อาการของ Facial Nerve Paralysis (อัมพาตใบหน้า ครึ่งซีก) ในสุนัขกับการรักษา

ฝากเรื่องราวของน้องหมูหยองเป็นวิทยาทานให้กับคนรักสุนัขนะคะ กับอาการของ Facial Nerve Paralysis (อัมพาตใบหน้า ครึ่งซีก) ที่คุณหมอหลายๆท่านต่างบอกว่าโอกาสหายเป็นไปได้น้อยมาก หรือไม่หายเลย ณ วันนี้น้องหมูหยองดีขึ้นมากและดีขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม

อาการ
เรื่องราวนี้เป็นอาการป่วยของ ปอมเมอเรเนียนหมูยอง สุนัข Poodle Toy เพศเมีย หนักประมาณ 4 กิโลกรัม อายุ 6 ปี
เริ่มจากวันที่ 27 มี.ค. 2558 หมูหยองได้รับการฉีดยากันพยาธิหนอนหัวใจ (Ivermectin) ที่เจ้าของสุนัขหลายๆท่านรู้จักกันดีนะคะ  ซึ่งฉีดเรื่อยมาตั้งแต่อายุ 2 ปี จนกระทั่งหลังจากฉีดยาดังกล่าว
28 มี.ค. 2558 เจ้าของเริ่มสังเกตได้ว่าหมูหยองมีอาการน้ำตาไหลมากข้างขวา  ซึ่งเข้าใจว่าเกิดจากการระคายเคือง หรือ dry eyes
29 มี.ค. 2558 ตาข้างขวายังคงมีอาการน้ำตาไหล และหนังตาที่สามแดงและบวม ตาไม่ปิดเวลานอน
  

การรักษา
30 มี.ค. 2558 อาการเหล่านี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัด จึงรีบนำหมูหยองเข้ารับการรักษาและอธิบายอาการต่างๆให้หมอที่โรงพยาบาลสัตว์เอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คุณหมอผู้ดูแลเคสในวันนี้วินิจฉัยว่าเกิดจากอาการแพ้ของผิวหนัง จึงได้จ่ายยาแก้แพ้ผิวหนัง และยาปฏิชีวนะ พร้อมยาหยอด Chlor Oph


3 เม.ย. 2558 อาการของหมูหยองไม่ดีขึ้น หนังตาที่สามยังคงแดงและบวมมาก น้ำตาไหลมาก และเจ้าของสังเกตได้ว่าเวลาลมพัด หมูหยองไม่สามารถหรี่ตาเพื่อป้องกันดวงตาของตัวเองได้ คล้ายกับดวงตาไม่มีปฏิกิริยา reflection จึงพากลับไปที่โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวอีกครั้งเพื่อขอพบคุณหมอเฉพาะทางโรคตา และเล่าสิ่งที่เจ้าของสงสัย  ซึ่งคุณหมอได้วินิจฉัยว่า ประสาทเส้นที่ควบคุมการกะพริบตาเสื่อม ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเสื่อมชั่วคราวหรือถาวร  เหตุเกิดขึ้นเอง ไม่สามารถแก้ไขได้ จึงได้แต่กินยาบำรุงประสาท Neurobian สองสัปดาห์แล้วตามอาการอีกครั้ง ระหว่างที่คุณหมอตรวจอาการ คุณหมอได้เปิดเหงือกฝั่งขวา พบว่ามีเศษอาหารติดอยู่บริเวณเหงือกฟันบนมาก แต่คุณหมอไม่ได้อธิบายอะไร แล้วคุณหมอก็เอาไฟฉายส่องในรูหูขวา และไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม  หลังจากรับยามา เจ้าของพยายามหาสาเหตุอาการนี้ด้วยตัวเองทางอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่พบข้อมูลอาการแบบนี้ในสุนัข จึงสืบค้นข้อมูลอาการเหล่านี้ในคน จึงพบว่ามีอาการใกล้เคียงกับ Facial Nerve Paralysis จึงได้นำคำนี้ไปเซิชเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง พบข้อมูลในเว็บไซต์ของสัตวแพทย์ในต่างประเทศ และอาการก็สอดคล้องกับที่หมูหยองเป็น เมื่อศึกษาถึงสาเหตุของอาการนี้ มีหลายสาเหตุมาก อาทิ hypothyroid  การอักเสบของหูชั้นใน
มะเร็งหรือเนื้องอกในระบบประสาท  การกระทบกระเทือนจนทำให้บาดเจ็บที่ facial nerve ผลข้างเคียงจากการรับการผ่าตัด ซึ่งสาเหตุเหล่านี้หมูหยองได้รับการตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ เหลือเพียงเรื่อง Stroke และสาเหตุจากการได้รับยา Ivermectin (เจ้าของได้สืบค้นข้อมูลด้วยตัวเองแต่ยังไม่ได้เรียนปรึกษาคุณหมอท่านใดว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่ ก่อนฉีด Ivermectin นั้น หมูหยองอาจมีพยาธิหนอนหัวใจตัวอ่อนอยู่ เมื่อได้รับ Ivermectin เข้าไปฆ่าพยาธิตัวอ่อนเหล่านั้นแล้วเกิดเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นประสาท เรื่องนี้เจ้าของสังสัยเอง ก็คงต้องถามผู้รู้อีกครั้งนะคะ)

