ภรรยาผมเป็นมะเร็งระยะที่ไม่มีอจ.แพทย์ท่านใดช่วยเหลือได้

8 ธค.57 ช่วงบ่ายโมง คุณหมอเตรียมเครื่องมือ เจาะปอดและใส่ท่อระบาย โดยมีเครื่องอัลตราซาวด์ช่วยนำ ขณะที่เธอนั่งคุยกับน้องก็เบลอและนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พนมมือท่องพุทโธๆๆๆ ดังลั่น สักพักก็พูดว่า สมเด็จโตมาแล้ว ๆๆๆ ซ้ำๆไปเรื่อยแล้วก็นั่งนิ่งไปอีก เกือบครึ่งชม.แล้วลืมตาพูดกับผมว่า ''เรากลับมาแล้ว "  
หลังจากนั้นเธอมีอาการจำไม่ได้ไปชั่วครู่ ต้องถามว่านี่ใคร จำได้มั้ย  เธอจะนึกสักครู่ก่อนตอบ กิริยาอาการก็แปลกไปเป็นคนละคน พูดจาลงท้ายด้วย...จ้า  จ้า..ตลอดเช่นดีจ้า เอาจ้า จำได้จ้า ตลอดชีวิตเธอไม่เคยพูดเช่นนี้เลย.  
         นอกจากนั้นอากัปกิริยาก็เปลี่ยนไป สดชื่นรื่นเริง พูดคล้ายเด็กหัดพูด  ไม่มีอาการปวดตรงไหนเลย ไม่ได้รับยาแก้ปวดใดๆทั้งสิ้น เดินได้แบบแทบจะวิ่ง ทั้งที่ก่อนนี้ต้องนั่งรถเข็นกระโดดขึ้น ลงจากเตียงได้ ทั้งที่เมื่อก่อนต้องค่อยๆประคอง  สรุปคือเหมือนหายแล้ว เธอบอกไม่เป็นไร สบายดี แล้วก็พนมมือพูดสาธุบ่อยๆ บางครั้งก็บอกสมเด็จโตมาๆ

        หมอรุ่งที่จะเจาะปอดบอกว่า แผลที่หน้าอกและหลังกว้างมาก เหลือพื้นที่ที่จะเจาะได้แค่นิดเดียวและก็แข็งเพราะมีการลุกลาม ถ้าเจาะก็อาจโดนเส้นเลือดได้ง่าย เธอจึงแนะนำให้ตามอาจารยธีร์ จากศิริราชที่ชำนาญกว่าและเป็นแพทย์ตามเสด็จมาทำ หมอธีร์ จะมาได้หลัง 1 ทุ่ม ผมก็ตกลงและรอด้วยความดีใจ
   ระหว่างรอ เธอเริ่มเงียบลงและอยู่นิ่งมากขึ้น จะนั่งนิ่งในท่าฝึกสมาธิเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่รู้สึกปวดเลย
บางครั้งเหมือนเข้าสมาธิระดับลึก หมอทุกคนจากทุกแผนกต่างก็งุนงงกับอาการเช่นนี้   ไม่เข้าใจและเดาไม่ออกว่าทำไมไม่ปวด ต่างก็สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะมะเร็งลุกลามไปที่สมองแล้ว ผมก็ค้านว่าอย่างนั้นน่าจะมีอาการ แขน ขาอ่อนแรงบ้าง แต่ก็ต่างฝ่ายไม่มีใครเชื่อใคร ผมอธิบายกับญาติๆว่า น่าจะเป็นเพราะเธอใช้วิชากรรมฐานแยกกายกับจิตออกจากกัน เพราะเธอเคยบอกกับผมว่า เข้าใจคำว่า"ดูความรู้สึก"ที่หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉัตรสุวรรโณเคยสอนเอาไว้เมื่อตอนเริ่มป่วย (ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียนครับ)  เป็นการแยกตัวเองออกมาจากความรู้สึกต่างๆ ทำตัวเป็นผู้ดู รู้ว่ารู้สึกอย่างไรแต่ไม่มีส่วนร่วมกับความรู้สึกนั้นๆ คือดูอยู่เฉยๆ

     เมื่อหมอธีร์มาและดู CT ก็บอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำการรักษา ให้กลับบ้านและใช้เวลาที่เหลือทำสิ่งที่อยากทำ และไม่ควรใส่เครื่องช่วยใดๆในระยะสุดท้าย เพราะระยะนี้คนไข้ก็ทรมานมากแล้ว อย่ายื้อเวลาเลย ทรมานเขาเปล่าๆ คุณพ่อของหมอธีร์เองก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และเสียชีวิตที่บ้าน ไม่ส่งรพ.เพื่อยื้อให้ทรมาน นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ผมพยายามอ้อนวอนให้ช่วยรักษา หมอธีร์เลยให้ตามน้องชายเธอมาและอธิบายซ้ำซึ่งเขาก็เข้าใจและยอมรับได้

      สุดท้ายผมก็ขอร้องตรงๆว่า   ช่วยเจาะระบายน้ำบรรเทาอาการให้เธอได้สบายขึ้นสักนิดจะได้มั้ย
หมอธีร์ก็บอกว่า น้ำในปอดคงจะเหนียวเหมือนกับน้ำเหลืองข้นๆที่อยู่ตามผิวหนัง   เจาะไปก็ดูดไม่ออกและเสี่ยงต่อการที่เลือดจะตกใน   ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตโดยไม่มีทางห้ามเลือดได้ ผมตัดใจบอกว่ายอมเสี่ยง ขอให้ช่วยทำให้   โดยผมยอมเขียนหนังสือรับผิดชอบโดยท่านจะไม่โดนตำหนิหรือลงโทษใดๆจะได้มั้ย  คุณหมอตอบว่า ถ้าต้องการเช่นนั้นท่านก็ขอถอนตัว   เพราะไม่ได้เป็นการช่วยอะไรคนไข้เลย ผมหมดแรงทรุดพร้อมกับพูดซ้ำๆว่าผมเข้าใจ ผมไม่โกรธพี่ครับ พี่ก็กรุณาที่จะช่วยเต็มที่แล้ว (ผมเข้าใจดีว่า หมอที่ต้องปฏิเสธที่จะให้การรักษาแบบนี้ก็เสียใจมากเช่นกัน) จากนั้นผมก็นั่งกอดเข่า ร้องไห้พร้อมกับตัดพ้อว่า ทำไมหมออื่นถึงไม่ร่วมสู้กับเรา เรายังสู้อยู่นะ (ตัดพ้อนะครับ ไม่ได้ด่าแม้แต่นิดเดียว) น้องชายเธอ(นายสา)พยายามปลอบใจผมว่าผมทำดีที่สุดแล้ว แต่พี่สาวเขามีบุญแค่นี้เอง ไม่มีใครตำหนิผมหรอก  ผมขอให้เขาช่วยไปบอกข่าวนี้กับเธอและญาติด้วย ผมขอทำใจสักเดี๋ยว  เมื่อเขากลับมา
ผมถามว่า"บอกแล้วยัง "
"บอกเจ๊เค้าแล้วครับ"
"เจ๊เค้าว่ายังไงบ้าง"
"เจ๊เค้ายิ้ม พนมมือแล้วพูดว่า...สาธุ..."

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่