ขอออกความเห็นในฐานะคนมีส่วนได้ ส่วนเสียแบบแทงกั๊ก
คือเอาเงินต้น บวกกำไรออกมาแล้วก้อนใหญ่ หุ้นที่เหลือก็เลยกล้าตามไปดู
หุ้นทุกตัวที่ค่าพีอีเวอร์สุดๆ
จะเป็นหุ้นต้มตุ๋นที่ถูกเอามาปั่น หรือเป็นแค่หุ้นปั่นที่อาจจะไม่ได้ต้มตุ๋น
ค่า e ในอนาคตจะเป็นตัวตัดสิน
ผมจะใช้ค่าอี เป็นตัวชี้วัดว่า
หุ้นตัวนั้น เป็นหุ้นต้มตุ๋นที่จำเป็นต้องปั่น
หรือเป็นแค่หุ้นปั่น แต่ไม่ได้ต้มตุ๋น
และเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
คนที่ลงมือก่อน ตั้งแต่ยังไม่ได้ซื้อขายกันที่ราคาอนาคต
จึงเป็นคนที่มีแต้มต่อในหุ้นตัวนั้นๆ สูงมากๆ
ส่วนที่ว่า คนรู้ข่าววงในเทขายหุ้นออกมา เพราะรู้ผลประกอบการ
ผมว่า จริงๆแล้ว ใครมีต้นทุนถูกๆ ก็คงอยากขายทำกำไรกันทั้งนั้น
คำตอบที่ได้จากการประชุมผู้ถือหุ้นก็รู้ได้ โดยไม่ต้องอาศัยข่าววงในว่า
ผลประกอบการไตรมาสแรกต้องออกมาไม่ดี
ลองอ่านคำถามข้อ ๓ ที่ผมถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ตามคลิ๊กนี้ดู
ความคิดเห็นที่ ๑๔ คำถามที่ ๓
http://pantip.com/topic/33579233/comment14
ได้ออกความเห็นเรื่องไอเฟค ไว้ในกระทู้อื่นๆดังนี้
คงสรุปได้ว่า
หุ้นจะต้มตุ๋นหรือไม่ต้มตุ๋นก็ตาม
สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เข้าซื้อตอนที่มั่นใจว่ามีแต้มต่อมากๆ
ไม่มีแต้มต่อมากๆ ยังไงก็ไม่ซื้อครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เห็นราคา ifec ตอนนี้แล้ว
เหนื่อยใจแทนนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาถือหุ้นตอนราคาแพงๆ
ตอนประชุมผู้ถือหุ้น ผมนั่งติดกับนักลงทุนสาวท่านหนึ่ง
เธอเป็นภรรยาของสัตวแพทย์
สามีไม่สนใจเรื่องหุ้น แต่เธอสนใจซื้อหุ้น เพราะได้ปันผลดีกว่าฝากธนาคาร
และก็ได้ทะยอยขายหุ้นบางส่วน เอาเงินต้นของตัวเองออกมาแล้ว
ผมก็บอกว่า ได้ขายเอาหุ้นบางส่วน
เอาเงินต้นออกมา + กำไรเงินปันผลรับสะสม + กำไรส่วนเกินทุน ๖ ล้านจากหุ้นแม่ และวอร์แรนท์แล้วเช่นกัน
หุ้นที่เหลือก็เลยกล้าที่จะตามไปดู
ในวันนั้น เธอชี้ให้ดูข้อมูลในเอกสารการประชุม
แล้วบอกว่า รายย่อยถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพียบเลย
ผมเลยพูดว่า
ก็ไม่รู้มันเป็นเพราะอะไร
หุ้นดีๆ แต่ราคาหุ้นไม่ดี มักจะมีผู้ถือหุ้นน้อยๆ
ตอนหุ้นจะดีๆในอนาคต? แต่ราคาหุ้นดีมากๆ มักจะมีผู้ถือหุ้นมากๆ
แม้แต่หุ้นต้มตุ๋น แต่มีราคาหุ้นดีๆ ก็มักจะมีผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นมากๆ
หริอมันเป็นไปตามที่ว่า
คนในตลาดหุ้น ล้วนไม่เป็นตัวของตัวเอง ?




๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ IFEC เป็นหุ้นต้มตุ๋นหรือไม่ ?
คือเอาเงินต้น บวกกำไรออกมาแล้วก้อนใหญ่ หุ้นที่เหลือก็เลยกล้าตามไปดู
หุ้นทุกตัวที่ค่าพีอีเวอร์สุดๆ
จะเป็นหุ้นต้มตุ๋นที่ถูกเอามาปั่น หรือเป็นแค่หุ้นปั่นที่อาจจะไม่ได้ต้มตุ๋น
ค่า e ในอนาคตจะเป็นตัวตัดสิน
ผมจะใช้ค่าอี เป็นตัวชี้วัดว่า
หุ้นตัวนั้น เป็นหุ้นต้มตุ๋นที่จำเป็นต้องปั่น
หรือเป็นแค่หุ้นปั่น แต่ไม่ได้ต้มตุ๋น
และเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบการในอนาคต
คนที่ลงมือก่อน ตั้งแต่ยังไม่ได้ซื้อขายกันที่ราคาอนาคต
จึงเป็นคนที่มีแต้มต่อในหุ้นตัวนั้นๆ สูงมากๆ
ส่วนที่ว่า คนรู้ข่าววงในเทขายหุ้นออกมา เพราะรู้ผลประกอบการ
ผมว่า จริงๆแล้ว ใครมีต้นทุนถูกๆ ก็คงอยากขายทำกำไรกันทั้งนั้น
คำตอบที่ได้จากการประชุมผู้ถือหุ้นก็รู้ได้ โดยไม่ต้องอาศัยข่าววงในว่า
ผลประกอบการไตรมาสแรกต้องออกมาไม่ดี
ลองอ่านคำถามข้อ ๓ ที่ผมถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ตามคลิ๊กนี้ดู
ความคิดเห็นที่ ๑๔ คำถามที่ ๓
http://pantip.com/topic/33579233/comment14
ได้ออกความเห็นเรื่องไอเฟค ไว้ในกระทู้อื่นๆดังนี้
คงสรุปได้ว่า
หุ้นจะต้มตุ๋นหรือไม่ต้มตุ๋นก็ตาม
สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เข้าซื้อตอนที่มั่นใจว่ามีแต้มต่อมากๆ
ไม่มีแต้มต่อมากๆ ยังไงก็ไม่ซื้อครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เห็นราคา ifec ตอนนี้แล้ว
เหนื่อยใจแทนนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาถือหุ้นตอนราคาแพงๆ
ตอนประชุมผู้ถือหุ้น ผมนั่งติดกับนักลงทุนสาวท่านหนึ่ง
เธอเป็นภรรยาของสัตวแพทย์
สามีไม่สนใจเรื่องหุ้น แต่เธอสนใจซื้อหุ้น เพราะได้ปันผลดีกว่าฝากธนาคาร
และก็ได้ทะยอยขายหุ้นบางส่วน เอาเงินต้นของตัวเองออกมาแล้ว
ผมก็บอกว่า ได้ขายเอาหุ้นบางส่วน
เอาเงินต้นออกมา + กำไรเงินปันผลรับสะสม + กำไรส่วนเกินทุน ๖ ล้านจากหุ้นแม่ และวอร์แรนท์แล้วเช่นกัน
หุ้นที่เหลือก็เลยกล้าที่จะตามไปดู
ในวันนั้น เธอชี้ให้ดูข้อมูลในเอกสารการประชุม
แล้วบอกว่า รายย่อยถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพียบเลย
ผมเลยพูดว่า
ก็ไม่รู้มันเป็นเพราะอะไร
หุ้นดีๆ แต่ราคาหุ้นไม่ดี มักจะมีผู้ถือหุ้นน้อยๆ
ตอนหุ้นจะดีๆในอนาคต? แต่ราคาหุ้นดีมากๆ มักจะมีผู้ถือหุ้นมากๆ
แม้แต่หุ้นต้มตุ๋น แต่มีราคาหุ้นดีๆ ก็มักจะมีผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นมากๆ
หริอมันเป็นไปตามที่ว่า
คนในตลาดหุ้น ล้วนไม่เป็นตัวของตัวเอง ?