4 เม.ย. 2558 สืบหาข้อมูลของคุณหมอที่มีประสบการณ์ และเป็นที่รู้จักเพื่อให้วินิจฉัยอาการ และตั้งใจจะสอบถามข้อมูลตามที่เราหามา จนพบกับคุณหมอทู ซึ่งหลายๆท่านคงรู้จักกันดี เมื่อเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอทูก็พูดเรื่อง Facial Nerve มาเป็นคำแรก และตรวจเลือด ตรวจหาสาเหตุ โดยคุณหมอให้เวลากับเคสมากๆ ไม่รีบร้อน และอธิบายจนเราหมดคำถามจริงๆ หลังจากซักประวัติและตรวจเลือดก็พบว่าน้องมีไตรกลีเซอไรด์สูงมาก คอเลสเตอรอลสูงมาก ความดันสูงมาก ค่าการไหลเวียนน้ำดีก็สูงมาก คุณหมอจึงจ่ายยาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ก่อน ทำให้สันนิษฐานไปถึง เรื่องของ Stroke หรือไขมันอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง และเจ้าของก็เห็นด้วยกับแนวทางการรักษา เพราะเมื่อเจอปัญหาที่มีแนวโน้มเป็นสาเหตุของอาการก็ควรที่จะแก้ไข ดีกว่ารอเวลาให้น้องหายเอง อย่างน้อยถึงน้องไม่หายสุขภาพน้องก็ดีขึ้น

ในระหว่างรักษากับคุณหมอทู เจ้าของก็พาน้องไปตรวจเรื่องตากับอาจารย์หมอปราณี ซึ่งท่านก็เป็นสัตวแพทย์มีชื่อเสียงเรื่องการรักษาโรคตา คุณหมอก็เป็นอีกเสียงที่วินิจฉัยว่ามีอาการของ Facial Nerve เช่นกันกับคุณหมอทู แต่ก็ไม่สามารถสรุปสาเหตุอย่างแน่ชัดได้  เพราะสาเหตุมีหลากหลายมาก

ต่อมาการรักษาก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องทั้งจากคุณหมอทูและอาจารย์ปราณี  สาเหตุที่เจ้าของเลือกที่จะตรวจกับอาจารย์ปราณีควบคู่ไปด้วยเพราะ ตาข้างขวาของน้องไม่สามารถกะพริบได้เลย แม้แต่เวลานอนเปลือกตาก็ไม่สามารถปิดลงมาได้ แม้เวลาหลับน้องก็นอนลืมตา ซึ่งปัญหาที่น่ากังวลต่อมาก็คือ ภาวะตาแห้ง เพราะการกะพริบตาเป็นการพาน้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตา เมื่อตาแห้งหนังตาที่สามจึงแดงและบวม น้ำตาไหลตลอดเวลา และเมื่อมีสิ่งใดเข้าตาไม่ว่าจะฝุ่น แมลง ลม หรือแสง  น้องก็ไม่สามารถปกป้องดวงตาของตัวเองได้ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น  เมื่อเกิดอาการระคายเคืองน้องก็พยายามเอาตาถูกับผ้า พยายามจะเกา ซึ่งก็อาจเกิดอันตรายจนเป็นแผลที่กระจกตาได้ และสิ่งที่เจ้าของกังวลมาตั้งแต่แรกเหล่านี้ เกิดขึ้นกับน้องทั้งหมด น้องเริ่มเป็นแผลที่กระจกตา  ต้องหยอดยาที่ชื่อว่า Tobrex ทุกสองชั่วโมงตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่กับน้ำตาเทียมทุก 3-4ชั่วโมง ซึ่งเจ้าของเลือกที่จะใช้ vidisic jel ซึ่งเป็นน้ำตาเทียมที่ให้ความชุ่มชื้นได้นานมากกว่าแบบน้ำ แต่เนื่องจากเป็นเนื้อเจลอาจทำให้น้องหมามองไม่ชัดไปบ้าง  ซึ่งการเลือกใช้น้ำตาเทียมนั้นแนะนำว่าเลือกตามความเหมาะสมตามอาการของน้องหมาให้มากที่สุด ซึ่งน้องหมูหยองตาปิดไม่ได้เลยบวกกับเจ้าของไม่สามารถหยอดได้บ่อยครั้ง การเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบเจลหรือแบบขี้ผึ้งจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแบบน้ำ ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นคำแนะนำดีๆจากคุณหมอทู

การรักษาผ่านไปได้สองสัปดาห์ อาการของน้องไม่ดีขึ้นเลย เปลือกตาไม่ขยับ หย่อนลงมาได้นิดหน่อยเวลาง่วงเท่านั้น หลังตาที่สามขึ้นมาช่วยปิด และเจ้าของก็ยังหยอดน้ำตาเทียมตามที่กล่าวตลอด

คุณหมอที่คลินิกอาจารย์หมอปราณี เริ่มแจ้งให้เจ้าของทราบว่าหากยังไม่ตอบสนอง น้องก็อาจจะไม่หายแล้ว คุณหมอจึงแนะนำให้ลองใช้การฝังเข็มเป็นทางเลือก แต่ไม่ได้รับรองว่าการฝังเข็มจะทำให้น้องหายได้ ซึ่งเวลานั้นทำให้เราคิดหนักเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่ความท้อแท้เลย

เริ่มวางแผนให้น้องว่าหากน้องไม่หายต้องมีวิธีดูแลเขาอย่างไร ให้ดวงตาเขาปลอดภัยที่สุด นั่นก็คือการใส่แว่น ^^ แต่แรกๆน้องไม่ยอมใส่ ต้องใส่คู่กับคอลล่า ป้องกันไม่ให้น้องถอดเองได้ และต้องดูแลใกล้ชิดทุกครั้งที่ใส่แว่น เวลาไปไหนมาไหนก็มีแต่คนยิ้มให้บ้าง ขำน้องบ้าง เอ็นดูน้องบ้าง  เจ้าของก็เริ่มจะชินบ้างแล้ว บางท่านไม่ทราบอาจเข้าใจผิดว่าเราแต่งตัวให้น้อง ทรมานน้องหรือเปล่า นั่นก็ไม่เป็นไร ขอให้เจ้าของที่รักสุนัขทุกท่านอดทน  ^^ เจ้าของอดทนต่อการตอบคำถามของผู้พบเห็น แต่ก็เป็นความยินดีเสมอ
  


