ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานในปัจจุบันไม่ว่าเป็นนั่งพิมพ์คอมพ์นานๆ สะพายกระเป๋า โหนรถไฟฟ้า ขับรถในสภาวะรถติดนานๆ หรือแม้แต่การเล่นกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวของหัวไหล่นานๆ เช่น แบดมินตัน หรือ เทนนิส ฯลฯ เหล่านี้ถ้าเกิดสะสมไปนานๆ พอวัยเริ่มขึ้นต้นเลข 4 อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพสะสมที่เรียกว่า “ภาวะหัวไหล่ติด” ได้อย่างมาก
แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี จาก ศูนย์รักษาไมเกรนและโรคปวดกล้ามเนื้อ ดอกเตอร์แคร์ กล่าวว่า ภาวะหัวไหล่ติด เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อหุ้มข้อไหล่ ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณหัวไหล่ ซึ่งอาจมีอาการเจ็บอยู่หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน เมื่ออาการปวดทุเลาลง แขนข้างที่ปวดจะไม่สามารถยกแขนได้เหมือนเดิม และเมื่อข้อไหล่ไม่เคลื่อนไหวในช่วงระยะหนึ่งก็จะเกิดเยื่อพังผืดและหินปูนแทรกในข้อและเนื้อเยื่อรอบหัวไหล่ ถ้าเคลื่อนไหวข้อไหล่จะปวดมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่อ่อนแรงและลีบลง ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะไหล่ติดได้อย่างชัดเจน
สำหรับอาการของภาวะไหล่ติด อาจใช้เวลาสะสมอาการนานถึง 2-3 ปีแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรกปวดประมาณ 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการปวดข้อไหล่โดยเฉพาะเวลากลางคืนบางคนปวดมากจนสะดุ้งตื่นกลางดึกจากการนอนกดทับข้างที่ปวดเป็นเวลานาน
ระยะที่สอง ข้อไหล่ติด ประมาณ 16 เดือน อาการเจ็บลดลง แต่หัวไหล่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติโดยจะมีอาการปวดแบบเฉียบพลัน เช่น เวลาเหยียดแขนขึ้นไปหยิบของเหนือศีรษะ, เอื้อมมือไปหยิบของที่เบาะหลังรถ, เมื่อหมุนพวงมาลัยรถ, เมื่อสระผมหรือถูหลังตัวเองเวลาอาบน้ำ, เมื่อสวมหรือถอดเสื้อยืดเข้าออกทางศีรษะ ฯลฯ ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่สามารถขยับหัวไหล่ได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยบางคนกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ลีบผิดรูปได้
ระยะที่สาม เป็นระยะฟื้นตัวประมาณ 1-2 ปี อาการเจ็บลดลงเรื่อยๆ แขนข้างที่เจ็บเคลื่อนไหวได้มากขึ้นอย่างช้าๆ
“กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวไหล่ติด คือ กลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่พบเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน อย่าง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่ามีโอกาสเกิดภาวะไหล่ติดสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า”
สำหรับวิธีรักษาภาวะไหล่ติดในปัจจุบันมีวิธีการรักษาภาวะไหล่ติดที่นิยมใช้กันอยู่ 4 วิธี ได้แก่
1.วิธีแรกการทำกายภาพบำบัด นักกายภาพจะพยายามยืดไหล่และหมุนขยับส่วนที่ติดซึ่งกระบวนการบำบัดจะเจ็บมาก 90% ของผู้ป่วยจะเลิกรักษาเนื่องจากไม่สามารถทนต่ออาการเจ็บระหว่างบำบัด
2.วิธีที่สองการบริหารบริเวณหัวไหล่ เช่น ท่าไต่กำแพง มักไม่ค่อยได้ผลเนื่องจากเมื่อผู้ป่วยทำด้วยตัวเองจนถึงต่ำแหน่งที่หัวไหล่ติด ผู้ป่วยจะไม่ทำต่อ เนื่องจากเจ็บมาก
3.วิธีที่สาม การฉีดยาสเตียรอยด์ที่ข้อไหล่และการรับประทานยาเป็นการบรรเทาปวด
4.วิธีสุดท้าย การผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งมีค่ารักษาค่อนข้างสูง
