สวัสดีครับผม ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังจะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ วันนี้จะมาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยครับ หัวข้อในวันนี้คือเรียนอย่างไรให้มีความสุขครับ
ก่อนอื่นเลยอยากให้ทำความเข้าใจก่อนว่า ผมไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นนักวางแผน มีวินัยต่อตนเอง และมีความรับผิดชอบสูงครับ
สมการสำคัญในวันนี้ “เรียนดี = มีความรับผิดชอบ”
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ซึ่งไม่ได้เขียนคนเดียว มีการนำความเห็นของเพื่อนๆมารวมเอาไว้ในบางส่วนด้วยครับ กระทู้นี้ผมตั้งใจเขียนมาก และที่สำคัญคือยาวมากครับ พยายามใส่รายละเอียดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน กลุ่มเป้าหมายที่อยากให้อ่านกระทู้นี้คือ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้ปกครองครับ
อยากให้อ่านให้จบ ถ้าอ่านไม่ไหว Bookmark ไว้ก่อนก็ได้นะครับ “ขอร้อง” ผมพยายามเขียนให้น่าอ่านแถมยังมีแอบนอกเรื่องบ้างเพื่อเรียกร้องความสนใจด้วยนะครับ
เนื่องจากข้อความยาวเกินข้อจำกัดที่ Pantip ได้ตั้งไว้ขออนุญาตเขียนต่อในความเห็นที่ 1 และ 2
อย่างเพิ่งเบื่อกันนะครับ ผมพิมพ์ใส่ Text Editor ไว้ลงทีเดียว เพราะงั้นไม่มีอ่านแล้วอารมณ์ค้างแน่นอน อ่านจบรวดเดียวเลย ถ้าพร้อมแล้วเริ่มกันเลยครับ
บทที่ 0 แนวทาง
เรียนอย่างไรให้มีความสุข คำตอบของผมคือ “ได้ผลดี มีเวลาพักผ่อน”
คำว่า “ได้ผลดี” หมายถึง เรียนแล้วได้ความรู้ เข้าใจในเนื้อหา และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ คำถามถัดมาคือเราจะวัดระดับของ ได้ผลดี ที่ว่านี้อย่างไร คำตอบคือไม่มีวิธีการที่ดีที่สุดในการวัดผลครับ สำหรับประเทศไทยที่เห็นกล่าวถึงกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น เกรดเฉลี่ย หรือ Grade Point Average (GPA) นั่นเองครับ ซึ่งเป็นเลขทศนิยมมีค่าตั้งแต่ 0.00 ถึง 4.00 นั่นหมายความว่าเด็กที่เรียนได้ผลดีที่สุดคือได้เกรดเฉลี่ย 4.00
เมื่ออ่านถึงตรงนี้หลายคนคงจะรอติดตามดราม่ากันอย่างแน่นอน แต่ช้าก่อนที่ผมยกประเด็นเรื่อง GPA ขึ้นมาเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุดครับ สำหรับผมเองจะใช้การพูดคุยโดยตรงเพื่อซักถามในเรื่องต่างๆ วิธีนี้จะทำให้ผมทราบถึงทัศนคติ วุฒิภาวะทางอารมณ์ นิสัย และความสามารถอื่นๆ ที่คะแนนจากการทำแบบทดสอบไม่สามารถบอกได้ เพราะฉะนั้นเกรดเฉลี่ยและคะแนนจากแบบทดสอบต่างๆถือเป็นเพียงส่วนน้อยที่ใช้ในการมองคนสำหรับผมครับ แต่ตัวเลขเหล่านี้สามารถสะท้อนถึงความรับผิดชอบของบุคคลได้ ดังนั้นตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวแต่ก็ไม่สามารถชี้เป็นชี้ตายอะไรได้ และที่สำคัญคือคนเราพัฒนาได้ตลอดเวลา ดังน้ันตัวเลขเหล่านี้จะถูกลดความสำคัญไปตามกาลเวลาครับ ผมคิดว่าตัวเลขนี้ผ่านไป 3 ปีก็คงหมดความหมายแล้ว ดังนั้นจงหมั่นพัฒนาตนเองและอยู่กับปัจจุบันครับ
แต่อย่างไรก็ตามคนในสังคมยังให้ความสำคัญกับตัวเลขเหล่านี้อยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นการมีตัวเลขเหล่านี้ในระดับสูงๆก็มีข้อดีเหมือนกันจริงไหมครับ สำหรับในกระทู้นี้ขอให้ทุกคนมองว่าเกรดเฉลี่ยและคะแนนจากแบบทดสอบเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นเลขอาญาสิทธิ์ที่ใช้วัดระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้อย่างสมบูรณ์ไปก่อนละกันครับ เพราะไม่อยากให้มาเถียงเรื่องตัวเลขพวกนี้กัน มันไม่เกิดประโยชน์ครับ มองเป็นการเล่นเกมอย่างไรให้ได้คะแนนสูงๆก็ได้ครับ
คำว่า “มีเวลาพักผ่อน” คงไม่ต้องแปลอะไรไปมากกว่านี้ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ มีเวลานอน เวลากิน เวลาเที่ยว เวลาทำในสิ่งที่เราชอบ นั่นเองครับ
เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากันทุกคน การศึกษาเป็นสิ่งที่ดีเราควรจะให้เวลากับมัน แต่เราควรจะให้เวลาเท่าไหร่หล่ะถึงจะเหมาะสม ประมาณ 6 ชั่วโมงดีไหม หรือ 8 หรือ 10 ชั่วโมงดี ตรงนี้ผมอยากให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมายก่อนครับ เช่น ผมอยากได้เกรดเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 ดังนั้นเวลาไม่ใช่ปัญหา เพราะจะต้องใช้กี่ชั่วโมงก็ช่างขอแค่ให้ได้เกรดเฉลี่ย 3.50 ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็พอ และถ้าหากมีเวลาเหลือก็นำไปใช้พัฒนาตนเองในด้านอื่นๆตามที่เราชอบเช่น ดนตรี กีฬา หรือการทำอาหาร เป็นต้น
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือเวลาที่ใช้ไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวแต่วิธีการใช้เวลาอันมีค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่าเวลาครับ เราซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้ แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือ ถ้าเราอ่านได้เร็วขึ้น 2 เท่า เราก็จะใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งการที่จะอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นก็ต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิมากขึ้นเช่นเดียวกัน ต้องมีการฝึกฝนและทำอยู่เป็นกิจวัตร หากทำได้ก็จะสามารถมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นได้ครับ
บทที่ 1 ไม่เก่ง
ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมไม่ใช่เด็กเก่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นการสอบแข่งขัน การประกวด หรือการแข่งขันต่างๆ ผมไม่สามารถเอาชนะและก้าวข้ามผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆขึ้นไปยืนรับรางวัลด้านบนได้เลย
- ถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมสอบเข้า ป.1 โรงเรียนเซนต์คาเบรียลไม่ได้
- ไม่สามารถสอบเข้า ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
- ตกรอบคัดเลือกการสอบเข้า ม.4 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
- ตกรอบคัดเลือกการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สาขาฟิสิกส์
- และอื่นๆอีกมากมาย
ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้าน แต่ข้อดีของการเข้าร่วมคือผมจะได้เรียนรู้จุดอ่อนหรือสิ่งที่ขาดไปและนำมาฝึกฝนพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี
ผมอยากให้กำลังใจกับน้องๆทุกคนที่เข้าประกวดแข่งขันต่างๆ อย่าได้ท้อแท้หรือหมดกำลังใจ เพียงเพราะทำเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ได้รางวัล อยากให้ใช้การแข่งขันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองต่อไป ส่วนน้องๆที่ยังลังเลและกลัวที่จะแข่งขัน ผมอยากบอกว่าการคิดเช่นนี้เป็นการเสียทั้งเวลาและโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ คิดเพียงแค่ลุยเข้าไปอย่างสุดแรงก็พอ ทุกการแข่งขันมีแต่ได้ไม่มีเสีย ถ้าเราลุยเข้าไปเราจะต้องได้อะไรกลับมาอย่างแน่นอน ในทางกลับกันถ้าเราไม่ลุยเข้าไปเราก็จะไม่มีทางได้อะไรกลับมาเลย