นับตั้งแต่ฝึกให้น้องใส่แว่นเจ้าของเริ่มทำใจหากว่าน้องไม่หาย  เราตั้งใจแล้วว่าจะหาวิธีดูแลน้องให้ได้ เพราะนอกจากตาปิดไม่ได้แล้ว มุมปากข้างขวาก็ไม่สามารถขยับได้ มุมปากห้อยคล้ายคนปากเบี้ยว น้องยิ้มไม่ได้หนึ่งข้าง ทุกครั้งหลังอาหารเจ้าของต้องคอยเปิดริมฝีปากข้างขวาเช็ดเศษอาหารออกจากเหงือก ซึ่งจะมีเศษอาหารเข้าไปติดอยู่มาก เพราะน้องไม่สามารถขยับปากด้านที่เป็นได้เลย


ก่อนที่จะรักษาด้วยการฝังเข็มครั้งแรกนั้น  เจ้าของได้ปรึกษากับคุณหมอทูแล้ว ว่าสามารถทำได้หรือไม่ มีผลต่อการรักษาด้วยยาที่ทำอยู่หรือไม่ ซึ่งคุณหมอก็ให้คำแนะนำที่ดีมาตลอด จึงตัดสินใจพาน้องรับการฝังเข็มควบคู่ไปกับการรักษาของคุณหมอทู

หลังได้รับคำแนะนำดังกล่าวเราก็เริ่มศึกษาเรื่องการฝังเข็มในสุนัข และได้พบคุณหมออาร์ทซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ครั้งแรกที่คุณหมอพบน้อง ก็แจ้งเจ้าของว่า หากฝังเข็มสักสามครั้งน้องไม่ตอบสนอง ก็อาจจะสรุปได้ว่า... ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีคุณหมอท่านไหนให้ความหวังเจ้าของเท่าไรเลย  แต่ใจก็ยังสู้อยู่ ^^
21 เม.ย. 2558 หลังจากฝังเข็มครั้งแรก เจ้าของยังไม่สามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เราก็เลือกที่จะเชื่อมือคุณหมอ
28 เม.ย. 2558 สัปดาห์ต่อมา หลังจากฝังเข็มครั้งที่สอง เจ้าของเริ่มเห็นเปลือกตาบนของหมูหยองขยับ แต่ก็น้อยมาก ขยับได้แค่ราวๆเศษเสี้ยว 1 มิลลิเมตร ^^แต่ก็ดีใจมากแล้ว เพราะเปลือกตาน้องไม่เคยขยับเลยมาเป็นเดือน

สัปดาห์ต่อมาคุณหมออาร์ทติดธุระ น้องจึงเว้นการฝังเข็มไปอีกหนึ่งสัปดาห์ แต่ระหว่างนี้ น้องกลับค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆทุกวัน เริ่มขยับมากขึ้นๆทีละนิด เปลือกตาเริ่มหย่อนลงได้ดีขึ้นเวลานอน จนกระทั่งน้องเริ่มกะพริบตาได้ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองก็ยังค่อนข้างช้า
12 พ.ค.2558 สัปดาห์ต่อมาหลังจากฝังเข็มครั้งที่สามและ
19 พ.ค. 2558 สัปดาห์ต่อมาหลังจากฝังเข็มครั้งที่สี่  การกะพริบตาก็เริ่มดีขึ้น  เริ่มหรี่ตาได้เอง ตอบสนองไวขึ้น แต่กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาดูยังไม่แข็งแรง และปิดตาได้ไม่สนิทนัก  

และผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว การฝังเข็มก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป บวกกับการรักษาด้วยยาของคุณหมอทู และการรักษาของอาจารย์หมอปราณีทุกครั้งที่เกิด dry eyes และมีแผลที่กระจกตา และสิ่งที่เจ้าของยังต้องทำอยู่ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา คือหยอดน้ำตาเทียมไม่ให้ขาด ควบคุมอาหารของน้องเอง และระวังดวงตาของน้องให้ดีที่สุด และนวดประคบร้อนบริเวณศีรษะ และใบหน้าของน้องตอนเช้า  ณ ตอนนี้น้องกะพริบตาได้  หรี่ตาได้เวลาเจอลม เจอฝุ่น หรือแสงจ้า และหรี่ตาปิดไม่ให้เจ้าของหยอดน้ำตาเทียมได้โดยง่ายซะแล้ว ^^

