วิ่งมาครบรอบ 1 ปีแล้วครับ

กระทู้สนทนา
จริงๆต้องบอกว่าวิ่งมาครบรอบ 1 ปีกับอีกหนึ่งเดือนเพราะผมนับจากงานวิ่งงานแรก ก่อนหน้านี้เล่นบาสมาก่อนแต่ที่เลิกเนื่องจากทีมแตกเพราะต่างคนต่างก็มีภารกิจจึงต้องเบนเข็มหันมาวิ่งแทน สาเหตุที่เลือกกีฬาวิ่งก็เพราะคิดว่ามันเป็นกีฬาที่สะดวกที่สุดเพราะมันสามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเองลำพัง (อย่างบาสต้องรอให้คนครบ) สามารถเลือกเวลาได้ว่าเราจะออกตอนเช้าหรือตอนเย็น เรื่องสถานที่นั้นไม่มีปัญหาเพราะแถวบ้านมีสวนสาธารณะที่แยกออกจากถนนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเกะกะรถยนต์เท่าไหร่ซึ่งผมเลือกที่จะวิ่งตอนเย็นหลังจากเสร็จงาน โชคดีของผมอย่างหนึ่งคือผมทำธุรกิจส่วนตัวจึงสามารถแบ่งเวลาสำหรับส่วนนี้ได้เต็มที่ หากเข้าฤดูฝนที่ฝนมักจะมาเยือนช่วงยามเย็นผมก็จะเปลี่ยนไปวิ่งตอนเช้าแทน การเล่นบาสมาก่อนทำให้ผมค่อนข้างมีวินัยและติดการออกกำลังกายทำให้ผมสามารถดำเนินกิจกรรมพวกนี้ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาด

ช่วงแรกๆที่ผมเริ่มวิ่งผมก็เหนื่อยทุกๆคนแหล่ะครับ เมื่อก่อนผมไม่คิดนะครับว่าการวิ่งมันจะเหนื่อย (ขนาดนี้) อย่างที่บอกว่าผมเล่นบาสมาก่อน เล่นตำแหน่งปีกที่ต้องเน้นวิ่งด้วย แข่งแบบ 4 ควอเตอร์ก็ผ่านมาแล้วโดยไม่เป็นตะคริวแต่พอมาวิ่งแบบต่อเนื่องวันแรกผมวิ่งได้แค่ 20 นาทีเอง งงในความฟิตของตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้จอดแค่นี้แต่ก็วิ่งต่อไปและพยายามเพิ่มเวลาให้ได้มากขึ้น ตอนนั้นผมจะไม่นับรอบเพราะคิดว่านับรอบแล้วมันทำให้เราขี้เกียจ เรื่องความเร็ว pace ตอนนั้นผมยังไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรจึงไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่และมันถือว่าเร็วไหม (คือผมก็อยากวิ่งให้เร็วๆแหล่ะนะ) รองเท้าที่ใช้ผมยังใช้รองเท้าบาสวิ่งอยู่เลย

วิ่งมาได้เดือนนึงเห็นผ้าใบประชาสัมพันธ์งานวิ่งของอำเภอข้างเคียงก็รู้สึกสนใจอยากลองเข้าร่วมงานวิ่งดูซักครั้ง อาจเป็นผลมาจากการเล่นบาสทำให้ชอบการแข่งขัน ผมมีน้องร่วมวิ่งอีกสองคนพวกเราชวนกันไปสมัครถือเป็นงานวิ่งงานแรกที่ลงเลย เดิมทีผมตั้งใจจะลงรุ่น 5 กิโลเมตรเพราะตอนนั้นวิ่งรอบสนามฟุตบอล 11 รอบก็ได้ระยะพอๆกันแต่น้องอีกสองคนบอกว่าลงรุ่น 12 กิโลเมตรไปเลย ตัวคนที่กระตุ้นนี่วิ่งน้อยกว่าผมและไม่เคยผ่านการเล่นกีฬามาก่อนด้วย เขาใจสู้มากและโน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจหันมาลงรุ่น 12 กิโลเมตรได้สำเร็จเท่ากับว่าผมต้องวิ่งที่วิ่งปกติมากกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว ทั้งสามคนไม่มีใครเคยวิ่งถึง 12 กิโลเมตรมาก่อนแต่วันวิ่งจริงทุกคนก็รอดมาได้กันหมดทุกคน (หลังจากนั้นเวลาเห็นคนตั้งกระทู้ถามว่าซ้อมวิ่งเท่านี้จะไปวิ่งมินิไหวไหมผมเลยมักจะเข้าไปตอบว่าไหวเสมอ) แต่วิ่งเสร็จนี่ปวดเข่าเลยแต่ก็รู้สึกว่ามันสนุก ตอนนู้นยังไม่รู้หรอกว่าเขามีเว็บข่าวงานวิ่งรวมถึงทีมตากล้องถ่ายรูปนักวิ่งเรียกได้ว่าห่างไกลจากวงการมากๆ

