สวัสดีค่ะ มีเรื่องอยากจะมาพิมพ์ให้อ่านกันค่ะ
ค่อนข้างจะยาวเลยทีเดียว -_-"
เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึง(ต่อไปจะเรียกว่า
ตอ) เธอเป็นแฟนเก่าของแฟนเรา (ต่อไปจะเรียกว่า
T)ค่ะ
หลายคนคงเคยได้อ่านเรื่องราวแย่ๆจากแฟนเก่าจากสมาชิกท่านอื่นๆกันมาบ้างแล้ว คราวนี้ เราขอมาแชร์บ้างค่ะ เริ่มเลยนะคะ
ย้อนไปเมื่อเมษาปีที่แล้ว(2557) ตอมาขอร้องให้Tพาเธอไปส่งบ้านเพื่อน แต่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุรถชนระหว่างเดินทาง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ค่ะ
อุบัติเหตุครั้งนี้ Tเป็นฝ่ายผิดค่ะ เนื่องจากรถผ่าสัญญาณไฟไปชนกับรถโดยสาร(รถกระป๋อง) แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ
1. เป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
2. หักหลบรถแท็กซี่ที่ปาดออกมาจากข้างทาง พอหลบเสร็จ ก็ไปชนกับรถโดยสารที่ข้ามแยกไฟแดงมาเลยค่ะ (แท็กซี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย)
เวลานั้น ตอกับTเลิกกันแล้วนะคะ แต่ตอยังมาวนเวียน ไม่ยอมปล่อย และมารู้ทีหลังว่าTและเรากำลังดูใจกันอยู่หลังจากรถชน
ที่เรากับTยังไม่เปิดตัวเพราะรู้ดีว่าตอเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างรุนแรง ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ชอบเอาชนะ และชอบคิดมโนไปเอง ถ้าเปิดตัวคนใหม่ไปจะทำให้เกิดเรื่อง อยากจะรอทยอยเอาเงินที่ตอทวงมาหลังจากเลิกกัน(จะได้อ่านรายละเอียดในลำดับถัดไป)ให้ตอไปซักจำนวนนึงก่อนค่อยให้รู้ เพราะตอต้องไม่รอให้ทยอยจ่ายและจะเอาเงินก้อนแน่นอน และอีกเหตุผลก็คือ "ความรู้สึกผิด/ความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ" ค่ะ
2คนนี้เคยคบกันมาประมาณ7ปี เคยประสบอุบัติเหตุ(มอเตอร์ไซค์) บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ ตอสมองบวม กระดูกไหปลาร้าหัก ส่วนTกระดูกกราม กระดูกแขนขาหักต้องเสริมเหล็กค่ะ อันนี้ก็คือความรู้สึกผิดว่า ตัวเองเป็นคนพาตอไปเกิดอุบัติเหตุ
รถคันปัจจุบันที่Tใช้งานอยู่ ดาวน์มาด้วยเงินของTและตอรวมกัน พอเลิกกันแล้วตอก็ยังอ้างว่าตนเองมีสิทธ์จะใช้รถ เนื่องจากก็มีเงินตัวเองดาวน์ด้วย จึงไม่สามารถปฏิเสธการไปรับ-ส่งเธอได้ค่ะ (ตอนแรกทยอยคืน แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ได้คืนเป็นเงินก้อนของเงินส่วนของตอไปแล้ว)
กลับมาวันที่เกิดอุบัติเหตุ ตอได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใกล้ๆ แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆค่ะ เธอจึงเดินทางไปเที่ยวสงกรานต์กับเพื่อนเธอที่จังหวัดก.ต่อ ส่วนรถTที่เกิดอุบัติเหตุ ต้องลากไปทิ้งไว้ที่อู่ เพื่อรอซ่อมหลังจากเปิดสงกรานต์ รออะไหล่จนซ่อมเสร็จกินเวลาร่วม4เดือนค่ะ
ข้าวของในรถ เพื่อนของตอมาช่วยรวบรวมเอาไปเก็บไว้ให้ หลังจากชนไม่กี่วันเราก็ได้เข้าไปเอาของที่บ้านเพื่อนตอกับT ทำให้ตอรู้ว่า เราและTกำลังคบกันอยู่ค่ะ
หลังจากที่ตอไปเที่ยว ก็เกิดอาการปวดหลังจึงไปพบแพทย์ และตรวจพบว่ากระดูกสันหลังหัก ต้องพักรักษาตัว30วันค่ะ โดยพักที่บ้านของเพื่อนที่จังหวัด ก. นั่นแหละค่ะ