ผมเชื่อว่าไม่มีใครเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด ผมยังไม่เคยเจอคนที่เกิดมาแล้วสามารถบวกเลขได้เลยทันที ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ ดังนั้นเราทุกคนที่อ่านกระทู้อยู่ตอนนี้และรู้ว่า 1+1=2 จงภูมิใจว่าเราเก่งกว่าทุกคนบนโลกที่เพิ่งเกิดมา แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดคือจะทำอย่างไรเพื่อรักษาความเก่งกาจนี้เอาไว้และพัฒนาให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปไม่ให้เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิดมาตามเราทัน
บทที่ 2 เรียนไม่เก่ง ≠ โง่
ผมเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ ปัจจัยสำคัญคือ เวลา และ วิธีการ
ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน การจัดสรรเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนจะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
วิธีการในการเรียนรู้มีมากมายหลากหลาย วิธีการที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อย่างมีความสุข เมื่อเราชอบในสิ่งๆหนึ่ง เราจะมีความอยากที่จะเรียนรู้ เราจะสามารถทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น และเราก็จะทำได้ดีอย่างคาดไม่ถึง
สำหรับน้องๆที่ค้นพบตัวเองเจอแล้ว รู้ว่าเราชอบอะไรและอยากทำอะไร พี่ขอแสดงความยินดีด้วย น้องสามารถทุ่มเทให้กับสิ่งที่น้องชอบได้ทันที ส่วนน้องที่ยังไม่เจอ พี่แนะนำว่าให้ลองทำหลายๆอย่าง ถ้าหากไม่เจอจริงๆแบบในกรณีของพี่ ให้เลือกสิ่งที่เกลียดน้อยที่สุดแทน
ผมเองไม่ชอบการเรียนทั้งในโรงเรียน สถาบันกวดวิชา และมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมชอบคือการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้จากการลงมือทำ ผมชอบการกินอาหารอร่อย นอนวันละ 10 ชั่วโมง ทำอาหารและขนมต่างๆ ปั่นจักรยาน เล่นกีฬา ดูการ์ตูน และอีกมากมาย สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมมีเวลาให้กับการเรียนตามหลักสูตรน้อยมาก เมื่อเวลามีน้อยวิธีการจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผมจะทุ่มสมาธิและตั้งใจทำให้เวลาอันน้อยนิดที่มีเกิดประโยชน์มากที่สุด
เรียนไม่เก่งไม่ใช่เพราะความโง่ แต่เป็นเพราะการจัดสรรเวลาและวิธีการใช้เวลานั้นไม่เหมาะสมกับตัวเรา
บทที่ 3 ประถมศึกษา
ผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีตั้งแต่ ป.1 - ป.6 ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กทั่วไปไม่มีการกดดันว่าจะต้องเรียนให้ได้ดีอะไรมากมาย ได้ทำกิจกรรมต่างๆทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา ออกไปเล่นในสวนสาธารณะ วิ่งเล่น จับแมวหนูปูเป็นเต่าปลาหมาตั๊กแตนแมลงปอและสารพัดสัตว์โลก ปลูกถั่วแตงโมพริกผักชีกล้วยหญ้าข้าวมะม่วงมะยมมะพร้าวและสารพัดพืชโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายและเปิดกว้างทางความคิด
ด้วยลักษณะของโรงเรียนที่ไม่ได้เน้นทางวิชาการมากนัก พูดง่ายๆคือปล่อยเกรด ทำให้ผลการเรียนของผมออกมาดีในระดับที่เด็กคนอื่นๆก็ทำได้เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน ความเห็นส่วนตัวการปล่อยเกรดในระดับประถมศึกษานั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาเร็วมาก และเด็กแต่ละคนก็มีพัฒนาที่แตกต่างกันออกไป หลักสูตรควรเปิดกว้างและครอบคลุมให้เด็กได้มีพัฒนาการรอบด้าน
