีหมด .... แต่ในวงการศาสนา เช่น พระ นักบวช เนี่ยถูกห้ามเรื่องดนตรี และผมก็ศึกษาอิสลามจนรู้ว่า เฮ้ย ดนตรีเนี่ยถือเป็นบาปด้วยหรือ ? , ผมช็อคมาก แต่ก็ต้องรับฟังไว้ ส่วนจะรับหลักการ และเอาไปปฏิบัติหรือไม่ ยังเป็นขั้นตอนต่อไป
++
พระเจ้าพูดถึงสิ่งไร้สาระในกรุอาน ที่มนุษย์จะยอมรับกับมัน หลงไปกับมัน ...อันได้แก่ การร้องรำทำเพลง , จริงๆในสังคมทั่วไป ก็รู้ว่าการร้องรำทำเพลง มันไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่มันช่วยผ่อนคลาย สร้างความสุข คลายเครียดได้ ... มันเป็นจริง อย่างไรก็ตาม(ถ้าเชื่อเนี่ยนะ) พระเจ้าไม่คิดเช่นนั้น , เพราะมันคือกลลวงอันหนึ่งของซาตาน
...
มุสลิมได้กล่าวตำหนิต่อคริสเตียนในหลายๆเรื่อง โดยเรื่องสำคัญที่สุดคือการบิดเบือนคำสอนของเยซู หรือนบีอีซา ... อิสลามอ้างว่าสาวกรุ่นหลังมีการผสมผสาน ดัดแปลง เสริมแต่ง บิดเบือนคัมภีร์ และไม่เคร่งครัดในคำสอน / อย่างไรก็ตามในอิสลามไม่ห้ามเรื่องบันเทิงเริงรมย์หมดซะทีเดียว แต่สิ่งใดที่ถูกห้าม เราก็มีสิ่งอื่นมาแทนที่ได้ อย่างดนตรีเนี่ย มีของแทนที่ตั้งเยอะ เช่น มีเซ็กซ์กับภรรยาที่แต่งงานกันแล้ว การเดินทางท่องเที่ยว อ่านหนังสือ คุยเรื่องดีๆกับคนบางคน เป็นต้น
++
วิชาประวัติศาสตร์ดนตรี กล่าวว่า คริสเตียนคือผู้บุกเบิกวงการดนตรีของโลก โดยเริ่มต้นจาก"เพลงสวด" ที่เอาไว้สวดในโบสถ์เพื่อพระเจ้านี่แหละ , อิสลามถือว่า นั่นคือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเป็นการติดกับของซาตานมาใช้กับโลก ... เพราะดนตรีนะมันเป็นสิ่งที่ใช้บีบคั้นหัวใจ มันกล่อมหัวใจ มันปลุกเร้า มันกระตุ้น มันทำให้ซาบซึ้ง ด้วยกับอารมณ์--- ไม่ใช่ด้วยศรัทธาและเหตุผล นี่คือประการที่หนึ่ง
++
ผมครุ่นคิด และตั้งคำถามกับตัวเอง
ผมรับว่าใช่ ดนตรี มันทำแบบนั้นจริงๆ มันกล่อมเราให้ไม่อยู่กับความจริง , แต่ทว่า มันเลวร้ายจริงหรือ กับอีแค่เรื่องพรรณนั้น , ผมยอมรับว่าการใช้ดนตรีนั้น มีผลบิดเบือนต่อความจริงได้ ... เช่นการเอาดนตรีมาสนับสนุนผู้นำ สร้างควาซาบซึ้งเข้าไว้ ยิ่งใหญ่เข้าไว้ ทำให้คนหลง เพราะซึมซับ และเชื่อมโยงความไพเราะอลังการของดนตรี + ตัวผู้นำ อย่างฮิตเลอร์ สตาลิน ก็มีการใช้ดนตรีในการสนับสนุน หรือในเชิงชาตินิยม โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ... มันทำให้ฮึกเหิมปลุกใจ แต่ทำให้ขาดการใตร่ตรอง
....