หลังจากพัก30วัน ตอกลับมากทม. สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้แล้ว ช่วงปลายๆพฤษภา Tจึงนัดตอว่าจะไปรับเพื่อไปให้ปากคำที่สน. และรถที่จะนำไปรับคือรถของเราค่ะ พอบอกไปว่าเป็นรถเรา ตอถึงกับของขึ้น ส่งข้อความมาหาเรา โทรไลน์มาหาเราเลยค่ะ แต่เราไม่ตอบและไม่รับสาย
เข้าใจค่ะ เอารถแฟนใหม่ไปรับแฟนเก่า มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ แต่ในเมื่อรถรอซ่อม ไม่มีรถใช้ แล้วคนเพิ่งขับรถไปชนมา ใครจะอยากให้ยืมรถไปขับคะ? วันนั้นเราลงทุนลางาน เพื่อที่จะเอารถไปให้ใช้ คิดว่าเราอยากให้แฟนเก่าของแฟนมาสัมผัสรถเราหรอคะ ไม่เลยค่ะ แต่มันจำเป็น
สุดท้ายตอไม่ไปสน.ค่ะ
จากที่เราเฉยๆ ไม่อยากมีเรื่องด้วย ไม่เคยtagรูปT วันนั้นเราเปลี่ยนรูปProfile เป็นรูปคู่และtag Tเลยค่ะ เพื่อนๆของตอที่เห็นรูปคู่เรากับT ก็คงไปถามตอกันใหญ่โตว่าเกิดอะไรขึ้น และเย็นนั้น ตอโพสท์เฟสบุ้คด่าเราและTเละเทะเลยค่ะ
แล้วก็เป็นไปตามคาดค่ะ พอรู้ว่าTมีคนใหม่แล้วตอก็มาทวงนู่นนี่นั่นมากมายกับT หลักๆคือจะเอาเงินก้อนที่ตอเคยจ่ายเพื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ กับดาวน์รถยนต์คันแรก (ตออ้างว่าออกเงินจ่ายให้ก่อนเพื่อจะให้Tเอามาใช้) เงินดาวน์รถคันปัจจุบันและเงินคืนภาษีรถคันแรกค่ะ
สำหรับมอเตอร์ไซค์กับรถคันแรกก็เอามาใช้งานด้วยกันในช่วงเวลาที่คบกันอยู่ด้วยกันมาในช่วง7ปีก่อนเลิก(มอเตอร์ไซค์พังจากอุบัติเหตุ รถยนต์ขายต่อไปแล้ว ปัจจุบันไม่ได้มีฝ่ายไหนครอบครองไว้เอง)
ถ้าจะทวงคืนกันจริงๆนี่คำนวณกันหน้ามืดค่ะ แยกไม่ออกหรอกว่าอะไรเงินใคร ตอคงลืมไปว่าเงินที่ตอเอาไปรักษาผิวหน้า ดัดฟัน ใช้ทุนฯ ซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอโฟน ค่าที่อยู่อาศัย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ก็มีเงินของTรวมอยู่ พอเลิกกัน Tออกมาแต่ตัวพร้อมกับเสื้อผ้าชุดทำงาน มือถือเก่าๆ รถยนต์คันปัจจุบัน และหนี้บัตรเครดิต เงินเก็บคือ 0 ค่ะ
ดังนั้นเมื่อเอามาพิจารณาดูแล้ว ส่วนที่เหมาะสมที่สุดในการคืนให้ตอก็คือ การคืนเงินดาวน์รถคันปัจจุบัน เพราะรถจดทะเบียนเป็นชื่อของT และTก็เป็นคนครอบครองอยู่ รับผิดชอบการผ่อนอยู่
แต่เพื่อตัดความรำคาญ Tจึงโอนเงินให้ตอไปตอนช่วงก่อนสิ้นเดือนพฤษภา57 ตามนี้ค่ะ
-ค่ามอเตอร์ไซค์ครึ่งนึง
-ค่าดาวน์รถคันเก่าครึ่งนึง
-ค่าเงินดาวน์ส่วนของตอสำหรับรถคันปัจจุบัน
พอตกลงยอดเงินกัน Tก็โอนเงินให้ตอไปค่ะ โดยตกลงกันว่าจะจบกันที่ก้อนนี้
หลังจากตอได้เงินไป ประมาณ1อาทิตย์ให้หลัง ตอเปิดตัวแฟนใหม่ค่าาาาาาา (ต่อไปนี้จะเรียกว่า
ค. นะคะ)
เดือนสิงหา57 Tพยายามนัดตอไปสน.เพื่อให้ปากคำอีกครั้ง หลังจากที่รอบแรกตอไม่ยอมไป และคราวนี้ตอไปค่ะ ตอมีแฟนใหม่แล้ว ตอก็เลยไปกับ ค. ค่ะ
ตำรวจถามตอว่า ทำไมไม่มาสน.บ้างเลย ตอตอบกลับไปว่า "ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเลยค่ะ" โอ้โห ตอสมชื่อค่ะ 555
หลังจากครั้งแรกที่ตอไปสน.เรื่องคดีรถชนก็ทิ้งช่วงไปนานมาก แต่ระหว่างที่เรื่องรถชนเงียบหายไป ตอก็ยังไม่วายมารังควานอยู่เนืองๆค่ะ เช่น จะเอาเงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกครึ่งนึงบ้างหล่ะ จะเอาเสื้อบ้างหล่ะ จะเอาทองบ้างหล่ะ เยอะค่ะ เยอะสุดๆ น่ารำคาญมากๆ ไม่รู้ว่า ค. ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง ที่แฟนตัวเองยังพยายามนึกพยายามคิดหาเรื่องทวงนู่นนี่นั่นกับแฟนเก่าตลอดๆ
ตอพูดวกไปวนมาทั้งในไลน์ และแชทเฟสบุ้ค จะเอาท่าเดียว อารมณ์ก็ขึ้นๆลงๆ วันดีคืนดีก็มาพูดคำหยาบใส่ Tรำคาญก็เลยอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง อ่านแล้วไม่ตอบอะไรแบบนี้
จนเมื่อเดือนธันวา57 Tส่งข้อความInboxเฟสบุ้คไปหา ค. ว่าไม่อยากจะต้องมาวุ่นวายกับตออีกแล้ว แฟนคุณคุณก็ดูแลไป เรื่องเงินคืนภาษีก็เลิกทวงได้แล้ว ค.ก็ตอบมาปัดๆเรื่องของTกับตอ ค.ไม่รู้ด้วย ไปตกลงกันเอาเอง
ว่าแล้วตอก็ทักแชทเฟสบุ้คTมาเลยค่ะ ตอบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยผ่อนรถครึ่งนึง (เพื่อที่ตอจะได้เงินคืนภาษีรถคันแรกด้วยครึ่งนึง) แล้วก็ให้เอารถไปให้ตอใช้ตามจำนวนวันที่Tเคยครอบครอง แล้วพอครอบครองได้เท่ากันแล้วก็สลับกันใช้คนละเดือน หรือคนละอาทิตย์ก็ว่ากันไปค่ะ แหม..ความคิดเฉียบแหลมเหลือเกินค่ะ แถมบอกด้วยว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้าไปเอารถซะด้วย Tกลัวจะมาเอารถแทบแย่แน่ะค่ะ จดทะเบียนก็ชื่อT คนที่ผ่อนมาตลอดก็เป็นT ยกตำรวจมาทั้งสน.ก็เอารถไปไม่ได้ค่ะเธอ (..แล้วก็ไม่เห็นจะโผล่ศีรษะมาเอานี่คะ)
คุยไปคุยมา ก็บอกว่า ไม่เอาก็ได้เงินคืนภาษีน่ะ แต่!! แต่ตอจะเอาค่ามอเตอร์ไซค์คืนทั้งหมด และTจำได้มั้ย ทองที่แม่ตอเคยให้ตอนตอรับปริญญา ตอต้องเอามาขายเพื่อใช้จ่ายตอนอยู่ด้วยกันกับT ตออยากได้คืน จะคืนเป็นเงิน หรือคืนมาเป็นทองครึ่งนึงก็ได้ (เรื่องทองที่แม่ให้มาตอแคร์มากๆ...ตอแคร์ทองที่แม่ให้มามากค่ะ แต่ตอแทบไม่เคยกลับบ้านไปหาแม่เลย สรุปแคร์ทองหรือแคร์แม่คะตอ) ได้นั่นจะเอานี่ ไม่ได้นี่จะเอานู่นค่ะ Tก็ไม่ได้สนทนาอะไรต่อด้วยเหมือนเดิมค่ะ
จบจากวันนั้นไปก็ยังตามมาทวงของ จะเอานั่นนี่คืนเรื่อยๆค่ะ
และจนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนมีนาคม58ที่ผ่านมา Tก็ได้รบกวนให้ทางตำรวจช่วยนัดตอมาเคลียร์คดีกันค่ะ ที่ไม่ติดต่อหาเองโดยตรงก็เพราะไม่อยากจะมีเรื่องให้มากไปกว่านี้ค่ะ ให้คนกลางคุยจะดีกว่า
ตอเป็นคนกำหนดวันและเวลานัดเองเลยค่ะ แต่อยู่ๆก็มาขอเปลี่ยนเวลากะทันหัน Tจึงให้ประกันไปเจรจาแทน ได้ความว่า
1. ตอต้องการเงินสินไหม 200,000บาท โดยอ้างว่าตนเองกระดูกสันหลังหัก ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
2. เอกสารอ้างอิงของตอมีไม่เพียงพอ ไม่สอดคล้องกับยอดเงิน
3. ตอขอกลับไปเตรียมเอกสารเพิ่มเติม
และหลังจากนั้น1อาทิตย์ อยู่ๆตอก็เกิดปวดหลังแอดมิทกะทันหันขึ้นมาซะอย่างนั้น นอนโรงพยาบาลไป2อาทิตย์ค่ะ หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนมหาลัยได้ทันทีเลยค่ะ
ทิ้งช่วง2วัน ตอก็มาสน.อีกครั้งเพื่อเอาเอกสารหลักฐานมาให้กับประกันค่ะ สิ่งที่ได้จากการไปสน.ครั้งนี้คือ
1. ตอเอาใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่ากระดูกสันหลังหักถาวรมาให้ประกัน
2. แพทย์ระบุให้พักต่ออีกเป็นเวลาอีก30วัน
3. ตอเปลี่ยนใจ จะเอาเงินสินไหม 350,000บาท
4. ตอเน้นย้ำมากว่าปวดหลังตลอดเวลา ใช้ชีวิตไม่ได้เหมือนปกติ ชาไปแล้วซีกนึง
ประกันก็รวบรวมเอกสารไป และขอนัดเพื่อแจ้งยอดสินไหมที่ประกันจะอนุมัติให้ในอาทิตย์ถัดไป ซึ่งผลก็คือ ประกันจะจ่ายให้ประมาณ 140,000บาทค่ะ แน่นอนค่ะ ตอไม่ยอม สามีค.ของตอ (อ้อ..จดทะเบียนสมรสกันแล้วนะคะสองคนนี้ เร็วจัง)ก็ปรี๊ดน่าดูค่ะ
ประกันเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวขอไปพิจารณาให้ใหม่ แล้วมาตกลงกันที่สน.อีกรอบ ปรากฏว่าตอไม่มาตามนัดค่ะ พร้อมอ้างว่าถ้าไม่ได้เท่าที่ตัวเองเรียกไป ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมา ทางประกันเองก็ยังยืนยันว่าจ่ายให้ได้เท่าเดิม Tจึงเสนอเพิ่มเติมลงในบันทึกประจำวันไปว่าจะช่วยเหลืออีก 10,000บาท รวมกับประกันแล้วก็จะประมาณ 150,000บาท
หลังจากนั้นไม่กี่วันค่ะ (ต้นเดือนเมษา58) อยู่ๆก็มีจดหมายมาจากบริษัททนายความส่งมาถึงบ้านTเลย เนื้อหาจดหมายกล่าวอ้างว่าTและบริษัทประกันเพิกเฉยที่จะรับผิดชอบ ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตอ คร่าวๆว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ตอได้รับบาดเจ็บ กระดูกสันหลังช่วงอกต่อกับเอวข้อที่12หัก มีอาการเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา และทุพพลภาพ ต้องได้รับการรักษาตัวต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่สามารถทำให้หายขาดเป็นปกติ และไม่สามารถทำงาน หรือใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนเดิมได้ และเรียกร้องเงิน 2ล้านบาท
สำหรับอาการปวดหลังเนื่องจากกระดูกสันหลังหักจากอุบัติเหตุเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เราคิดว่าอาจเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติค่ะ มักแสดงออกมาเมื่อตอต้องทำงานบ้าน หรือทำงาน แต่อาการดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อตอไปเที่ยวค่ะ
ตอไปเที่ยวหัวหินได้
ไปเล่นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นได้
ปีนรถไฟโหนรถไฟถ่ายรูปได้
ไปเที่ยวเกาะราชาที่ภูเก็ตได้
ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนได้
ไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณได้
นี่แค่ส่วนนึงของการออกเที่ยวของตอหลังจากรถชนเมื่อเมษาปีที่แล้วค่ะ
และล่าสุด ต้นเดือนพฤษภา58 ไปวังเวียงประเทศลาวได้ แถมยังทำกิจกรรมยอดฮิตของที่นั่นได้อีกด้วย
ถ้ามีอาการปวดหลังจนถึงขั้นอ้างว่าทุพพลภาพจริง ตอจะสามารถเที่ยวกระหน่ำได้แบบนี้หรอคะ?
ถ้าเป็นมากจริงๆ แต่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รักตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง ใครจะช่วยอะไรได้คะ?
ตอนนี้ คดียังค้างคาอยู่ค่ะ รอตออยู่คนเดียวนี่แหละ
เมื่อไหร่จะหลุดออกไปจากชีวิตพวกเราซะทีก็ไม่รู้...หรือต้องเอาบุหรี่จี้คะ?!?!
เพิ่มเติม
ตอและสามีมีลูกด้วยกันแล้วนะคะ คลอดไปเมื่อเดือนมีนาคม59ที่ผ่านมา
คดีกำลังจะจบแล้ว รอนัดครั้งถัดไปเดือนมิถุนายนจะได้แยกย้ายซักทีค่ะ
มหากาพย์แฟนเก่า น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร
เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนึง(ต่อไปจะเรียกว่าตอ) เธอเป็นแฟนเก่าของแฟนเรา (ต่อไปจะเรียกว่า T)ค่ะ
หลายคนคงเคยได้อ่านเรื่องราวแย่ๆจากแฟนเก่าจากสมาชิกท่านอื่นๆกันมาบ้างแล้ว คราวนี้ เราขอมาแชร์บ้างค่ะ เริ่มเลยนะคะ
ย้อนไปเมื่อเมษาปีที่แล้ว(2557) ตอมาขอร้องให้Tพาเธอไปส่งบ้านเพื่อน แต่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุรถชนระหว่างเดินทาง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ค่ะ
อุบัติเหตุครั้งนี้ Tเป็นฝ่ายผิดค่ะ เนื่องจากรถผ่าสัญญาณไฟไปชนกับรถโดยสาร(รถกระป๋อง) แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ
1. เป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
2. หักหลบรถแท็กซี่ที่ปาดออกมาจากข้างทาง พอหลบเสร็จ ก็ไปชนกับรถโดยสารที่ข้ามแยกไฟแดงมาเลยค่ะ (แท็กซี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย)
เวลานั้น ตอกับTเลิกกันแล้วนะคะ แต่ตอยังมาวนเวียน ไม่ยอมปล่อย และมารู้ทีหลังว่าTและเรากำลังดูใจกันอยู่หลังจากรถชน
ที่เรากับTยังไม่เปิดตัวเพราะรู้ดีว่าตอเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างรุนแรง ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ชอบเอาชนะ และชอบคิดมโนไปเอง ถ้าเปิดตัวคนใหม่ไปจะทำให้เกิดเรื่อง อยากจะรอทยอยเอาเงินที่ตอทวงมาหลังจากเลิกกัน(จะได้อ่านรายละเอียดในลำดับถัดไป)ให้ตอไปซักจำนวนนึงก่อนค่อยให้รู้ เพราะตอต้องไม่รอให้ทยอยจ่ายและจะเอาเงินก้อนแน่นอน และอีกเหตุผลก็คือ "ความรู้สึกผิด/ความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ" ค่ะ
2คนนี้เคยคบกันมาประมาณ7ปี เคยประสบอุบัติเหตุ(มอเตอร์ไซค์) บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ ตอสมองบวม กระดูกไหปลาร้าหัก ส่วนTกระดูกกราม กระดูกแขนขาหักต้องเสริมเหล็กค่ะ อันนี้ก็คือความรู้สึกผิดว่า ตัวเองเป็นคนพาตอไปเกิดอุบัติเหตุ
รถคันปัจจุบันที่Tใช้งานอยู่ ดาวน์มาด้วยเงินของTและตอรวมกัน พอเลิกกันแล้วตอก็ยังอ้างว่าตนเองมีสิทธ์จะใช้รถ เนื่องจากก็มีเงินตัวเองดาวน์ด้วย จึงไม่สามารถปฏิเสธการไปรับ-ส่งเธอได้ค่ะ (ตอนแรกทยอยคืน แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ได้คืนเป็นเงินก้อนของเงินส่วนของตอไปแล้ว)
กลับมาวันที่เกิดอุบัติเหตุ ตอได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใกล้ๆ แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆค่ะ เธอจึงเดินทางไปเที่ยวสงกรานต์กับเพื่อนเธอที่จังหวัดก.ต่อ ส่วนรถTที่เกิดอุบัติเหตุ ต้องลากไปทิ้งไว้ที่อู่ เพื่อรอซ่อมหลังจากเปิดสงกรานต์ รออะไหล่จนซ่อมเสร็จกินเวลาร่วม4เดือนค่ะ
ข้าวของในรถ เพื่อนของตอมาช่วยรวบรวมเอาไปเก็บไว้ให้ หลังจากชนไม่กี่วันเราก็ได้เข้าไปเอาของที่บ้านเพื่อนตอกับT ทำให้ตอรู้ว่า เราและTกำลังคบกันอยู่ค่ะ