ในช่วงนี้เด็กควรได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ มีการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เป็นช่วงที่เด็กควรได้ออกไปวิ่งเล่น สัมผัสกับธรรมชาติ มากกว่าที่จะถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่ควรเน้นหนักไปที่เรื่องวิชาการมากจนเกินไป ไม่ควรนำเรื่องเกรดและผลการเรียนมากดดันเด็ก ควรให้ความสำคัญกับการสร้างทัศนคติและนิสัยที่ดีรวมไปถึงสมาธิ ตอนเด็กผมสมาธิสั้นมากจนได้เรียนดนตรีไทยและอยู่ในวงดนตรีของโรงเรียนทำให้ต้องซ้อมอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน ถือเป็นการฝึกสมาธิที่ดีเยี่ยม เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะต้องคอยดูแลและเลือกวิธีการที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน
บทที่ 4 มัธยมศึกษาตอนต้น
ช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นผมเรียนที่เดิม ในช่วงนี้ได้เรียนวิชาการมากขึ้นกิจกรรมต่างๆน้อยลง แต่ก็ยังคงทำกิจกรรมต่างๆอยู่อย่างต่อเนื่อง มีการแข่งขันกันด้านการเรียนมากขึ้น การเรียนแบบแข่งขันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีที่จะกระตุ้นให้เด็กพยายามด้วยตนเอง แต่ต้องคอยระมัดระวังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เกรดที่ดีไม่สามารถได้มาง่ายเหมือนสมัยประถม
ผมเป็นเด็กที่ชอบการนอนเป็นชีวิตจิตใจ เวลา 2 ทุ่มก็หัวถึงหมอนแล้ว นอนวันละ 10 ชั่วโมง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการหลับในห้องเรียน สามารถเรียนในห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังผลการเรียนที่ดี
ผมมีเวลาช่วงเย็นหลังเลิกเรียนน้อยมาก เนื่องจากต้องซ้อมดนตรีไทย มีเวลาทบทวนบทเรียนน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงต่อวันซึ่งส่วนมากไม่ได้ทบทวนเลยเพราะแค่ทำการบ้านให้เสร็จก็ถึงเวลานอนเสียแล้ว ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เป็นเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมกับครอบครัว มีทบทวนบทเรียนบ้างแต่น้อยมาก สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ ผมทำการบ้านครบ ทำงานทุกอย่างเสร็จส่งตรงเวลาทุกครั้ง การเตรียมตัวสอบกลางภาคและปลายภาคก็เหมือนเด็กทั่วไป คืออ่านทบทวนไม่เกิน 1 สัปดาห์ก่อนสอบ ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี อยู่ใน 20% แรกของชั้น
จุดสำคัญคือช่วงปลาย ม.3 เพื่อนๆหลายคนเตรียมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ผมเองก็มีการเตรียมตัวเช่นเดียวกัน แต่ผลสุดท้ายคือสอบไม่ติดทั้งสองที่ ช่วงนั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด เพื่อนสนิทที่ผมนับถือเป็นคู่แข่งก็ต่างสอบได้ ส่วนผมก็เรียนต่ออยู่ที่เดิม การสอบในครั้งนั้นทำให้รู้ตัวเลยว่าผมไม่เก่ง ยังพยายามไม่เพียงพอ มีคนอื่นๆที่เก่งกว่าอยู่อีกมาก
ในช่วงมัธยมต้นเด็กจะได้เรียนวิชาการมากขึ้นแต่ต้องไม่หนักจนเกินไป ถึงแม้ว่าการแข่งขันสอบเข้ามัธยมปลายโรงเรียนชั้นนำจะดุเดือดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ช่วงนี้เด็กจะเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าบังคับเด็กมากจนเกินไป ควรสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านที่ลูกชอบ
แบ่งปันประสบการณ์ เรียนอย่างไรให้มีความสุขและได้ผลดี
ก่อนอื่นเลยอยากให้ทำความเข้าใจก่อนว่า ผมไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นนักวางแผน มีวินัยต่อตนเอง และมีความรับผิดชอบสูงครับ
สมการสำคัญในวันนี้ “เรียนดี = มีความรับผิดชอบ”
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ซึ่งไม่ได้เขียนคนเดียว มีการนำความเห็นของเพื่อนๆมารวมเอาไว้ในบางส่วนด้วยครับ กระทู้นี้ผมตั้งใจเขียนมาก และที่สำคัญคือยาวมากครับ พยายามใส่รายละเอียดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน กลุ่มเป้าหมายที่อยากให้อ่านกระทู้นี้คือ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้ปกครองครับ
อยากให้อ่านให้จบ ถ้าอ่านไม่ไหว Bookmark ไว้ก่อนก็ได้นะครับ “ขอร้อง” ผมพยายามเขียนให้น่าอ่านแถมยังมีแอบนอกเรื่องบ้างเพื่อเรียกร้องความสนใจด้วยนะครับ
เนื่องจากข้อความยาวเกินข้อจำกัดที่ Pantip ได้ตั้งไว้ขออนุญาตเขียนต่อในความเห็นที่ 1 และ 2
อย่างเพิ่งเบื่อกันนะครับ ผมพิมพ์ใส่ Text Editor ไว้ลงทีเดียว เพราะงั้นไม่มีอ่านแล้วอารมณ์ค้างแน่นอน อ่านจบรวดเดียวเลย ถ้าพร้อมแล้วเริ่มกันเลยครับ
บทที่ 0 แนวทาง
เรียนอย่างไรให้มีความสุข คำตอบของผมคือ “ได้ผลดี มีเวลาพักผ่อน”
คำว่า “ได้ผลดี” หมายถึง เรียนแล้วได้ความรู้ เข้าใจในเนื้อหา และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ คำถามถัดมาคือเราจะวัดระดับของ ได้ผลดี ที่ว่านี้อย่างไร คำตอบคือไม่มีวิธีการที่ดีที่สุดในการวัดผลครับ สำหรับประเทศไทยที่เห็นกล่าวถึงกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น เกรดเฉลี่ย หรือ Grade Point Average (GPA) นั่นเองครับ ซึ่งเป็นเลขทศนิยมมีค่าตั้งแต่ 0.00 ถึง 4.00 นั่นหมายความว่าเด็กที่เรียนได้ผลดีที่สุดคือได้เกรดเฉลี่ย 4.00
เมื่ออ่านถึงตรงนี้หลายคนคงจะรอติดตามดราม่ากันอย่างแน่นอน แต่ช้าก่อนที่ผมยกประเด็นเรื่อง GPA ขึ้นมาเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุดครับ สำหรับผมเองจะใช้การพูดคุยโดยตรงเพื่อซักถามในเรื่องต่างๆ วิธีนี้จะทำให้ผมทราบถึงทัศนคติ วุฒิภาวะทางอารมณ์ นิสัย และความสามารถอื่นๆ ที่คะแนนจากการทำแบบทดสอบไม่สามารถบอกได้ เพราะฉะนั้นเกรดเฉลี่ยและคะแนนจากแบบทดสอบต่างๆถือเป็นเพียงส่วนน้อยที่ใช้ในการมองคนสำหรับผมครับ แต่ตัวเลขเหล่านี้สามารถสะท้อนถึงความรับผิดชอบของบุคคลได้ ดังนั้นตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวแต่ก็ไม่สามารถชี้เป็นชี้ตายอะไรได้ และที่สำคัญคือคนเราพัฒนาได้ตลอดเวลา ดังน้ันตัวเลขเหล่านี้จะถูกลดความสำคัญไปตามกาลเวลาครับ ผมคิดว่าตัวเลขนี้ผ่านไป 3 ปีก็คงหมดความหมายแล้ว ดังนั้นจงหมั่นพัฒนาตนเองและอยู่กับปัจจุบันครับ
แต่อย่างไรก็ตามคนในสังคมยังให้ความสำคัญกับตัวเลขเหล่านี้อยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นการมีตัวเลขเหล่านี้ในระดับสูงๆก็มีข้อดีเหมือนกันจริงไหมครับ สำหรับในกระทู้นี้ขอให้ทุกคนมองว่าเกรดเฉลี่ยและคะแนนจากแบบทดสอบเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นเลขอาญาสิทธิ์ที่ใช้วัดระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้อย่างสมบูรณ์ไปก่อนละกันครับ เพราะไม่อยากให้มาเถียงเรื่องตัวเลขพวกนี้กัน มันไม่เกิดประโยชน์ครับ มองเป็นการเล่นเกมอย่างไรให้ได้คะแนนสูงๆก็ได้ครับ
คำว่า “มีเวลาพักผ่อน” คงไม่ต้องแปลอะไรไปมากกว่านี้ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ มีเวลานอน เวลากิน เวลาเที่ยว เวลาทำในสิ่งที่เราชอบ นั่นเองครับ
เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากันทุกคน การศึกษาเป็นสิ่งที่ดีเราควรจะให้เวลากับมัน แต่เราควรจะให้เวลาเท่าไหร่หล่ะถึงจะเหมาะสม ประมาณ 6 ชั่วโมงดีไหม หรือ 8 หรือ 10 ชั่วโมงดี ตรงนี้ผมอยากให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมายก่อนครับ เช่น ผมอยากได้เกรดเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 ดังนั้นเวลาไม่ใช่ปัญหา เพราะจะต้องใช้กี่ชั่วโมงก็ช่างขอแค่ให้ได้เกรดเฉลี่ย 3.50 ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็พอ และถ้าหากมีเวลาเหลือก็นำไปใช้พัฒนาตนเองในด้านอื่นๆตามที่เราชอบเช่น ดนตรี กีฬา หรือการทำอาหาร เป็นต้น
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือเวลาที่ใช้ไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวแต่วิธีการใช้เวลาอันมีค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่าเวลาครับ เราซื้อเวลาเพิ่มไม่ได้ แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือ ถ้าเราอ่านได้เร็วขึ้น 2 เท่า เราก็จะใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งการที่จะอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นก็ต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิมากขึ้นเช่นเดียวกัน ต้องมีการฝึกฝนและทำอยู่เป็นกิจวัตร หากทำได้ก็จะสามารถมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นได้ครับ
บทที่ 1 ไม่เก่ง
ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมไม่ใช่เด็กเก่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นการสอบแข่งขัน การประกวด หรือการแข่งขันต่างๆ ผมไม่สามารถเอาชนะและก้าวข้ามผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆขึ้นไปยืนรับรางวัลด้านบนได้เลย
- ถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมสอบเข้า ป.1 โรงเรียนเซนต์คาเบรียลไม่ได้
- ไม่สามารถสอบเข้า ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
- ตกรอบคัดเลือกการสอบเข้า ม.4 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
- ตกรอบคัดเลือกการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สาขาฟิสิกส์
- และอื่นๆอีกมากมาย
ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้าน แต่ข้อดีของการเข้าร่วมคือผมจะได้เรียนรู้จุดอ่อนหรือสิ่งที่ขาดไปและนำมาฝึกฝนพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี
ผมอยากให้กำลังใจกับน้องๆทุกคนที่เข้าประกวดแข่งขันต่างๆ อย่าได้ท้อแท้หรือหมดกำลังใจ เพียงเพราะทำเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ได้รางวัล อยากให้ใช้การแข่งขันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองต่อไป ส่วนน้องๆที่ยังลังเลและกลัวที่จะแข่งขัน ผมอยากบอกว่าการคิดเช่นนี้เป็นการเสียทั้งเวลาและโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ คิดเพียงแค่ลุยเข้าไปอย่างสุดแรงก็พอ ทุกการแข่งขันมีแต่ได้ไม่มีเสีย ถ้าเราลุยเข้าไปเราจะต้องได้อะไรกลับมาอย่างแน่นอน ในทางกลับกันถ้าเราไม่ลุยเข้าไปเราก็จะไม่มีทางได้อะไรกลับมาเลย