เดือนมิถุนายน : ซื้อรองเท้าวิ่งคู่แรก เมื่อก่อนคิดว่ารองเท้าบาสแพงแต่รองเท้าวิ่งก็ราคาไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน คู่แรกที่ซื้อคือ asics kayano 20 ซื้อที่ CTW ด้วยการแนะนำของเพื่อนสายลู่วิ่ง ตอนนั้นลด 20% พอดี (แต่ถึงลดก็ยังแพงอยู่ดี) การตัดสินใจซื้อรองเท้าวิ่งก็เหมือนการแสดงความแน่วแน่ว่าจากนี้ไปเราจะวิ่งต่อไปแล้วนะ รองเท้าแพงขนาดนี้จะเอามาวางเฉยๆไม่ได้ เมื่อได้มาผมก็ใส่มันวิ่งมาตลอด ถึงทุกวันนี้แม้ว่าจะซื้อคู่ใหม่มาแล้วแต่ก็ยังหยิบมันมาใส่อยู่บ้างเพราะรู้สึกผูกพันกับมัน

ด้วยความที่ผมรู้สึกว่าการวิ่งงานมันสนุกผมจึงค้นพบเว็บข่าวงานวิ่งและพยายามติดตามข่าวตลอด ผมอยู่ต่างจังหวัดไม่ค่อยสะดวกที่จะเข้ามากรุงเทพเท่าไหร่ถ้ามีงานวิ่งที่จังหวัดใกล้เคียงผมก็จะพยายามไป ข้อดีอย่างหนึ่งของการชอบวิ่งงานก็คือมันทำให้เราขยันวิ่งมากขึ้น (แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคนด้วยล่ะครับ) เพราะระยะทางที่เขาจัดมันก็ไม่ใช่น้อยๆถ้าไม่ขยันซ้อมก็อาจจะหมอบก่อนถึงเส้นชัยได้ซึ่งตอนนั้นมีจุดยืนว่าจะไม่หมอบระหว่างทางดังนั้นหากไม่ขยันวิ่งมันก็ได้ เพื่อนผมหลายคนที่วิ่งได้ต่อเนื่องขึ้นก็เพราะเขาเสพติดการวิ่งตามงานนี่แหล่ะ

เดือนกันยายน : งานวิ่งที่ผมทุ่มพลังแบบสุดตัววิ่งที่บ้านแพ้ว จ.สมุทธสาคร ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสอง (ไม่ได้นอนเลยแม้แต่วินาทีเดียว) ที่ว่าทุ่มสุดตัวคือก่ะไปเอาถ้วยรางวัลเลยจริงๆเพราะรายการนี้เขามีถ้วยให้ตั้งสิบใบแถมแบ่งรุ่นอายุซอยออกเป็น 5 ปีอีกผมเลยทุ่มเลยครับ สตาร์ทปุ๊บนี่วิ่งแบบไม่มีผ่อน สนามนี้โหดตรงมีสะพานประมาณ 11 สะพานแบ่งเป็นลูกสะพาน 9 และโคตรสะพาน 2 (เป็นรายการแรกที่วิ่งแล้วมีด่านสะพาน) เวลาที่ทำได้สำหรับตัวเองถือว่าโอเคแต่ไม่ดีพอที่จะแย่งชิงถ้วยมากอดได้และผลจากการทุ่มพลังจนเกินเหตุทำให้ร่างกายโทรมไปนานเป็นเดือน โทรมทั้งพลังกายและพลังใจมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากรายการนี้เรียนรู้ว่าการโหมกำลังเกินตัวไปไม่ส่งผลดีอะไรควรวิ่งตามธรรมชาติจะดีที่สุด

เดือนพฤศจิกายน : รายการที่ยอมยกธงเดินครั้งแรก หลังจากตั้งจิตปฏิญาณว่าจะไม่เดินในการแข่งแต่รายการนี้ผมก็หมดพลังหลังจากวิ่งดมควันรถเมล์มาตลอดเส้นรามคำแหงพลังผมก็หมดลงก่อนถึงเส้นชัย 3 กิโล เดิมทีว่าจะฝืนวิ่งต่อไปแต่ก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องทุ่มชีวิตขนาดนั้น ผมแนะนำกับคนอื่นว่าถ้าไม่ไหวก็ให้เดินแล้วทำไมตัวเองถึงไม่เชื่อ ดังนั้นเดินเลยครับ เป็นรายการแรกที่เดินก่อนเข้าเส้นชัย ที่เขียนถึงรายการนี้ก็เพื่อจะบอกทุกคนว่าหากไม่ไหวก็อย่าไปฝืน เศร้า

