จากประสบการณ์แพทย์อาสา สู่ปลายปากกา “ปกาเกอะญอ” ณ ทีผะแหล่

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านนักเขียน นักเดินทางชาวพันทิพ
กระทู้เรื่องสั้นชุด"ปกาเกอะญอ"นี้ เป็นงานเขียนของเพื่อน เจ้าของกระทู้ ที่มีโอกาสได้ไปเป็นหมออาสาด้วยกันที่ "ทีผะแหล่" หมู่บ้านชื่อไม่คุ้นหูในอำเภออมก๋อยจังหวัดเชียงใหม่ ตามกระทู้ต้นเรื่อง http://pantip.com/topic/33229611 เมื่อหลายเดือนก่อน และเพื่อนคุณหมอนักเขียน Muslin ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางครั้งนั้น มาเขียนเป็นเรื่องสั้นชุดนี้ลงในเพจ รักษ์อักษร by Muslin
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3-by-Muslin/347607472047195

ใช้เวลานานพอสมควรในการหาข้อมูล รวบรวมแรงบันดาลใจ กลายเป็นชุดเรื่องสั้น 10ตอน
ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ ความประทับใจที่ทีผะแหล่ออกมา เพื่อนไม่มี username ใน pantip ผมจึงอาสารวบรวมมาไว้ให้ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆซึมซับบรรยากาศแาะความประทับใจของ "ปกาเกอะญอ" นะครับ

**เรื่องสั้นชุด "ปกาเกอะญอ" มีเค้าโครงจากประสบการณ์และสถานที่จริง บางส่วนดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม บุคคลในเรื่องล้วนเป็นนามสมมุติ***

“ปกาเกอะญอ” by Muslin


บทนำ:



“ยังอีกไกลมากไหม”

เสียงผมตะเบ็งถามสู้กับเสียงเครื่องยนต์รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อที่ไต่ระดับขึ้นทางลาดชันผ่านมาหลายโค้ง

“ครื่อทาละ”

คำตอบจากชายคนข้างตัวเล่นเอาแทบขย้อน เหงื่อเย็นๆไหลท่วมร่างจนชื้น อาการโคลงเคลงในหัวดูจะเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน

คุณพระ!!! ระยะทางที่นั่งกระดอนจากตัวอำเภอขึ้นมาเกือบสามชั่วโมงนี่ได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น เริ่มเข้าใจคำว่า “ร้อยกิโลแม้ว” กันอย่างชัดเจนก็ในคราวนี้เอง

“ทางอย่างนี้นี่มีอุบัติเหตุบ่อยไหม” ผมถามเมื่อเห็นว่าหนทางเบื้องหน้าซ้ายก็ป่า ขวาก็เหว

“ม่ายนะ” สมพงศ์ทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนให้ข้อมูลว่าน้องชายเคยขับรถชนต้นไม้จนขาหัก แต่ก็นานนับหลายเดือนก่อน คำตอบซื่อๆทว่าบั่นทอนกำลังใจทำให้ท้องไส้ยิ่งปั่นป่วน

“โหม๋วไหวไหม” พลขับของผมเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ คงพอสังเกตเห็นได้ว่าหน้าผู้โดยสารเหลืองปนเขียวดูพิลึก

“เดี๋ยวขอย้ายไปนั่งกระบะหลังน่าจะดีกว่า”

ผมคิดเอาเองว่าการได้สูดอากาศอย่างเต็มปอด แหงนหน้ารับลมคงทำให้อาการเมารถทุเลาลงบ้าง สมพงศ์หันมามองคล้ายไม่แน่ใจ แม้ยอมจอดพักรถให้โดยดีแต่ยังไม่วายเอ่ยเตือน

“จับดีๆนะโหม๋ว"