ผมเชื่อว่าไม่มีใครเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด ผมยังไม่เคยเจอคนที่เกิดมาแล้วสามารถบวกเลขได้เลยทันที ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ ดังนั้นเราทุกคนที่อ่านกระทู้อยู่ตอนนี้และรู้ว่า 1+1=2 จงภูมิใจว่าเราเก่งกว่าทุกคนบนโลกที่เพิ่งเกิดมา แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดคือจะทำอย่างไรเพื่อรักษาความเก่งกาจนี้เอาไว้และพัฒนาให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปไม่ให้เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิดมาตามเราทัน
บทที่ 2 เรียนไม่เก่ง ≠ โง่
ผมเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ ปัจจัยสำคัญคือ เวลา และ วิธีการ
ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน การจัดสรรเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนจะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
วิธีการในการเรียนรู้มีมากมายหลากหลาย วิธีการที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อย่างมีความสุข เมื่อเราชอบในสิ่งๆหนึ่ง เราจะมีความอยากที่จะเรียนรู้ เราจะสามารถทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น และเราก็จะทำได้ดีอย่างคาดไม่ถึง
สำหรับน้องๆที่ค้นพบตัวเองเจอแล้ว รู้ว่าเราชอบอะไรและอยากทำอะไร พี่ขอแสดงความยินดีด้วย น้องสามารถทุ่มเทให้กับสิ่งที่น้องชอบได้ทันที ส่วนน้องที่ยังไม่เจอ พี่แนะนำว่าให้ลองทำหลายๆอย่าง ถ้าหากไม่เจอจริงๆแบบในกรณีของพี่ ให้เลือกสิ่งที่เกลียดน้อยที่สุดแทน
ผมเองไม่ชอบการเรียนทั้งในโรงเรียน สถาบันกวดวิชา และมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมชอบคือการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้จากการลงมือทำ ผมชอบการกินอาหารอร่อย นอนวันละ 10 ชั่วโมง ทำอาหารและขนมต่างๆ ปั่นจักรยาน เล่นกีฬา ดูการ์ตูน และอีกมากมาย สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมมีเวลาให้กับการเรียนตามหลักสูตรน้อยมาก เมื่อเวลามีน้อยวิธีการจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผมจะทุ่มสมาธิและตั้งใจทำให้เวลาอันน้อยนิดที่มีเกิดประโยชน์มากที่สุด
เรียนไม่เก่งไม่ใช่เพราะความโง่ แต่เป็นเพราะการจัดสรรเวลาและวิธีการใช้เวลานั้นไม่เหมาะสมกับตัวเรา
บทที่ 3 ประถมศึกษา
ผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีตั้งแต่ ป.1 - ป.6 ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กทั่วไปไม่มีการกดดันว่าจะต้องเรียนให้ได้ดีอะไรมากมาย ได้ทำกิจกรรมต่างๆทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา ออกไปเล่นในสวนสาธารณะ วิ่งเล่น จับแมวหนูปูเป็นเต่าปลาหมาตั๊กแตนแมลงปอและสารพัดสัตว์โลก ปลูกถั่วแตงโมพริกผักชีกล้วยหญ้าข้าวมะม่วงมะยมมะพร้าวและสารพัดพืชโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายและเปิดกว้างทางความคิด
ด้วยลักษณะของโรงเรียนที่ไม่ได้เน้นทางวิชาการมากนัก พูดง่ายๆคือปล่อยเกรด ทำให้ผลการเรียนของผมออกมาดีในระดับที่เด็กคนอื่นๆก็ทำได้เป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกัน ความเห็นส่วนตัวการปล่อยเกรดในระดับประถมศึกษานั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาเร็วมาก และเด็กแต่ละคนก็มีพัฒนาที่แตกต่างกันออกไป หลักสูตรควรเปิดกว้างและครอบคลุมให้เด็กได้มีพัฒนาการรอบด้าน