หลังจากที่ตอไปเที่ยว ก็เกิดอาการปวดหลังจึงไปพบแพทย์ และตรวจพบว่ากระดูกสันหลังหัก ต้องพักรักษาตัว30วันค่ะ โดยพักที่บ้านของเพื่อนที่จังหวัด ก. นั่นแหละค่ะ
หลังจากพัก30วัน ตอกลับมากทม. สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้แล้ว ช่วงปลายๆพฤษภา Tจึงนัดตอว่าจะไปรับเพื่อไปให้ปากคำที่สน. และรถที่จะนำไปรับคือรถของเราค่ะ พอบอกไปว่าเป็นรถเรา ตอถึงกับของขึ้น ส่งข้อความมาหาเรา โทรไลน์มาหาเราเลยค่ะ แต่เราไม่ตอบและไม่รับสาย
เข้าใจค่ะ เอารถแฟนใหม่ไปรับแฟนเก่า มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ แต่ในเมื่อรถรอซ่อม ไม่มีรถใช้ แล้วคนเพิ่งขับรถไปชนมา ใครจะอยากให้ยืมรถไปขับคะ? วันนั้นเราลงทุนลางาน เพื่อที่จะเอารถไปให้ใช้ คิดว่าเราอยากให้แฟนเก่าของแฟนมาสัมผัสรถเราหรอคะ ไม่เลยค่ะ แต่มันจำเป็น
สุดท้ายตอไม่ไปสน.ค่ะ
จากที่เราเฉยๆ ไม่อยากมีเรื่องด้วย ไม่เคยtagรูปT วันนั้นเราเปลี่ยนรูปProfile เป็นรูปคู่และtag Tเลยค่ะ เพื่อนๆของตอที่เห็นรูปคู่เรากับT ก็คงไปถามตอกันใหญ่โตว่าเกิดอะไรขึ้น และเย็นนั้น ตอโพสท์เฟสบุ้คด่าเราและTเละเทะเลยค่ะ
แล้วก็เป็นไปตามคาดค่ะ พอรู้ว่าTมีคนใหม่แล้วตอก็มาทวงนู่นนี่นั่นมากมายกับT หลักๆคือจะเอาเงินก้อนที่ตอเคยจ่ายเพื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ กับดาวน์รถยนต์คันแรก (ตออ้างว่าออกเงินจ่ายให้ก่อนเพื่อจะให้Tเอามาใช้) เงินดาวน์รถคันปัจจุบันและเงินคืนภาษีรถคันแรกค่ะ
สำหรับมอเตอร์ไซค์กับรถคันแรกก็เอามาใช้งานด้วยกันในช่วงเวลาที่คบกันอยู่ด้วยกันมาในช่วง7ปีก่อนเลิก(มอเตอร์ไซค์พังจากอุบัติเหตุ รถยนต์ขายต่อไปแล้ว ปัจจุบันไม่ได้มีฝ่ายไหนครอบครองไว้เอง)
ถ้าจะทวงคืนกันจริงๆนี่คำนวณกันหน้ามืดค่ะ แยกไม่ออกหรอกว่าอะไรเงินใคร ตอคงลืมไปว่าเงินที่ตอเอาไปรักษาผิวหน้า ดัดฟัน ใช้ทุนฯ ซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอโฟน ค่าที่อยู่อาศัย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ก็มีเงินของTรวมอยู่ พอเลิกกัน Tออกมาแต่ตัวพร้อมกับเสื้อผ้าชุดทำงาน มือถือเก่าๆ รถยนต์คันปัจจุบัน และหนี้บัตรเครดิต เงินเก็บคือ 0 ค่ะ
ดังนั้นเมื่อเอามาพิจารณาดูแล้ว ส่วนที่เหมาะสมที่สุดในการคืนให้ตอก็คือ การคืนเงินดาวน์รถคันปัจจุบัน เพราะรถจดทะเบียนเป็นชื่อของT และTก็เป็นคนครอบครองอยู่ รับผิดชอบการผ่อนอยู่
แต่เพื่อตัดความรำคาญ Tจึงโอนเงินให้ตอไปตอนช่วงก่อนสิ้นเดือนพฤษภา57 ตามนี้ค่ะ
-ค่ามอเตอร์ไซค์ครึ่งนึง
-ค่าดาวน์รถคันเก่าครึ่งนึง
-ค่าเงินดาวน์ส่วนของตอสำหรับรถคันปัจจุบัน
พอตกลงยอดเงินกัน Tก็โอนเงินให้ตอไปค่ะ โดยตกลงกันว่าจะจบกันที่ก้อนนี้
หลังจากตอได้เงินไป ประมาณ1อาทิตย์ให้หลัง ตอเปิดตัวแฟนใหม่ค่าาาาาาา (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ค. นะคะ)
เดือนสิงหา57 Tพยายามนัดตอไปสน.เพื่อให้ปากคำอีกครั้ง หลังจากที่รอบแรกตอไม่ยอมไป และคราวนี้ตอไปค่ะ ตอมีแฟนใหม่แล้ว ตอก็เลยไปกับ ค. ค่ะ
ตำรวจถามตอว่า ทำไมไม่มาสน.บ้างเลย ตอตอบกลับไปว่า "ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเลยค่ะ" โอ้โห ตอสมชื่อค่ะ 555