ให้ตายเถอะ!!! ผมควรเฉลียวใจสักนิดว่าหนทางอย่างนี้มันไม่น่าเหมาะที่จะยืนโชว์ตัวหลังกระบะเหมือนเข้าขบวนแห่นักกีฬาหรือนางงามประจำจังหวัด...เพียงออกมายืนเกาะกรงเหล็กที่ล้อมรถได้ไม่กี่นาที สายลมแห่งทิวเขาถนนธงชัยก็พัดผ่านหน้า ฝุ่นดินแดงลอยคว้างพุ่งเข้าหาทุกรูทวารที่เปิดรับไม่ว่าจะเป็นตา หู รูจมูก หรือปากที่พยายามไอค่อกแค่กขับผงดินคืนสู่ธรรมชาติ

ข้อดีคืออาการเมารถของผมหายเป็นปลิดทิ้ง!!! ประสาททุกส่วนมัวแต่จดจ่อกับการทรงตัวห้อยโหนราวเหล็ก พร้อมกับหลบซ้าย เบี่ยงขวา หลีกหนีกิ่งไม้ที่ดาหน้าเข้ามาราวกับกำลังฝ่าด่านเจ็ดอรหันต์

จะยืนทำไม??? ก็แล้วทำไมไม่นั่งลง??? ถ้าใครถามผมอย่างนี้...แปลได้ว่าคุณไม่เคยนั่งกระบะมาดินแดนแห่งนี้แน่ ผมไม่สามารถจะเปรียบเทียบแรงเหวี่ยงของรถได้ เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ในสถานที่หรือเหตุการณ์ใดมาก่อน มันคงเหมือน...คุณเล่นรถไฟเหาะหรือจานเหวี่ยงโดยไม่มีเข็มขัดรัด นั่นหมายความว่า...ถ้าคุณนั่งอยู่ ต่อให้ยึดเกาะดีเพียงใด อย่างน้อยสุด...ก้นกบคุณจะกระแทกและเสียดสีกับพื้นกระบะจนเกิดการบาดเจ็บ...แต่ถ้ามือคุณยึดราวไว้ไม่แน่นพอ เท้าของคุณขาดที่ยัน...ผมค่อนข้างแน่ใจได้ว่าร่างคุณจะกลิ้งไปมาบนหลังรถสภาพไม่ต่างจากขวดน้ำโพลาลิสเป็นแน่

การยืน...ดูเหมือนจะเกาะยึดและทรงตัวได้ง่ายกว่า สิ่งที่ต้องทำก็เพียงระมัดระวังไม่ให้ซี่โครงกระแทกกับราวจนหัก หรือโดนกิ่งไม้สอยจนร่วงจากรถเท่านั้นเอง

ถึงตอนนี้...ผมกำลังนึกถึงใครคนหนึ่ง คนที่ทำให้ผมต้องบุกป่าฝ่าดงมามีสภาพเช่นนี้

“อะไรนะ อยู่ที่ไหน???” ราวสองเดือนเศษที่ผมเคยเอ่ยถามเสียงปลายสาย สัญญาณกระท่อนกระแท่นฟังจับใจความได้ไม่ชัด

“ที...” ชื่อที่เอ่ยก็ไม่รู้ภาษาอะไร สารภาพตามตรงว่าจนบัดนี้ผมเองก็ยังจำได้ไม่ชัดนัก

“มาให้ถึงตัวอำเภอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะส่งคนไปรับ”

ชัยยศ...เจ้าเพื่อนรักตัวดีของผมบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น หลังจากเรียนจบมัธยมปลายที่เดียวกัน ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเดินตามเส้นทางฝัน ผมทราบเพียงว่ามันเรียนจบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ในขณะที่ตนเองมาเรียนหมอภูธร ครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้ากัน มันบอกเพียงสั้นๆว่า

"กูอยากเป็นครูบนดอย"

หลังจากนั้นข่าวคราวก็เงียบหายไปเกือบสองปี ผมรู้ข่าวจากครอบครัวมันเพียงว่าไอ้ยศย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยอดดอยหนึ่งตามความฝันของมัน จนกระทั่งวันที่มันโทรมา ถึงได้รู้ว่าดอยที่เลือกนั้นห่างไกลจากความเป็นเมืองมากเหลือเกิน

