ความทุกข์ทั้งปวงนั้นจะสรุปอยู่ที่ ชาติ ชรา มรณะ แต่กว่าจะมีการละชาติ ชรา มรณะได้นั้นพระพุทธองค์ทรงสอนว่าจะต้องมีการละสิ่งอื่นๆมาอีกมากมาย ตามลำดับ ซึ่งมีลำดับดังนี้
๑. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ราคะ ,โทสะ , โมหะ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ชาติ, ชรา, มรณะ ได้
๒. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ สักกายทิฏฐิ ๑, วิจิกิจฉา ๑, สีลัพพตปรามาส ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ราคะ, โทสะ, โมหะ ได้
๓. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ อโยนิโสมนสิการ ๑, การพัวพันในทิฏฐิอันชั่ว ๑, ความมีใจหดหู่ ๑, ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ สักกายทิฏฐิ , วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส ได้
๔. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความมีสติอันหลงลืม ๑, ความปราศจากสัมปชัญญะ ๑, ความส่ายแห่งจิต ๑ ก็ไม่อาจะละซึ่งธรรมคือ อโยนิโสมนสิการ, การพัวพันในทิฏฐิอันชั่ว, ความมีใจหดหู่ ได้
๕. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่อยากเห็นพระอริยเจ้า ๑, ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยเจ้า ๑, ความมีใจเกาะเกี่ยว (เช่นในกาม) ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความมีสติอันหลงลืม, ความปราศจากสัมปชัญญะ, ความส่ายแห่งจิต ได้
๖. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความฟุ้งซ่าน ๑, ความไม่สำรวม ๑, ความทุศีล ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่อยากเห็นพระอริยเจ้า, ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยเจ้า, ความมีใจเกาะเกี่ยว (เช่นในกาม) ได้
๗. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่มีศรัทธา ๑, ความไม่เป็นวทัญญู (ผู้รู้คำพูด ผู้ใจดี) ๑, ความเกียจคร้าน ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือคือ ความฟุ้งซ่าน, ความไม่สำรวม, ความทุศีล ได้
๘. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่เชื่อบุคคลและธรรมอันควรเชื่อ ๑, ความเป็นคนว่ายาก ๑, ความมีมิตรชั่ว ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่มีศรัทธา, ความไม่เป็นวทัญญู , ความเกียจคร้านได้
๙. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่ละอายในสิ่งที่ควรละอาย (อหิริ) ๑, ความไม่กลัวในสิ่งที่ควรกลัว (อโนตัปปะ) ๑, ความประมาท (ปมาทะ) ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่เชื่อบุคคลและธรรมอันควรเชื่อ, ความเป็นคนว่ายาก, ความมีมิตรชั่ว ได้
สรุปได้ว่าผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้นั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นคนที่มีความละอายใจในการทำบาปทำชั่วทั้งปวงก่อน, และมีความเกรงกลัวในผลจากบาป, รวมทั้งต้องเป็นคนไม่ประมาทด้วย แล้วต่อจากนั้นยังต้องละสิ่งไม่ดีอีกหลายอย่างไปตามลำดับ จนกระทั่งเกิดดวงตาเห็นธรรม (ในข้อที่ ๒ ) และมีการปฏิบัติจนละราคะ โทสะ โมหะได้ จึงจะกำจัดความทุกข์ทั้งปวงได้ ซึ่งหลักการนี้เป็นสิ่งที่เราจะใช้เป็นเครื่องวัดได้ว่าเราอยู่จุดไหน? เพื่อที่จะได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไป
ลำดับแห่งการสิ้นทุกข์
๑. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ราคะ ,โทสะ , โมหะ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ชาติ, ชรา, มรณะ ได้
๒. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ สักกายทิฏฐิ ๑, วิจิกิจฉา ๑, สีลัพพตปรามาส ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ราคะ, โทสะ, โมหะ ได้
๓. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ อโยนิโสมนสิการ ๑, การพัวพันในทิฏฐิอันชั่ว ๑, ความมีใจหดหู่ ๑, ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ สักกายทิฏฐิ , วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส ได้
๔. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความมีสติอันหลงลืม ๑, ความปราศจากสัมปชัญญะ ๑, ความส่ายแห่งจิต ๑ ก็ไม่อาจะละซึ่งธรรมคือ อโยนิโสมนสิการ, การพัวพันในทิฏฐิอันชั่ว, ความมีใจหดหู่ ได้
๕. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่อยากเห็นพระอริยเจ้า ๑, ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยเจ้า ๑, ความมีใจเกาะเกี่ยว (เช่นในกาม) ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความมีสติอันหลงลืม, ความปราศจากสัมปชัญญะ, ความส่ายแห่งจิต ได้
๖. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความฟุ้งซ่าน ๑, ความไม่สำรวม ๑, ความทุศีล ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่อยากเห็นพระอริยเจ้า, ความไม่อยากฟังธรรมของพระอริยเจ้า, ความมีใจเกาะเกี่ยว (เช่นในกาม) ได้
๗. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่มีศรัทธา ๑, ความไม่เป็นวทัญญู (ผู้รู้คำพูด ผู้ใจดี) ๑, ความเกียจคร้าน ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือคือ ความฟุ้งซ่าน, ความไม่สำรวม, ความทุศีล ได้
๘. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่เชื่อบุคคลและธรรมอันควรเชื่อ ๑, ความเป็นคนว่ายาก ๑, ความมีมิตรชั่ว ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่มีศรัทธา, ความไม่เป็นวทัญญู , ความเกียจคร้านได้
๙. บุคคลไม่ละซึ่งธรรมคือ ความไม่ละอายในสิ่งที่ควรละอาย (อหิริ) ๑, ความไม่กลัวในสิ่งที่ควรกลัว (อโนตัปปะ) ๑, ความประมาท (ปมาทะ) ๑ ก็ไม่อาจละซึ่งธรรมคือ ความไม่เชื่อบุคคลและธรรมอันควรเชื่อ, ความเป็นคนว่ายาก, ความมีมิตรชั่ว ได้
สรุปได้ว่าผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้นั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นคนที่มีความละอายใจในการทำบาปทำชั่วทั้งปวงก่อน, และมีความเกรงกลัวในผลจากบาป, รวมทั้งต้องเป็นคนไม่ประมาทด้วย แล้วต่อจากนั้นยังต้องละสิ่งไม่ดีอีกหลายอย่างไปตามลำดับ จนกระทั่งเกิดดวงตาเห็นธรรม (ในข้อที่ ๒ ) และมีการปฏิบัติจนละราคะ โทสะ โมหะได้ จึงจะกำจัดความทุกข์ทั้งปวงได้ ซึ่งหลักการนี้เป็นสิ่งที่เราจะใช้เป็นเครื่องวัดได้ว่าเราอยู่จุดไหน? เพื่อที่จะได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไป