ประสบการณ์ฮาล์ฟแรกของผมครับ

เมื่อวันก่อนมาถามถึงวิธีวิ่งระยะฮาร์ฟมาราธอน วันนี้ผ่านมาแล้วครับเมื่อเช้าที่อ่างทอง ยิ้ม

พูดถึงวิธีการซ้อมเล็กน้อยก็แล้วกันครับ อย่างที่บอกในกระทู้ก่อนว่าผมมีเวลาซ้อมเพื่อระยะฮาล์ฟแค่ 4 วันเท่านั้น (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันอื่นๆที่ผ่านมาไม่ได้ฝึกซ้อมนะครับเพราะผมวิ่งทุกวันเว้นวันอาทิตย์ในระยะสำหรับไปวิ่งมินิ คือวิ่งวันละ 6 - 8 กิโล) เวลาค่อนข้างบีบคั้นเพราะต้องเว้นวันพักร่างกายไว้สองวันเลยตั้งเป้าหมายว่าจะซ้อมให้ถึง 15 กิโลให้ได้ก่อนส่วนที่เหลือค่อยไปลุ้นเอาในวันวิ่งจริงซึ่งผมเชื่อมั่นว่าในวันนั้นพลังแฝงมันจะออกมาและนำพาให้เราไปรอด วิธีการซ้อมของผมไม่มีอะไรมากนอกจากวิ่งไปเรื่อยๆเพื่อความอึดเพียงอย่างเดียว ซ้อมแบบเดียวกับการซ้อมไปวิ่งมินิแต่ลดความเร็วให้ลดลงเพราะผมเชื่อว่าถ้าวิ่งด้วยความเร็วมินิก็จะหมดแรงภายใน 13 กิโลเมตรต่อให้มีพลังแฝงก็ช่วยไม่ได้ ถ้าจะวิ่งให้นานขึ้นก็ต้องลดความเร็วที่เคยชินลงมา ปกติเวลาซ้อมวิ่งผมจะซ้อม pace 4 (ปลายๆสุดขอบ) ก็เปลี่ยนโดยลดเกียร์ลงมาเป็น pace 5 กว่าๆ วัดความเร็วเอาจากนาฬิกาซึ่งผมคิดว่ามันช่วยให้เราวางแผนการวิ่งได้ดีมากทีเดียว

แต่ความจริงถึงลดเกียร์ลงก็ใช่ว่าจะไม่เหนื่อยนะครับ เข้ากิโล 9 ก็เริ่มเหนื่อยแล้วเพราะร่างกายมันคงรู้แหล่ะว่าปกติไม่ได้วิ่งระยะที่มันไกลขนาดนี้ แต่แม้จะเหนื่อยก็ต้องทนครับเพราะระยะฮาล์ฟมันไกลจะประมาทไม่ได้ ไล่ซ้อมมาเรื่อยๆ จันทร์,อังคาร,พุธ,พฤหัส และพักวันศุกร์กับวันเสาร์ ปิด 15 กิโลที่วันพฤหัส



เวลาวิ่งซ้อมผมจะวิ่งไปเรื่อยๆด้วยความเร็วคงที่ (แต่ในความเป็นจริงความเร็วกิโลหลังๆจะค่อยๆตกลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว) ไม่มีการสลับช้าสลับเร็วรวมถึงการพักกินน้ำเพราะผมไม่อยากเสียจังหวะ (ปกติผมไม่กินน้ำระหว่างซ้อมวิ่งอยู่แล้วนะครับ จะกินก็หลังวิ่งเสร็จไปเลย) จะมีวันที่วิ่ง 15 กิโลที่ลองพกเจเล่หลอดดูดไปกินเพื่อทดลองว่ามันจะช่วยเสริมพลังให้เราไหม (มีคนแนะนำให้กิน power gel แต่ไม่ได้กินเพราะราคามันแพง เหตุผลมีเพียงเท่านี้) วันนั้นลองกินที่กิโลที่ 9 รู้สึกว่าสดชื่นขึ้นแต่มันก็ช่วยได้แค่ 3 กิโลเมตรก็เริ่มหมดแรงเหมือนเดิมแต่ก็ลากมาได้จนถึงกิโลที่ 15 ตามเป้าหมายที่วางไว้แล้วก็พักร่างกายสองวัน

การนอน : งานวิ่งไม่ว่าจะเป็นงานไหนผมก็นอนไม่หลับดังนั้นผมเลยนอนเยอะๆตั้งแต่คืนวันพฤหัส อาจเพราะเพลียจาก 15 กิโลด้วยวันนั้นเลยสามารถนอนได้ถึง 8 และคืนวันศุกร์ก็นอนได้เยอะพอๆกัน แต่ร่างกายก็ล้านะครับรู้สึกปวดเมื่อยในวันศุกร์แต่วันเสาร์อาการปวดก็ลดลง ที่เหลือก็สร้างความมั่นใจให้ตัวเองว่าจะผ่านระยะนี้ได้ เมื่อคืนก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม

อาหารที่เตรียมไป : ระยะฮาล์ฟเริ่มวิ่งตอนตีห้าครึ่งดังนั้นตีสี่ครึ่งกินแฮมเบอร์เกอร์จากเซเว่นเพื่อให้มันย่อยทันจะได้ไม่จุกระหว่างวิ่งและพกเจเล่ตัวเกลือแร่ไปสามถุง ถือไปด้วยเพื่อไปกินระหว่างวิ่ง วันนี้ใครเห็นคนถือถุงก๊อปแก๊ประหว่างวิ่งนั่นแหล่ะผมเอง ยิ้ม

เป้าหมาย : ผมมาจากสายแข่งขันจึงชอบตั้งเป้า ตั้งเป้าหมายไว้ว่าวิ่งไม่ให้เกินสองชั่วโมง (ความจริงผู้ใหญ่ในชมรมพูดไว้ด้วยแบบเล่นๆว่าอนุญาตให้ลงวิ่งแล้วห้ามทำเวลาเกินสองชั่วโมงนะ) เวลาค่อนข้างฉิวเฉียดกับเวลาซ้อม ปัจจัยที่จะทำให้เวลาช้าลงก็คือการแวะจุดกินน้ำซึ่งต่างจากการวิ่งตอนซ้อมที่ไม่เคยกินน้ำและปัจจัยตอนออกสตาร์ทที่จะต้องพบกับฝูงชนที่วิ่งด้วยความเร็วที่หลายหลาก

แผนการวิ่ง : ไม่มีอะไรมากนอกจากทำให้ได้ตามเป้าหมาย ตั้งใจจะวิ่งให้ได้แบบเสถียรไปจนถึงเส้นชัย หากเวลาตกไปจากเดิมค่อยไปเร่งเอากิโลถัดไป (นาฬิกาผมเตือนความเร็วทุกกิโล)

เริ่มสตาร์ท เนื่องจากไปสายจากอยู่ข้างหลังหน่อยแต่งานนี้คนวิ่งไปค่อยเยอะเพราะอาทิตย์นี้มีงานวิ่งชนกัน 7 งานถือว่าวิ่งสบายและเส้นทางที่วิ่งดีเพราะเป็นการวิ่งในถนนของหมู่บ้านที่แทบจะไม่มีรถสัญจรและพื้นเป็นพื้นลาดยางเรียบมาก สองข้างทางเป็นทุ่งถือว่าอากาศดี การวิ่งฮาล์ฟต้องใช้สมาธิมากๆต่างจากการวิ่งมินิ อย่างการวิ่งมินินั้นผมจะใส่แหลกตั้งแต่เริ่มสตาร์ทแต่ฮาล์ฟทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะรอดในกิโลท้ายๆได้หรือไม่เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกด้วย คนที่วิ่งมินิอาจจะรู้สึกเช่นนี้คือใจมันอยากจะไปให้เร็วๆปิดการวิ่งให้จบไวไวดังนั้นการวิ่งฮาล์ฟมันจึงต้องใช้สมาธิอย่างมากเพื่อไม่ให้เสียจังหวะในการวิ่งไป จังหวะการหายใจก็มีส่วน คิดว่าวันนี้ตัวเองวิ่งได้จังหวะดีเพราะหายใจเป็นจังหวะ การลงเท้าก็ไม่มีปัญหา

เส้นทางการวิ่งเป็นรูป ?