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคการักษาต่อเนื่องมาจนถึงเทคนิคการรักษาภาวะไหล่ติดที่เรียกว่า SAM ซึ่งประกอบด้วยการรักษา 3 ขั้นตอนหลัก คือ ยืดกล้ามเนื้อ (Stretching),กดจุด Trigger Point เพื่อสลายพังพืดบริเวณหัวไหล่ (Acupressure) และ ปรับองศาการยกไหล่ (Manipulation) เพื่อให้หัวไหล่ทำงานได้ตามปกติ
“การผสมผสานเทคนิคแบบ SAM โดยเริ่มต้นจะเป็นการค่อยๆ ยืดหัวไหล่ช้าๆ เพื่อดูองศาหัวไหล่ของผู้ป่วยว่าสามารถยกได้กี่องศาเปรียบเทียบจากการวัดขององศาปกติที่ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ จากนั้นค่อยๆ กดจุดและยืดเพื่อปรับองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ขั้นตอนนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อที่อักเสบพังผืดที่ยึดหัวไหล่และหินปูนที่เกาะรอบๆ บริเวณข้อต่อหัวไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ดีขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาทั้ง 3 ขั้นตอนดังกล่าว แพทย์จะทำการตรวจดูการเคลื่อนไหวของข้อไหล่อีกครั้ง โดยให้ผู้ป่วยยกหัวไหลขึ้นและวัดองศาเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษา
ขั้นตอนที่ 2 และ 3 สามารถทำควบคู่กันไปได้เนื่องจากการกดจุดและการค่อยยืดและขยับข้อไหล่ไปด้วยผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บได้น้อยมาก ผู้ป่วยรู้สึกได้ว่ามีอาการดีขึ้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติภายใน 2 สัปดาห์จากเดิมที่ต้องทรมานจากความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่และไม่สามารถทำกิจกรรมได้ตามปรกติมานานเป็นปี”
สำหรับท่ากายบริหารหัวไหล่ สามารถดูและทำตามได้ตามตัวอย่างรูปด้านล่าง
ผมเห็นข้อมูลน่าสนใจดี ( referebces จากเว็บ เส้าหลิน เฮริบนะครับ)
ภาวะไหล่ติด ของคนวัยทำงาน
ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานในปัจจุบันไม่ว่าเป็นนั่งพิมพ์คอมพ์นานๆ สะพายกระเป๋า โหนรถไฟฟ้า ขับรถในสภาวะรถติดนานๆ หรือแม้แต่การเล่นกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวของหัวไหล่นานๆ เช่น แบดมินตัน หรือ เทนนิส ฯลฯ เหล่านี้ถ้าเกิดสะสมไปนานๆ พอวัยเริ่มขึ้นต้นเลข 4 อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพสะสมที่เรียกว่า “ภาวะหัวไหล่ติด” ได้อย่างมาก
แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี จาก ศูนย์รักษาไมเกรนและโรคปวดกล้ามเนื้อ ดอกเตอร์แคร์ กล่าวว่า ภาวะหัวไหล่ติด เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อหุ้มข้อไหล่ ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณหัวไหล่ ซึ่งอาจมีอาการเจ็บอยู่หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน เมื่ออาการปวดทุเลาลง แขนข้างที่ปวดจะไม่สามารถยกแขนได้เหมือนเดิม และเมื่อข้อไหล่ไม่เคลื่อนไหวในช่วงระยะหนึ่งก็จะเกิดเยื่อพังผืดและหินปูนแทรกในข้อและเนื้อเยื่อรอบหัวไหล่ ถ้าเคลื่อนไหวข้อไหล่จะปวดมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่อ่อนแรงและลีบลง ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะไหล่ติดได้อย่างชัดเจน
สำหรับอาการของภาวะไหล่ติด อาจใช้เวลาสะสมอาการนานถึง 2-3 ปีแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรกปวดประมาณ 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการปวดข้อไหล่โดยเฉพาะเวลากลางคืนบางคนปวดมากจนสะดุ้งตื่นกลางดึกจากการนอนกดทับข้างที่ปวดเป็นเวลานาน