"หายไปเลยนะ...ไปติดใจสาวชาวดอยหรือไง"

ผมเอ่ยแซวขำๆ ปลายสายเพียงหัวเราะก่อนเอ่ยชวน

"ต้องลองมาดู"

และเพราะมีช่วงเวลาว่างหลังเรียนจบก่อนจะเริ่มงานราวเดือนเศษ ผมจึงบังเกิดความคิดดีงามว่าจะแวะไปเยี่ยมมันสักสองสัปดาห์

"เออดี...เดี๋ยวกูไปหา อยากได้อะไรไหม"

"หอบเครื่องกันหนาวของตัวเองมาให้พอแล้วกัน หมู่บ้านกูมีประปาภูเขากับเครื่องปั่นไฟแล้ว"

ถึงตอนนี้ผมเริ่มนึกเสียใจกับความใจง่ายของตัวเองอยู่บ้าง พร้อมกันกับนึกด่าไอ้ยศที่หลอกเพื่อนให้มาเข้ารกเข้าพง...มันจะให้มาดูอะไร???

"เฮ่ยยย" ผมอุทานเสียงหลงพร้อมทุบกระจกหลังรัวๆ เมื่อจู่ๆสมพงศ์ก็ขับรถเบนจากถนนลงลำธาร!!!

"เป็นงายโหม๋ว" เสียงชายคนขับตะโกนถามแต่ยังไม่ยอมหยุดรถ

"ขับลงน้ำทำไม???"

"ต้อไปทานี้"

เมื่อได้รับคำยืนยันผมก็แทบกุมขมับ ได้แต่นึกในใจว่านี่ผมกำลังถ่ายโฆษณา โตโยต้า วีโก้หรือไร!!!

หลังลุยมาสองลำธาร เมื่อถึงแหล่งที่สามผมก็ชักจะชินและเริ่มสนุก ขณะพยายามทรงตัวบนรถ มือซ้ายโหนราว มือขวาก็คว้ากล้องเตรียมถ่ายคลิป...แต่แล้ว...สมพงศ์กลับหยุดรถ!!!

"มันหม้าย" เสียงคนขับแจ้ง
"อะไรนะ...ไม้ขวางเหรอ" แต่แล้วพอชะโงกดูผมก็ได้คำตอบ...
"เขร้รรรร ล้อไหม้" หม้ายของสมพงศ์ไม่ได้หมายถึงเส้นทางที่โดนกีดขวาง หากแต่หมายถึงควันที่พุ่งโขมงออกจากสองล้อหน้าของกระบะ!!!
ผมกระโจนลงจากรถมาช่วยกันสองแรงแข็งขัน วิดน้ำจากลำธารสาดใส่ล้อโดยอัตโนมัติ

ครู่หนึ่ง...ที่ควันค่อยๆลดลง ล้อรถเหมือนได้รับการบำบัด ผมเริ่มมีแก่ใจได้ชมทิวทัศน์รอบด้านจึงสังเกตเห็นว่าแม้จะเป็นลำธารเล็กๆในป่า แต่สายน้ำนั้นเย็น ใส ดุจกระจกเงา มองส่องได้ถึงกรวดทรายเบื้องล่าง
"ไปๆ เดี๋ยวเมิดนะ" สมพงศ์เอ่ยเตือน

เวลาหกชั่วโมงเศษ หลังผ่านมาหลายโค้ง รถกระบะเหาะขึ้นทะยานลงราวพรมวิเศษณ์ของอาละดิน...ในที่สุด ภาพหมู่บ้านหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตายามตะวันโพล้เพล้

ไอ้ยศเดินออกมารับผมถึงรถ

"ไง" คำทักสั้นๆพร้อมกิริยาตบบ่าแรงๆของมันไม่เคยเปลี่ยน

จากเดิมที่ตั้งใจว่าเจอหน้าจะกระโดดถีบสักโครม ผมทำได้เพียงพยักหน้าให้มัน

ไม่ใช่เพราะเป็นวินาทีแห่งความซาบซึ้งใดๆ
แต่...ผมหมดแรงครับ!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่