ครึ่งทางแรกยังไม่เจอใครหมดแรง ผมคิดว่าคนที่ลงระยะฮาล์ฟคือคนที่มีความมั่นใจพอตัวไม่อย่างนั้นคงไม่มาลงและแต่ละคนก็วิ่งกันเก่งๆทั้งนั้นเพราะดูวิ่งเป็นจังหวะ ผ่านครึ่งแรกผมก็ยังสบายอยู่เพราะมันยังอยู่ในระยะที่เคยวิ่ง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยก็กิโลที่ 12 (หมดโปรโมรชั่น) อ้อ ผมกินเจเล่ถุงแรกในกิโลที่ 6 จุดกลับตัวมีน้ำส้มจากผู้จัดบริการ หลังจากกินน้ำส้มไม่นานผมก็กินเจเล่ถุงที่สองเพราะหวังว่าจะช่วยให้ตัวเองมีแรงขึ้น ระยะนั้นเริ่มเห็นคนเริ่มเดินกันบ้างแล้ว (แสดงว่ามันได้ระยะแล้วสินะ)

อันนี้เป็นรอบความเร็วตลอดเส้นทาง ค่อนข้างจะคงที่ตลอด จุดที่รอบตกลงไปคือจุดแวะกินน้ำ เริ่มกินน้ำจุดแรกกิโลที่ 8



มาถึงกิโล 15 ถึงจุดที่ต้องสำรวจตัวเองว่า "ไหวไหม" เพราะมันเป็นจุดไกลสุดที่ตัวเองซ้อมมา รู้สึกว่าพลังแฝงมาแล้ว ยังไปได้ต่อ เริ่มใจชื้น เวลาวิ่งคิดในแง่ดีไว้ว่าอีก 6 กิโลเอง! มองนาฬิกาคำนวณเวลาว่าจะทันกับเป้าที่วางไว้ไหมซึ่งหากว่าวิ่งได้รอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆก็จะทันเวลาพอดี (มีนาฬิกามันสะดวกจริงๆนะ) ช่วงนี้แวะจุดน้ำกินสองแก้วตลอดเพราะเหงื่อออกมามากเหลือเกินสัมผัสได้ว่ารองเท้าแฉะมากๆเพราะได้ยินเสียงฉืบฉืบที่เต็มไปด้วยน้ำ ดีที่รายการนี้มีน้ำให้ไม่ขาด มีนมให้ด้วยแต่ผมไม่ได้กินเพราะกลัวอิ่มแล้วจะวิ่งไม่ไหว

ผ่านกิโลที่ 18 ร่างกายยังไม่มีอาการบอบช้ำแสดงออกมาอย่างที่เคยกังวล เริ่มมั่นใจว่างานนี้ไปรอดแน่ หันไปคุยกับคุณอาที่วิ่งข้างๆว่า "จะถึงแล้วครับ" ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ประโยคเดียวก็ทำให้มีแรงขึ้นอีกนิดเหมือนกัน แล้วก็วิ่งได้จนถึงเส้นชัย ได้เวลาตามที่วางเป้าไว้อย่างฉิวเฉียด



โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมินิมากกว่าเพราะมันจบเร็วกว่า แต่หากใครที่ยังไม่เคยลองฮาล์ฟก็น่าจะลองดูซักครั้งเพราะมันก็น่าท้าทายอยู่เหมือนกันเพราะมันถือว่าเป็นระยะที่ไกลอยู่เหมือนกัน

สรุปแล้วหากคิดจะลงฮาล์ฟ

1.ขยันซ้อม : เพราะฮาล์ฟเป็นระยะที่ไกลกว่ามินิเท่าตัว อย่างน้อยให้ไปให้ถึงกิโลที่ 15 ที่งานมีคนเอา gu-gel ของทานเพิ่มพลังซึ่งเขาก็บอกว่าผลิตภัณฑ์ของเขาให้ได้แค่กำลังหากไม่ได้ซ้อมมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องมีความมุ่งมั่น
2.วางแผน : มันจะผูกติดกับการซ้อมเพราะการซ้อมจะช่วยให้เราวางแผนได้ว่าจะวิ่งแบบไหน ครึ่งแรก,ครึ่งหลัง แต่ละคนคงซ้อมไม่เหมือนกันเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องปัจเจกแต่ก็ต้องวางแผนวิ่งไว้ก่อน
3.อย่าฝืน : ถ้าไม่ไหวก็หยุดเพราะไม่มีอะไรต้องเสี่ยง วันนี้มีลุงท่านหนึ่งเดินฉีกตัวออกไปเลยโดยบอกว่าเจ็บเข่า ลุงเขาหยุดทันที
4.ให้กำลังใจตัวเองและคนอื่น : พยายามคิดว่ามันเหลืออีกไม่ไกล หากผ่านจุดกลับตัวให้คิดว่าเหลืออีกแค่ครึ่งทางไม่ใช่เหลืออีกตั้งครึ่งทาง ส่งยิ้มให้คนที่วิ่งสวนก็ได้ พอยิ้มตัวเองก็มีแรงและเขาก็มีแรง

โชคดีครับ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่