ในช่วงนี้เด็กควรได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ มีการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เป็นช่วงที่เด็กควรได้ออกไปวิ่งเล่น สัมผัสกับธรรมชาติ มากกว่าที่จะถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่ควรเน้นหนักไปที่เรื่องวิชาการมากจนเกินไป ไม่ควรนำเรื่องเกรดและผลการเรียนมากดดันเด็ก ควรให้ความสำคัญกับการสร้างทัศนคติและนิสัยที่ดีรวมไปถึงสมาธิ ตอนเด็กผมสมาธิสั้นมากจนได้เรียนดนตรีไทยและอยู่ในวงดนตรีของโรงเรียนทำให้ต้องซ้อมอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน ถือเป็นการฝึกสมาธิที่ดีเยี่ยม เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะต้องคอยดูแลและเลือกวิธีการที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน
บทที่ 4 มัธยมศึกษาตอนต้น
ช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นผมเรียนที่เดิม ในช่วงนี้ได้เรียนวิชาการมากขึ้นกิจกรรมต่างๆน้อยลง แต่ก็ยังคงทำกิจกรรมต่างๆอยู่อย่างต่อเนื่อง มีการแข่งขันกันด้านการเรียนมากขึ้น การเรียนแบบแข่งขันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีที่จะกระตุ้นให้เด็กพยายามด้วยตนเอง แต่ต้องคอยระมัดระวังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เกรดที่ดีไม่สามารถได้มาง่ายเหมือนสมัยประถม
ผมเป็นเด็กที่ชอบการนอนเป็นชีวิตจิตใจ เวลา 2 ทุ่มก็หัวถึงหมอนแล้ว นอนวันละ 10 ชั่วโมง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการหลับในห้องเรียน สามารถเรียนในห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเชื่อว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังผลการเรียนที่ดี
ผมมีเวลาช่วงเย็นหลังเลิกเรียนน้อยมาก เนื่องจากต้องซ้อมดนตรีไทย มีเวลาทบทวนบทเรียนน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงต่อวันซึ่งส่วนมากไม่ได้ทบทวนเลยเพราะแค่ทำการบ้านให้เสร็จก็ถึงเวลานอนเสียแล้ว ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เป็นเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมกับครอบครัว มีทบทวนบทเรียนบ้างแต่น้อยมาก สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ ผมทำการบ้านครบ ทำงานทุกอย่างเสร็จส่งตรงเวลาทุกครั้ง การเตรียมตัวสอบกลางภาคและปลายภาคก็เหมือนเด็กทั่วไป คืออ่านทบทวนไม่เกิน 1 สัปดาห์ก่อนสอบ ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี อยู่ใน 20% แรกของชั้น
จุดสำคัญคือช่วงปลาย ม.3 เพื่อนๆหลายคนเตรียมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ผมเองก็มีการเตรียมตัวเช่นเดียวกัน แต่ผลสุดท้ายคือสอบไม่ติดทั้งสองที่ ช่วงนั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด เพื่อนสนิทที่ผมนับถือเป็นคู่แข่งก็ต่างสอบได้ ส่วนผมก็เรียนต่ออยู่ที่เดิม การสอบในครั้งนั้นทำให้รู้ตัวเลยว่าผมไม่เก่ง ยังพยายามไม่เพียงพอ มีคนอื่นๆที่เก่งกว่าอยู่อีกมาก
ในช่วงมัธยมต้นเด็กจะได้เรียนวิชาการมากขึ้นแต่ต้องไม่หนักจนเกินไป ถึงแม้ว่าการแข่งขันสอบเข้ามัธยมปลายโรงเรียนชั้นนำจะดุเดือดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ช่วงนี้เด็กจะเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าบังคับเด็กมากจนเกินไป ควรสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านที่ลูกชอบ