หลังจากครั้งแรกที่ตอไปสน.เรื่องคดีรถชนก็ทิ้งช่วงไปนานมาก แต่ระหว่างที่เรื่องรถชนเงียบหายไป ตอก็ยังไม่วายมารังควานอยู่เนืองๆค่ะ เช่น จะเอาเงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกครึ่งนึงบ้างหล่ะ จะเอาเสื้อบ้างหล่ะ จะเอาทองบ้างหล่ะ เยอะค่ะ เยอะสุดๆ น่ารำคาญมากๆ ไม่รู้ว่า ค. ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง ที่แฟนตัวเองยังพยายามนึกพยายามคิดหาเรื่องทวงนู่นนี่นั่นกับแฟนเก่าตลอดๆ
ตอพูดวกไปวนมาทั้งในไลน์ และแชทเฟสบุ้ค จะเอาท่าเดียว อารมณ์ก็ขึ้นๆลงๆ วันดีคืนดีก็มาพูดคำหยาบใส่ Tรำคาญก็เลยอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง อ่านแล้วไม่ตอบอะไรแบบนี้
จนเมื่อเดือนธันวา57 Tส่งข้อความInboxเฟสบุ้คไปหา ค. ว่าไม่อยากจะต้องมาวุ่นวายกับตออีกแล้ว แฟนคุณคุณก็ดูแลไป เรื่องเงินคืนภาษีก็เลิกทวงได้แล้ว ค.ก็ตอบมาปัดๆเรื่องของTกับตอ ค.ไม่รู้ด้วย ไปตกลงกันเอาเอง
ว่าแล้วตอก็ทักแชทเฟสบุ้คTมาเลยค่ะ ตอบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยผ่อนรถครึ่งนึง (เพื่อที่ตอจะได้เงินคืนภาษีรถคันแรกด้วยครึ่งนึง) แล้วก็ให้เอารถไปให้ตอใช้ตามจำนวนวันที่Tเคยครอบครอง แล้วพอครอบครองได้เท่ากันแล้วก็สลับกันใช้คนละเดือน หรือคนละอาทิตย์ก็ว่ากันไปค่ะ แหม..ความคิดเฉียบแหลมเหลือเกินค่ะ แถมบอกด้วยว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้าไปเอารถซะด้วย Tกลัวจะมาเอารถแทบแย่แน่ะค่ะ จดทะเบียนก็ชื่อT คนที่ผ่อนมาตลอดก็เป็นT ยกตำรวจมาทั้งสน.ก็เอารถไปไม่ได้ค่ะเธอ (..แล้วก็ไม่เห็นจะโผล่ศีรษะมาเอานี่คะ)
คุยไปคุยมา ก็บอกว่า ไม่เอาก็ได้เงินคืนภาษีน่ะ แต่!! แต่ตอจะเอาค่ามอเตอร์ไซค์คืนทั้งหมด และTจำได้มั้ย ทองที่แม่ตอเคยให้ตอนตอรับปริญญา ตอต้องเอามาขายเพื่อใช้จ่ายตอนอยู่ด้วยกันกับT ตออยากได้คืน จะคืนเป็นเงิน หรือคืนมาเป็นทองครึ่งนึงก็ได้ (เรื่องทองที่แม่ให้มาตอแคร์มากๆ...ตอแคร์ทองที่แม่ให้มามากค่ะ แต่ตอแทบไม่เคยกลับบ้านไปหาแม่เลย สรุปแคร์ทองหรือแคร์แม่คะตอ) ได้นั่นจะเอานี่ ไม่ได้นี่จะเอานู่นค่ะ Tก็ไม่ได้สนทนาอะไรต่อด้วยเหมือนเดิมค่ะ
จบจากวันนั้นไปก็ยังตามมาทวงของ จะเอานั่นนี่คืนเรื่อยๆค่ะ
และจนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนมีนาคม58ที่ผ่านมา Tก็ได้รบกวนให้ทางตำรวจช่วยนัดตอมาเคลียร์คดีกันค่ะ ที่ไม่ติดต่อหาเองโดยตรงก็เพราะไม่อยากจะมีเรื่องให้มากไปกว่านี้ค่ะ ให้คนกลางคุยจะดีกว่า
ตอเป็นคนกำหนดวันและเวลานัดเองเลยค่ะ แต่อยู่ๆก็มาขอเปลี่ยนเวลากะทันหัน Tจึงให้ประกันไปเจรจาแทน ได้ความว่า
1. ตอต้องการเงินสินไหม 200,000บาท โดยอ้างว่าตนเองกระดูกสันหลังหัก ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
2. เอกสารอ้างอิงของตอมีไม่เพียงพอ ไม่สอดคล้องกับยอดเงิน
3. ตอขอกลับไปเตรียมเอกสารเพิ่มเติม
และหลังจากนั้น1อาทิตย์ อยู่ๆตอก็เกิดปวดหลังแอดมิทกะทันหันขึ้นมาซะอย่างนั้น นอนโรงพยาบาลไป2อาทิตย์ค่ะ หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนมหาลัยได้ทันทีเลยค่ะ
ทิ้งช่วง2วัน ตอก็มาสน.อีกครั้งเพื่อเอาเอกสารหลักฐานมาให้กับประกันค่ะ สิ่งที่ได้จากการไปสน.ครั้งนี้คือ
1. ตอเอาใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่ากระดูกสันหลังหักถาวรมาให้ประกัน