สุดท้ายสิ่งที่จะบอกเล่าคือเรื่องอาหารที่ควบคุมให้น้อง เนื่องจากต้องควบคุมน้ำหนัก ลดคอเลสเตอรอลและไตรกีเซอไรด์
เมนู จับฉ่ายของน้องหมูหยอง กินได้ 2 มื้อต่อวันเป็นเวลา 4 วัน
Broccoli        1 หัว
ผักบุ้งจีน         ครึ่งกิโล
คึ่นช่าย        1 ขีด (น้องไม่ค่อยชอบ)
ใบบัวบก        ครึ่งกิโล
ผักกาดขาว    1 หัว
บางโอกาสมีดอกแคต้มผสมลงไปด้วย
เต้าหู้นิ่ม (เต้าหู้กระดาน)     2 ก้อน
ฟักทอง         ครึ่งกิโล
เนื้ออกไก่เลาะหนัง ตับไก่เลาะมันออก หรือเนื้อวัวสับ อย่างใดอย่างหนึ่งหมุนเวียนเพื่อไม่ให้น้องเบื่อ    3 ขีด

วิธีการ หั่นผักชิ้นเล็กๆทุกอย่างต้มสุกรวมกัน แล้วแพคเข้าตู้เย็นไว้  ต้มเต้าหู้แล้วแพคเข้าตู้เย็น ต้มฟักทองแล้วแพคแช่ตู้เย็น  ต้มเนื้อสัตว์แล้วแพคแช่ตู้เย็นพร้อมกับน้ำซุปที่เคี่ยว  เวลาเสิร์ฟ ตักทุกอย่างตามสัดส่วนพอเหมาะ แล้วเข้าไมโครเวฟ แล้วบดด้วยช้อนคลุกเคล้าเข้ากัน  พร้อมเสิร์ฟค่ะ ^^ หมูหยองสามารถกินผักได้เพราะฝึกมาแต่เล็กๆ แต่บางครั้งก็เขี่ยออกตามธรรมชาติเค้า แต่เราใช้วิธีใส่น้ำซุปหอมๆที่ได้จากการเคี่ยวเนื้อสัตว์ลงไป พร้อมเนื้อสัตว์นิดหน่อย ไม่ต้องมาก เพราะเราต้องการเน้นผัก และประโยชน์แบบคลีนๆ  บางครั้งก็มีต้มข้าวบาร์เลย์เสริมแคลเซียมและโปรตีน ทั้งนี้เจ้าของต้องทราบจากคุณหมอก่อนว่าสุนัขของเราร่างกายเป็นอย่างไรมีอะไรต้องเพิ่มต้องลด ก็เน้นปรึกษาสัตวแพทย์เป็นหลักนะคะ

เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการรักษา Facial Nerve Paralysis ฝากไว้เพื่อเป็นข้อมูลให้กับเจ้าของที่มีน้องหมาซึ่งอาจมีปัญหาคล้ายกัน  และอยากฝากให้เจ้าของที่มีสุนัขที่กำลังป่วย รักษาสุนัขของเราให้ดีที่สุด เพราะเขาเป็นเพื่อน เป็นลูก เป็นองครักษ์  เป็นตัวป่วน  แถมเป็นครูสอนให้เรารู้จักอะไรๆอีกมากมาย แลกกับเงื่อนไขเดียว คือ เค้าฝากทั้งชีวิตให้เราดูแล ^^ ตอนนี้เจ้าของก็มีความสุขมากกับการดูแลน้อง และคุณหมอที่กล่าวชื่อมาข้างต้นทุกท่านก็ช่วยน้องได้ดีเยี่ยม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่