ระยะที่สอง ข้อไหล่ติด ประมาณ 16 เดือน อาการเจ็บลดลง แต่หัวไหล่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติโดยจะมีอาการปวดแบบเฉียบพลัน เช่น เวลาเหยียดแขนขึ้นไปหยิบของเหนือศีรษะ, เอื้อมมือไปหยิบของที่เบาะหลังรถ, เมื่อหมุนพวงมาลัยรถ, เมื่อสระผมหรือถูหลังตัวเองเวลาอาบน้ำ, เมื่อสวมหรือถอดเสื้อยืดเข้าออกทางศีรษะ ฯลฯ ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่สามารถขยับหัวไหล่ได้ตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยบางคนกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ลีบผิดรูปได้
ระยะที่สาม เป็นระยะฟื้นตัวประมาณ 1-2 ปี อาการเจ็บลดลงเรื่อยๆ แขนข้างที่เจ็บเคลื่อนไหวได้มากขึ้นอย่างช้าๆ
“กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวไหล่ติด คือ กลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่พบเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน อย่าง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบว่ามีโอกาสเกิดภาวะไหล่ติดสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า”
สำหรับวิธีรักษาภาวะไหล่ติดในปัจจุบันมีวิธีการรักษาภาวะไหล่ติดที่นิยมใช้กันอยู่ 4 วิธี ได้แก่
1.วิธีแรกการทำกายภาพบำบัด นักกายภาพจะพยายามยืดไหล่และหมุนขยับส่วนที่ติดซึ่งกระบวนการบำบัดจะเจ็บมาก 90% ของผู้ป่วยจะเลิกรักษาเนื่องจากไม่สามารถทนต่ออาการเจ็บระหว่างบำบัด
2.วิธีที่สองการบริหารบริเวณหัวไหล่ เช่น ท่าไต่กำแพง มักไม่ค่อยได้ผลเนื่องจากเมื่อผู้ป่วยทำด้วยตัวเองจนถึงต่ำแหน่งที่หัวไหล่ติด ผู้ป่วยจะไม่ทำต่อ เนื่องจากเจ็บมาก
3.วิธีที่สาม การฉีดยาสเตียรอยด์ที่ข้อไหล่และการรับประทานยาเป็นการบรรเทาปวด
4.วิธีสุดท้าย การผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งมีค่ารักษาค่อนข้างสูง
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคการักษาต่อเนื่องมาจนถึงเทคนิคการรักษาภาวะไหล่ติดที่เรียกว่า SAM ซึ่งประกอบด้วยการรักษา 3 ขั้นตอนหลัก คือ ยืดกล้ามเนื้อ (Stretching),กดจุด Trigger Point เพื่อสลายพังพืดบริเวณหัวไหล่ (Acupressure) และ ปรับองศาการยกไหล่ (Manipulation) เพื่อให้หัวไหล่ทำงานได้ตามปกติ
“การผสมผสานเทคนิคแบบ SAM โดยเริ่มต้นจะเป็นการค่อยๆ ยืดหัวไหล่ช้าๆ เพื่อดูองศาหัวไหล่ของผู้ป่วยว่าสามารถยกได้กี่องศาเปรียบเทียบจากการวัดขององศาปกติที่ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ จากนั้นค่อยๆ กดจุดและยืดเพื่อปรับองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ขั้นตอนนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อที่อักเสบพังผืดที่ยึดหัวไหล่และหินปูนที่เกาะรอบๆ บริเวณข้อต่อหัวไหล่ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ดีขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาทั้ง 3 ขั้นตอนดังกล่าว แพทย์จะทำการตรวจดูการเคลื่อนไหวของข้อไหล่อีกครั้ง โดยให้ผู้ป่วยยกหัวไหลขึ้นและวัดองศาเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษา
ขั้นตอนที่ 2 และ 3 สามารถทำควบคู่กันไปได้เนื่องจากการกดจุดและการค่อยยืดและขยับข้อไหล่ไปด้วยผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บได้น้อยมาก ผู้ป่วยรู้สึกได้ว่ามีอาการดีขึ้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติภายใน 2 สัปดาห์จากเดิมที่ต้องทรมานจากความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่และไม่สามารถทำกิจกรรมได้ตามปรกติมานานเป็นปี”
สำหรับท่ากายบริหารหัวไหล่ สามารถดูและทำตามได้ตามตัวอย่างรูปด้านล่าง
ผมเห็นข้อมูลน่าสนใจดี ( referebces จากเว็บ เส้าหลิน เฮริบนะครับ)