2. แพทย์ระบุให้พักต่ออีกเป็นเวลาอีก30วัน
3. ตอเปลี่ยนใจ จะเอาเงินสินไหม 350,000บาท
4. ตอเน้นย้ำมากว่าปวดหลังตลอดเวลา ใช้ชีวิตไม่ได้เหมือนปกติ ชาไปแล้วซีกนึง
ประกันก็รวบรวมเอกสารไป และขอนัดเพื่อแจ้งยอดสินไหมที่ประกันจะอนุมัติให้ในอาทิตย์ถัดไป ซึ่งผลก็คือ ประกันจะจ่ายให้ประมาณ 140,000บาทค่ะ แน่นอนค่ะ ตอไม่ยอม สามีค.ของตอ (อ้อ..จดทะเบียนสมรสกันแล้วนะคะสองคนนี้ เร็วจัง)ก็ปรี๊ดน่าดูค่ะ
ประกันเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวขอไปพิจารณาให้ใหม่ แล้วมาตกลงกันที่สน.อีกรอบ ปรากฏว่าตอไม่มาตามนัดค่ะ พร้อมอ้างว่าถ้าไม่ได้เท่าที่ตัวเองเรียกไป ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมา ทางประกันเองก็ยังยืนยันว่าจ่ายให้ได้เท่าเดิม Tจึงเสนอเพิ่มเติมลงในบันทึกประจำวันไปว่าจะช่วยเหลืออีก 10,000บาท รวมกับประกันแล้วก็จะประมาณ 150,000บาท
หลังจากนั้นไม่กี่วันค่ะ (ต้นเดือนเมษา58) อยู่ๆก็มีจดหมายมาจากบริษัททนายความส่งมาถึงบ้านTเลย เนื้อหาจดหมายกล่าวอ้างว่าTและบริษัทประกันเพิกเฉยที่จะรับผิดชอบ ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตอ คร่าวๆว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ตอได้รับบาดเจ็บ กระดูกสันหลังช่วงอกต่อกับเอวข้อที่12หัก มีอาการเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา และทุพพลภาพ ต้องได้รับการรักษาตัวต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่สามารถทำให้หายขาดเป็นปกติ และไม่สามารถทำงาน หรือใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนเดิมได้ และเรียกร้องเงิน 2ล้านบาท
สำหรับอาการปวดหลังเนื่องจากกระดูกสันหลังหักจากอุบัติเหตุเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เราคิดว่าอาจเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติค่ะ มักแสดงออกมาเมื่อตอต้องทำงานบ้าน หรือทำงาน แต่อาการดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อตอไปเที่ยวค่ะ
ตอไปเที่ยวหัวหินได้
ไปเล่นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นได้
ปีนรถไฟโหนรถไฟถ่ายรูปได้
ไปเที่ยวเกาะราชาที่ภูเก็ตได้
ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนได้
ไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณได้
นี่แค่ส่วนนึงของการออกเที่ยวของตอหลังจากรถชนเมื่อเมษาปีที่แล้วค่ะ
และล่าสุด ต้นเดือนพฤษภา58 ไปวังเวียงประเทศลาวได้ แถมยังทำกิจกรรมยอดฮิตของที่นั่นได้อีกด้วย
ถ้ามีอาการปวดหลังจนถึงขั้นอ้างว่าทุพพลภาพจริง ตอจะสามารถเที่ยวกระหน่ำได้แบบนี้หรอคะ?
ถ้าเป็นมากจริงๆ แต่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รักตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง ใครจะช่วยอะไรได้คะ?
ตอนนี้ คดียังค้างคาอยู่ค่ะ รอตออยู่คนเดียวนี่แหละ
เมื่อไหร่จะหลุดออกไปจากชีวิตพวกเราซะทีก็ไม่รู้...หรือต้องเอาบุหรี่จี้คะ?!?!
เพิ่มเติม
ตอและสามีมีลูกด้วยกันแล้วนะคะ คลอดไปเมื่อเดือนมีนาคม59ที่ผ่านมา
คดีกำลังจะจบแล้ว รอนัดครั้งถัดไปเดือนมิถุนายนจะได้แยกย้ายซักทีค่ะ