รวมถึงเรื่องอย่าง ความรัก
คนเราคิดว่าการจีบกันด้วยเสียงเพลงเป็นเรื่องดี ... หลายคู่รักกันได้เพราะดนตรี อาจจะร้องเพง เต้นรำ ก็ตาม ... แต่มันจีรังจริงหรือ ถ้าเราฝากความรู้สึกไว้กับสิ่งเหล่านั้น , เพราะในชีวิตจริงระหว่างสามีภรรยา มันไม่ได้มีออเคสต้ามาบรรเลงในทุกๆโอกาส คุณต้องเข้าใจกันและกันด้วยแก่นแท้ของตัวคุณ มันถึงจะยั่งยืน และประเทศอย่างเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนาด้านบันเทิง-ดนตรีเป็นจุดขายของประเทศ ก็กลับมีอัตราการหย่าสูงขึ้นๆ ตอนผมไปเที่ยวเกาหลี ไกด์ที่เป็นคนเกาหลีเล่าให้ผมฟังว่า กว่าครึ่งของคนที่แต่งงานในเกาหลีจะหย่ากันใน 10 ปี รวมทั้งการฆ่าตัวตายสูงขึ้นจนมากเป็นอันดับที่ 3 ... , เพราะสื่อย่างดนตรีหรือเรื่องบันเทิง มันสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับความรักที่เหนือจริง มันสร้างความคาดหวัง เสน่หา รัญจวน .... ซาตานรู้จุดอ่อนมนุษย์ ว่าพ่ายแพ้ต่อการปรุงแต่งและความงามภายนอก มันไม่ได้มาในรูปของความหยาบหรอก เพราะมันฉลาดกว่านั้น
----
การตลาด มูลค่าเพิ่ม วัตถุนิยม
การร้องรำทำเพลง ถูกเอามาเป็นคุณค่า มูลค่าเพิ่ม และการกระตุ้นกิเลส , ด้วยการผสมลงไปในการขายสินค้าทุกๆชนิด ทุกๆรูปแบบ ... และผู้คนล้วนยอมจ่ายเพื่อมัน เพื่อซื้อความมั่นใจ เพื่อซื้อความมีคุณค่าจากภายนอก ในขณะที่หลงลืมผู้สร่งปัจจัยเช่น ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์ และแรงงาน กรรมกร ไปทุกวันๆ .... สังคมโลกถูกตรึงตราอยู่กับความสุขเช่นนั้น ความสูงส่งที่เขาสร้างขึ้น
.........
ไอดอล เสเพล ร็อกสตาร์ เซ็กซ์
ดนตรีนั้น มันเหมือนสิ่งที่มีแผนการ , มันเริ่มจากเพลงสวด แล้วเข้าไปสู่ความคับแค้นของทาสผิวดำ เกิดเป็นดนตรีร็อคที่เน้นอารมณ์รุนแรง ป็อบที่เน้นมายา ดิสโกเน้นจังหวะปลุกเร้า พังค์เน้นความแปลก ... และระหว่างทางมันทำให้เกิดกระแสมั่วเซ้กซ์ เสเพล เล่นยา และมันปลูกสิ่งนี้ในสังคมได้สำเร็จจริงๆ , คนเรา เมื่อชอบอะไรก็ยอมจะคล้อยตามสิ่งนั้น , ในวงการระดับโลก นักดนตรีระดับตำนานทั้งหลาย มีชีวิตเสเพล เล่นยา บ้าเซ็กซ์ ติดโรค มากขึ้นๆ ... สิ่งนี้ถูกทำให้คนยอมรับ และลามมาจนกลายเป็นความปกติ , มันดีจริงๆหรือ ? คนอย่างร็อกสตาร์ที่เสเพลๆ อาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตเขา แต่คนอีกมากที่คล้อยตามเขา ค่อยๆยอมรับการทำผิดบาปมากขึ้น
-----
การร้องรำ ทำเพลง เพื่อสังคม คำสอน
ทำไม่ต้องปลุกเร้าด้วยสิ่งเหล่านั้น , ถ้อยคำอย่างเดียวไม่พอที่จะพิจารณาหรอกหรือ... ในสารคดี การใช้ดนตรีประกอบนั้น มีผลในการเบี่ยงเบนความจริง เช่น ภาพการรบในสงครามโลก การที่เราดูและฟังดนตรีที่ปรุงแต่งเข้าไป มันจะกล่อมเกลาความคิดคุณ เช่นทหารกล้าหาญ ฆ่าคนได้เก่งดี โอ้ ดูแล้วคล้อยตาม เป็นต้น ... หรือหนังสะท้อนสังคมอย่างดอกส้มสีทอง มันเป็นไปได้มั้ย ที่อีกด้านหนึ่ง มันได้สร้างต้นแบบของการทำตามแบบนั้น ... เพราะมนุษย์นั้น ท้ายทีสุดจะยอมให้ตัวเองทำผิด และต่างก็คิดว่าจะเรียนรู้มัน และขอภัยวันหลัง แต่บ่อยครั้งมักจะสายเกินไป ,
แสดงความคิดเห็น
เสียงเพลง ทำให้คนเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ สงสัย?
เสียงเพลงทำได้จริง หรือว่าเป็นสคริป
คิดกันยังไงครับ
คือทำให้ร้องไห้ อันนี้เห็นบ่อย เป็นบ่อย
แต่คลิปนี้ นาที 1.28 เป็นต้นไป
แบบสติกระเจิดกระเจิง (แบบน่ารักดูดีนะครับ)
ปล.ผมฟังแล้วน้ำตาซึมครับ แต่ไม่ขนาดนี้
ปล.ขอแทกหว้ากอนะครับ แบบอยากทราบ คคห.แบบวิทย์ๆด้วย