เดือนมีนาคม : 17 กิโลเมตรครั้งแรก เดิมทีผมไม่มีความคิดที่จะก้าวผ่านรุ่นมินิเพราะผมคิดว่าวิ่งมินิมันเป็นระยะที่พอเหมาะและเสร็จได้เร็วปิดจ็อบก่อนแดดจะออกมาแรง ความคิดจะลงฮาล์ฟมันก็มีบ้างแต่น้อยเหลือเกินแต่เผอิญรายการนี้จัดห่างจากบ้านแค่ 20 นาทีถึงแม้ว่าจะเป็นระยะที่ไกลกว่างานอื่นๆที่เคยวิ่งมาแต่ใจก็คิดว่าน่าลองดูเหมือนกันว่าเราจะผ่านมันได้ไหมซึ่งในที่สุดก็ผ่านมันมาได้

เวลาวิ่งตามงานผมจะวางแผนการวิ่งทุกครั้ง ผ่านการลองผิดลองถูกมาตลอด รายการแรกช่วงครึ่งแรกผมวิ่งช้ามากๆเพราะกลัวว่าตัวเองจะไปไม่ถึงเส้นชัย วิ่งแบบท้ายสุดเลยทีเดียวขนาดว่ากลุ่มที่วิ่ง 5 กิโลเมตรที่ปล่อยตัวทีหลังยังวิ่งมาแซงผมได้เลย พอรายการที่สองคิดว่าตัวเองไม่หมดแน่ๆเพิ่มความเร็วตัวเองก่อนจุดกลับตัวปรากฏว่าหมดก่อนเส้นชัย 2 กิโลต้องวิ่งแบบกระดื๊บๆเข้าเส้นชัย รายการที่สามเลยวิ่งแบบเสถียรไปตลอดทางและคิดว่าเป็นการวิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดเพราะมันไม่หมดระหว่างทาง รายการหลังๆเริ่มเจอด่านสะพาน-อุโมงค์ให้เรียนรู้กันต่อไปเรื่อยๆเวลาวิ่งตามงานจึงต้องวางแผนไว้ตลอด

อันนี้เป็นตารางงานที่ผมทำบันทึกไว้ (แต่ระยะทางอาจไม่ตรงเพราะตอนนั้นผมไม่มีนาฬิกาวัด)



วิธีการซ้อม : ผมจะวิ่งเกือบทุกวัน (เว้นวันอาทิตย์ไว้พักร่างกาย) ตั้งเป้าไว้วันละ 40 นาทีถ้าไม่ถึงอย่างน้อยให้เกิน 30 นาทีให้ได้ ถ้าวิ่งเย็นไม่ได้ก็ต้องวิ่งเข้าวันถัดไป ผมว่าการวิ่งมันเป็นอะไรที่วัดใจตัวเองมากเพราะเราสามารถที่จะหยุดก้าวเท้าได้ตลอดเวลา ตัวมารอย่างความเหนื่อยและความเบื่อมันมากวนเราตลอดว่าเราจะพ่ายแพ้ให้มันตอนไหนการมีวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เวลาวิ่งผมจะฟังเพลงไปด้วยให้มันเพลินและใช้จับเวลาด้วย

อันนี้เป็นระยะซ้อม (เพิ่งซื้อนาฬิกามาครับ การมีนาฬิกามันก็มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือมันทำให้เรารู้ว่าเราวิ่งไปแล้วเท่าไหร่แต่ข้อเสียก็คือกดดันตัวเองเพราะไม่อยากทำให้ได้แย่กว่าเมื่อวาน)



ปิดท้ายเรื่องสุขภาพ ก่อนหน้านี้ผมกังวลกับเรื่องสุขภาพเหมือนกันกลัวพวกคอเรสเตอรอลหรือน้ำตาลจะเกินเพราะผมนิยมทานไอติมและกินจุกจิกตลอดวัน ไม่ได้เน้นเรื่องอาหารสุขภาพหรือกินคลีนอะไร ที่ผ่านมาไม่เคยตรวจร่างกายเพราะถือคติว่าไม่ตรวจไม่เจอแต่เผอิญมีโปรโมชั่นตรวจฟรีเลยไปตรวจซึ่งก็ได้ผลว่าผ่านฉลุยทุกอัน ผมคิดว่าอานิสงค์ส่วนหนึ่งก็มาจากการมีวินัยในการออกกำลังกายนี่แหล่ะที่ช่วยคุ้มครองผมอยู่ดังนั้นมาออกกำลังกายกันเถอะครับ ไม่จำเป็นต้องวิ่งเหมือนผมก็ได้ผมเชื่อว่าการออกกำลังกายไม่ว่าจะแขนงไหนก็ให้ประโยชน์กับตัวเราทั้งนั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่